CHAPTER 2
“ฉันให้เธอได้ทุกอย่างเว้นแค่อิสระจากฉัน”
แล้วเขาก็พาฉันออกจากที่นั่นในทันที
และก็เมื่ออายุได้ยี่สิบสี่ปี... ก็อยู่ในสถานะนี้ สถานะที่ไม่มีสถานะ
@Vienna Austria
ภายใต้โคมไฟสีนวลสวยส่องความสว่างให้แค่จุดหนึ่งครอบคลุมแค่ช่วงบริเวณโซฟาสีแดงเลือดนกตัวใหญ่ถูกติดตั้งข้างกับผนังที่ถูกดีไซน์เป็นกระจกรอบห้อง ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ทุกมุมถูกปิดไปด้วยผ้าม่านสีทึบเว้นแค่ด้านที่ฉันกำลังนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวร่างกายภายใต้ผ้าห่มลายเสือดาวขนนุ่มฟูแค่นั้นที่มันถูกเปิดแหวกออกเห็นสภาพอากาศ
ด้านนอกบรรยากาศในเดือนแรกของปีมันหนาวอย่างไม่ต้องคิดว่าอุณหภูมิถึงติดลบหรือเปล่าเพราะสิ่งที่กำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ามืดสนิทนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าหนาวหรือเปล่า จากก้อนเล็กสีขาวโปรายปรายลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเกือบสามชั่วโมงติดต่อกันทำให้พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นสีขาวโพนหมดไม่ว่าจะหันมองไปทิศทางไหนก็เจอแต่สีขาวจากหิมะ เป็นอ**บรรยากาศหนึ่งซึ่งหาจากเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองร้อนไม่ได้แน่ๆ
หิมะ... ที่ชอบแต่ก็ไม่ชอบขนาดนั้น
หิมะ... ที่เคยเห็นทุกครั้งเมื่อเดินทางตามเขามา
และหิมะ... ที่เหมือนจะเป็นสิ่งที่เขาชอบเพราะว่าคนในใจเขาชอบ
น่าตลกสิ้นดีเลยว่าไหม
โคตรสมเพชตัวเองที่เลือกทางนี้
วันเวลาผ่านมาเกือบจะห้าปีทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดินย้ำอยู่กับที่ราวกับรอยแผลนั้นไม่เคยจางไปเลยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม การก้าวข้ามผ่านเรื่องนั้นไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนดังปากบอกหรอก
ทุกคนล้วนโกหก...
พอมีอะไรมาสะกิดทุกอย่างก็กระจ่างออกมาอีกครั้งแล้วก็อีกครั้งเหยียบย้ำกับที่แบบนั้น เกินคำว่าเบื่อหน่าย เกินคำว่าไม่อยากฟังและก็เกินคำว่าใส่ใจ แล้วแบบนี้จะมีใครก้าวเดินไปข้างหน้าได้กันล่ะในส่วนนี้ไม่มีใครทำได้เลยสักคนแม้กระทั่งเขา
พี่สองเป็นบาดแผลใหญ่ในใจอีกฝ่ายซึ่งไม่ว่าวันเวลาหยุดหรือหมุนเดินเปลี่ยนไปแค่ไหนสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนได้เลยก็คือรอยแผลนั้นฉะนั้นจึงไม่แปลกหากทุกวันฉันจะยังคงเห็นอะไรแบบซ้ำๆ ความเงียบของสิ่งรอบตัวทำให้ฉันถอนหายใจพร้อมกับลุกออกจากผ้าห่มผืนนุ่มเพียงแค่ร่างกายมีแค่สเวตเตอร์ไหมพรมผืนหนาสีน้ำตาอ่อนกับถุงเท้าปุกปุยสีขาวที่กำลังเหยียบย้ำกับพรมไปเรื่อยๆ กระทั่งเคลื่อนออกจากห้องนี้ไปหยุดกึกตรงช่วงบันใดของบ้าน
ยังมีแสงไฟสลัวส่องมาจากเคาน์เตอร์ตรงมุมห้องล่างซึ่งเป็นจุดตั้งของเคาน์เตอร์ไวน์รสเลิศทั้งหมดจากทุกมุมโลกมาหยุดเอาไว้ตรงนั้นและฉันก็ได้เห็นเขาจากมุมของบันใดซึ่งไม่ไกลมากหรอกสามารถเห็นรายละเอียดทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุดด้วยซ้ำ
เห็นผู้ชายคนนั้นกับแก้วไวน์
เห็นคนผู้ชายที่ฉันไม่เคยได้อิสระจากคนๆ นี้สักครั้ง
รู้ไหมเขายกแก้วไวน์ขึ้นดื่มด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างถือรูปหนึ่งไว้แค่นี้ม่านในตาของฉันมองก็ลดการมองเห็นลงเรื่อยๆ ด้วยการเบลอจากน้ำตาจากนั้นแก้มทั้งสองข้างเปรอะเปียกชุ่มไปกันหมด นี่ไงถึงว่าไม่มีใครมูฟออนจากพี่สองไปได้สักคนเดียวถึงแม้เขาจะรู้ความจริงหมดแต่ก็ใช่ว่าจะหมดรักพี่สาวของฉัน
ความดันทุรังอันไร้ประโยชน์
ความช่วยเหลือที่เต็มไปด้วยเปลวไฟเผา
ทางเดินที่ในสายตาคนอื่นมองมาคิดว่าฉันโคตรสุขสบายที่สุดแล้วเพราะมีเงินทองทองเอาไว้จากเขา มีหน้าที่การงานที่ดี มีชื่อเสียงรู้จักในวงกว้างแต่รู้ไหมว่าคนที่มองมาเขาคิดแค่ด้านเดียวคือด้านที่เห็นฉันยิ้มให้หน้ากล้องไม่มีใครเห็นตอนร้องไห้แทบขาดใจนี่นา
ใช้เวลาไม่นานนักร่างสูงก็เก็บรูปใบนั้นเข้าลงในกระเป๋าหน้าอกของเสื้อเป็นนาทีเดียวที่ฉันตัดสินใจเช็ดน้ำตาพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนก้าวเดินไปเพื่อเผชิญหน้ากับเขา การทำทีเดินไปเอาขวดน้ำขวดเล็กที่ถูกจัดตั้งไว้บนเคาน์เตอร์แบบรู้งานคือสิ่งที่ฉันบอกให้เตรียมเอาไว้เนื่องจากตัวเองดื่มน้ำเปล่าเท่าอุณหภูมิห้องเสมอมา
“อยากไปเที่ยวไหนก็บอกซัน”
นึกเอาไว้แล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้ ประโยชน์ราบเรียบไม่ชายตามองคู่สนทนาสักนิดถ้าเป็นคนอื่นไม่เสียเวลาหยุดปลายเท้าแล้วฟังหรอกแต่นี่ทำไม่ได้ไง เขามีชื่อว่า ‘วัน’ ชื่อที่ความหมายเหมือนกับฉันแต่ใจร้ายที่สุด
“ค่ะ”
“ออกไปไหนบ้าง ข่าวที่ไทยไม่ดังมาถึงที่นี่หรอก”
แสดงว่าเขาจัดการแล้วสินะถึงพูดแบบนี้ได้
“ยังไม่อยากออกไปไหนค่ะ”
“เงินไม่พอเหรอ วงเงินไม่จำกัดนิ”
“…” คราวนี้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างจริงจังไม่กลัวว่าจะเสียมารยาทอีกแล้ว ความจริงฉันไม่อยากมาหรอกที่นี่อยากนอนพักอยู่บ้านมากกว่าแต่เลือกไม่ได้ไง
“ถามก็ตอบ”
“ไม่พอค่ะ อยากได้เยอะกว่านี่แล้วก็เป็นเงินสดด้วย”
“…”
“ได้ยินหรือเปล่า?”
“ไปนอนซะ”
“…” หึ... ก็แค่นี้เองแล้วฉันก็กำลังจะเดินออกจากเสียงหนึ่งที่ไม่อยากได้ยินกับเกิดขึ้นเสียอย่างงั้น เสียงแก้วแตกแตกแบบนี้ไม่ได้โยนกระทบพื้นแต่ว่า... แตกคามือเขาต่างหาก
“เห็นก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ... ยังไงรูปนั้นก็ไม่ใช่เธอ”
“ค่ะ”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ ว่าคนที่คอยทำแผลให้ตอนเด็กจะมาทำให้ฉันเจ็บได้ตอนโตขนาดนี้
แผดเผาให้เจ็บเจียนตาย
กระอักเลือดออกมาได้คงเป็นไปแล้ว
ความเจ็บที่ไม่แสดงให้เห็นเป็นรอยแผลเหมือนใช่เขาในตอนนี้แต่ทว่าความเจ็บที่มีพิษของมันแทบเทียบระดับเดียวกันด้วยซ้ำไปไม่อย่างงั้นน้ำตาเมื่อกี้ที่แห้งหายไปจะกลับมานองหน้าฉันในตอนนี้แบบเดิมได้ยังไงกัน ด้วยความรู้สึกไม่ดีอย่างสุดแต่ฉันก็ไม่ได้หันหน้าไปเผชิญกับอีกคนให้เขาได้สมเพชตัวเองไปมากกว่านี้
“ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเจ็บ”
เหมือนจะปลอบ
เหมือนจะห่วงใย
แต่มันไม่ใช่หรอก ไม่มีอะไรแบบนี้จะผู้ชายเย็นชาคนนี้สักครั้งเดียวทุกอย่างมักมีการแลกเปลี่ยนเสมอ หากจะถามหรือเรียกหาความช่วยเหลือแบบไร้สิ่งแลกเปลี่ยนก็เหมือนการรีดเลือดกับปูนั่นแหละ
เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างมักมีผลประโยชน์เสมอ
“…”
“เจ็บไม่ดีหรอก”
แล้วตอนนี้ฉันมีความสุขหรือไงกัน
แล้วตอนนี้ฉันไร้น้ำตาของความเจ็บปวดเหรอ
ไม่ใช่สักนิด
การยิ้มเค้นพร้อมกับปัดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเองแต่ไม่หันกลับไปมอง ฉันไม่อยากเป็นคนใจอ่อนอะไรแบบนั้นอีกแล้วและอยากจะดื้อด้านให้มันจบๆ เสียด้วยซ้ำทว่ากับดื้อด้านไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ใช่นิสัยของตัวเองที่จะเรียกร้องความสนใจโดยการทำอะไรแบบนี้
ถ้าจะถามว่าเพราะอะไรนะเหรอตอบได้เลยว่าคงเป็นเพราะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ไง
ไร้ประโยชน์แล้วจะทำไปทำไมอีก
“ค่ะ”
“ประชด”
“ไม่ได้ประชดค่ะ อันนี้พูดจริง”
“แล้วจะร้องไห้ทำไม รู้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบ”
ฉลาดเป็นกรดแต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทำเป็นเฉยชาและบางครั้งก็เหมือนไม่สนใจแต่ไม่ตลอดหรอก
“ไม่ร้องแล้วค่ะ”
“ดี”
ฉันได้แค่นี้แหละ
ชีวิตในกรงทอง สวย รวยแต่เสียใจทุกครั้ง
มันเป็นฉันจริงๆ
เหมาะสมกับตำแหน่งแบบนี้เหลือเกินอย่างไม่ต้องหาใครมาแทนด้วยซ้ำไปและไม่รู้ว่ามันจะคงตำแหน่งตลอดไปหรือเปล่าถ้าเป็นอย่างงั้นฉันก็ต้องทนปั้นหน้ากับความรู้สึกพวกนั้นให้กัดกร่อนกินหัวใจไปเรื่อยๆ ใช่ไหมนะยังไงซะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ความเงียบก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่โคตรดีแต่ทั้งฉันและเขาที่อยู่ท่ามกลางอากาศพวกนี้ไม่ได้ดีเด่นอะไรทั้งนั้นกระทั่งเป็นฉันเองปลีกตัวเองขึ้นมานอนโซฟาที่เดิม
การหันหลังให้ฝั่งประตูแล้วคลุมผ้าห่มปกศีรษะเหลือแค่ดวงตาโผล่พ้นออกมามองเกล็ดหิมะสีขาวที่กำลังโปรายลงจากท้องฟ้าอย่างนับไม่ได้ค่อยทำให้อารมณ์ของตัวเองดีขึ้นตามลำดับ
จากที่คุกกรุ่นกลายเป็นนิ่งสงบ
ฉันทำแบบนี้มาเลยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
เมื่อจิตใจสงบไม่นานดวงตาก็ค่อยหลับลงจนสติจางหายลงกลายเป็นนอนหลับไปโดยปริยาย
แกรก...
แกรก...
เสียงวัตถุอย่างหนึ่งกระทบกันจนเกิดเสียงนี้ขึ้นปลุกขึ้นโสตประสาทของฉันทำงานอีกครั้งแล้วเมื่อค่อยลืมตาขึ้นแสงไฟสลัวจากโคมที่ยังทำงานทำให้เห็นแผ่นหลังใหญ่ในชุดเสื้อคลุมซาตินสีดำนั่งข้างล่างโดยพิงโซฟาที่ฉันนอนเหมือนว่าเขาตั้งใจนั่งตรงนี้เพื่อบังไม่ให้ฉันตก การเป็นคนที่นอนดิ้นพอสมควรถ้านอนเผลอหลับตรงไหนที่มีขนาดเล็กก็จะตกลงง่ายมากแต่ครั้งนี้ทำให้รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
แผ่นหลังกว้างขยับเคลื่อนด้วยความเบาสุดเมื่อมองไปสุดมือก็จะเห็นแท่งปากกาถูกวางไว้เจ้านี่ละมั้งที่ทำให้เกิดเสียงเมื่อกี้ กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวล่องลอยมาให้สูดดมไปเรื่อยๆ แทนที่จะโวยวายหรือหลีกเลี่ยงลุกขึ้นไปนอนบนเตียงฉันกับทำให้ทางตรงกันข้ามนั่นก็คือนอนนิ่งใช้สายตาสังเกตไปเรื่อยๆ
เสี้ยวใบหน้าคมชัดไปด้วยจมูกโด่งโผล่ขึ้นมากระทบกับแสงไฟ ผิวขาวเรียบเนียนไปทั่วใบหน้าจะเด่นชัดนิดกว่าที่อื่นคงเป็นริมฝีปากกระจับตรงนั้นที่พอหันกระทบแสงไฟก็เป็นสีแดงนิดหน่อย ใบหน้าสดของเขาไม่มีทางไม่ดูดีมันเหมือนประติมากรรมชั้นเลิศลูกรักของพระเจ้ามากกว่ายิ่งเมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆ
จริงสิ... เมื่อนึกว่ามืออีกข้างของเขาเป็นแผลสายตาของฉันจึงตั้งใจมองไปตรงนั้นทว่าความตั้งใจพังทลายลงเมื่อเขาหันตัวกลับมาพร้อมกับใช้แขนเท้ากับโซฟาจับจ้องมายังฉันแบบตั้งใจ
แบบนี้ไม่ดีแน่เลย
แบบนี้ทำใจของฉันเต้นรัว
“จะเอาอะไร?”
“…”
“อยากได้อะไรอีกนอกจากเงินสด”
“หา...” แล้วฉันก็เบิกสายตากว้างขึ้นในทันทีที่เขาหลีกเบี่ยงหัวไหล่ที่บดบังกองอะไรบางอย่างบนโต๊ะ กองเงินสดหลายปึกตั้งเรียงกันขึ้นแบบนั้นจะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน “นี่คือ...”
“เงินไง ไหนบอกว่าไม่พออยากได้เยอะกว่านี้แล้วเป็นเงินสดด้วย นี่ไงเอามาให้แล้ว”