CHAPTER 3

1939 Words
CHAPTER 3 ~กรุ้งกริ่ง~กรุ้งกริ่ง~ ลูกกระดิ่งสีโรสโกลด์ขนาดเล็กประดับตกแต่งลงโชคเกอร์เส้นเล็กสีชมพูอ่อนบนลำคอส่งเสียงดังขึ้นรัวแล้วไม่มีทีท่าว่าเสียงดังกล่าวจะหยุดด้วยซ้ำเพราะทีแรกเสียงนี้ไม่ได้ดังสนั่นถี่ขนาดนี้แต่เนื่องด้วยร่างกายเป็นจุดรองรับแรงกระทบจากการกระแทกด้านหลังไม่ยั้งเสียงกระดิ่งน้ำเสียงกังวานนี้จึงสั่นปล่อยเสียงออกมาไม่หยุด แค่จะขยับร่างกายในแต่ละครั้งยังแทบทำไม่ได้แล้วจะเอาอะไรมาห้ามได้นอกจากรับแรงกระแทกซึ่งมาพร้อมกับความเปียกชื่นจากทางด้านหลังของลำคอ บางครั้งก็มาพร้อมกับแรงหายใจแรงชวนขนลุกทว่าบางครั้งก็แอบแฝงความเจ็บปวดในจุดหนึ่งของผิวหนังไม่นานความเจ็บนั้นก็จางหายไป แต่เชื่อไหมจะมีร่องรอยสีแดงละทิ้งเอาไว้ นั่นคือสิ่งที่เขาชอบทำ ถึงการกระทำแบบนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกับความสมยอมไม่มีการขัดขืนแม้สักครั้งเดียวก็ไม่มีแค่ยอมรับกับการแต่งตัวไม่ซ้ำซึ่งในคืนนี้ก็เช่นกัน มีการแต่งตัวชุดขนนุ่มฟูสีชมพูผืนเล็กผืนน้อยบนตัวปกปิดแค่ส่วนหน้าอก มีโชคเกอร์และหูกระต่ายเข้าชุดพร้อมกับชั้นในตัวจิ๋วและถุงขาตาข่ายน่ารักแต่ตอนนี้ที่เหลือบนตัวมีแค่โชคเกอร์กับถุงขาลายตาข่ายเท่านั้น ~กึก~กึก~ การรองรับแรงหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์อันพุ่งพล่านของอีกฝ่ายเป็นเหตุให้ร่างกายที่กังลังบดเบียดกันบนโซฟาดูคับแคบลงมากยิ่งท่านี้เล่นเอาร่างกายฉันที่กำลังบดเบียดเสียดสีกับพนักพิงของโซฟาแทบเป็นเนื้อเดียวกันด้วยซ้ำอีกอย่างเสียงที่ดังขึ้นเป็นกุญแจมือบนข้อมือของฉันกระทบกับแผ่นกระจกข้างหน้าโดยต้นเหตุก็มาจากมือใหญ่ทาบทับประสานมือสอดแทรกเข้ากอบกำมากกว่า “แอ่น” “อือ” “แอ่นสะโพกมาด้านหลังมากกว่านี้” “…” “อย่าดื้อหน่า” “อ๊ะ!” ดื้ออะไรฉันไม่ได้ทำเลยสักนิดเดียวรู้ไหมว่าทำตามที่เขาบอกตั้งแต่แรกมากกว่าเพียงแค่มันยังไม่พอใจเขามากกว่าแต่พอจะแอ่นมือใหญ่ที่ไม่ได้พันธนาการจากกุญแจกับเข้ามาจากทางด้านหลังบีบเค้นหน้าอกใหญ่ น้ำหนักการลงมือตั้งแต่ทีแรกมันหนักหน่วงสร้างความเจ็บเอาไว้จนต้องร้องออกปากทีเดียว “เจ็บ...” “ตรงไหน?” “…” ปากถามแต่ร่างกายไม่เป็นแบบนั้น เขากำลังเล่นกับร่างกายฉัน เขาส่งเสียงครางต่ำมาให้ได้ยิน เมื่อฉันแอ่นสะโพกให้เขาทำจนเขาพอใจ “ตรงไหนครับ ถามก็ตอบสิ” “พี่วัน อ๊ะ... อย่ากัดหูหนึ่ง” เพราะยังโดนแกล้งเรื่อยๆ ไม่หยุด บนตามร่างกายโดนตามๆ กันไปหมดจึงทำให้ฉันกำลังประท้วงเขา “อ๊ะแรงไปพี่วัน” “เบาแล้ว” บ้าอะไรกัน เบาที่ไหนยิ่งโหมกระแทกแบบนี้ “มะ อือ... ไม่จริง” “จริงครับ” “เบาหน่อย อ๊ะ... บะ เบา... หนึ่งมะ ไม่ไหว” น้ำเสียงแหบแห้งแกมเอ่ยขึ้นขอร้องอีกฝ่ายเกิดขึ้นซ้ำๆ กับความเป็นจริงที่ค่อนข้างสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง การเปล่งวาจาแบบนั้นออกไปรู้ทั้งรู้ว่าเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับอีกฝ่ายโหมปล่อยการกระแทกเข้ามาจากทางด้านหลังเร็วขึ้นถี่ขึ้นเกิดขึ้นกับการใช้มือข้างที่ใส่กุญแจมือทำทางให้มาไขว่ไว้ด้านหลังทั้งมือของฉันและก็เขา แบบนี้รู้ไหมยิ่งเปิดทางมากขึ้นหลายเท่าเพราะจากที่ต้องใช้มือท้าวกับโซฟาแล้วกระจกทั้งสองข้างบัดนี้หลงเหลือเพียงข้างเดียว ซึ่งรับแรงกระแทกไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ ฉันจึงต้องโน้มร่างกายไปข้างหน้าใช้ศอกท้าวกับพนักพิงของโซฟาแทนถึงจะรับแรงได้ไม่มากแต่ก็ยังมากกว่าใช้มือท้าวข้างเดียวซึ่งนั่นเปิดทางให้เขากระหน่ำเข้าอย่างซ้ำๆ ก่อนทั้งฉันแล้วก็เขาจะครวญครางกับจุดหนึ่งไปพร้อมๆ กันในรอบที่ห้าของฉันและก็รอบที่สามของเขาในค่ำคืนนี้ ปึก... เช่นเดียวกับร่างกายของตัวเองที่ฉันทิ้งตัวไปด้านหลังประจวบกับอีกฝ่ายรองรับเอาไว้แล้วปล่อยพันธนาการจากกุญแจข้อมือทั้งสองเราออกเสร็จก็โอบอุ้มไปทำความสะอาดในห้องน้ำก่อนมาวางบนเตียงนุ่ม สติการรับรู้ทุกอย่างของตัวเองฉันยอมรับว่ารู้ทุกอย่างกระทั่งมาถึงเตียง “นอนซะ” “เรื่องนั้น... เรื่องข่าว” “…” เขาถอนหายใจแบบเดิมแล้วไม่เอ่ยพูดอะไรนอกจากลูบศีรษะของฉัน “ทำไมถึงเป็นแบบนั้น” ข่าวใหม่ล่าสุดที่ผู้จัดการพึ่งแชตบอกฉัน ข่าวรับปีใหม่สงกรานต์ “ใครบอกให้ไปตามหารักแท้บนต้นงิ้วล่ะ” “พี่วัน...” “ใครยุ่งกับเธอก็ต้องโดนแบบนี้แหละ นอนได้แล้วฝันดีครับ” บังคับกันชัดๆ แต่รู้ไหมหลังจากได้ฟังมีเหรอที่ฉันจะเถียงอีกคนได้ต่อหากทุกคนคิดแบบนั้นบอกเลยว่าคิดผิดอย่างที่สุด ไม่มีการถกเถียงเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกเพราะรู้ว่ายังไงมันก็ต้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคำสั่งของเขาได้ แม้แต่คำขอร้องฉันก็เปลี่ยนไม่ได้ การยอมรับ การสั่ง ใช้ไม่ได้กับเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ใช้ไม่ได้ การตัดสินใจใดๆ ออกจากปากเขาสิ่งนั้นถือว่าเป็นที่สุดน้อยครั้งนับได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง การผิดพลาดคือสิ่งที่เขาเกลียด การจากไปคือสิ่งที่เขาไม่ปรารถนารวมไปถึงการขัดคำสั่งด้วยฉะนั้นแน่นอนว่าอะไรที่ออกมาจากปากเขาล้วนแล้วแต่เป็นคำขาดทั้งนั้น ฉันไม่อยากมีปัญหา ฉันอยากอยู่แบบสงบ แน่นอนฉันต้องทำตัวดี แล้วทุกอย่างที่อยากได้จะถาโถมเข้ามาเอง ไม่รู้ว่าเป็นค่าตอบแทนของการทำความดีหรือเปล่านะ ไม่รู้ว่ามันคุ้มไหมกับสิ่งที่แลกเปลี่ยนแต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมกว้างๆ ตอบได้เลยว่ามันคุ้ม คุ้มจนหลายคนอยากมายืนอยู่จุดนี้จะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม การทำตัวแบบนี้ไม่รู้ว่ามันเป็นจุดอ่อนหรือว่าจุดแข็งก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ชัดเจนแต่สิ่งที่บอกได้แน่ๆ คือทั้งหมดผลมันเกิดขึ้นไปในทิศทางที่ดีและอยู่นานมากกว่าคนอื่นๆ ฉันไม่กล้าการันตีว่าเขาจะมีใครซุกซ่อนอยู่อีกไหมซึ่งถ้าหากมีคงรับรู้มาถึงหูบ้างยังไงทั้งบ้านหรือที่อยู่ของเขาทุกที่ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยไปเยือนสักหน่อยหรือถ้าหากจะถามว่าที่ซุกซ่อนอยู่ก็อาจมีก็ได้อันนี้ก็ไม่รู้สิ ความคิดของตัวเองแล่นไปเรื่อยๆ กระทั่งไปถึงจุดไหนก็ไม่รู้เพราะสติบวกกับลมหายใจเข้าออกมาถึงจุดพักรู้ตัวอีกครั้งก็เป็นเช้าของอีกวันหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้ช่วงบ่ายมีงานถ่ายแบบฉะนั้นตอนนี้ฉันก็มาอยู่สตูแห่งหนึ่งพร้อมกับการแต่งตัวที่เป็นคอนเซ็ปต์หนึ่งของแบบเสื้อผ้าชื่อดัง “เหม่ออะไร ชามะนาวได้แล้ว” “เหลืออีกกี่เชต” จากคืนนั้นก็ผ่านมาสามสี่วันแล้วฉันต้องมาลุยงานถ่ายแบบเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งต่อ แบรนด์นี้ติดต่อผ่านเลขาของเขาแล้วถึงจะผ่านผู้จัดการของฉัน ยากไหมล่ะหากส่งคำถามแบบนี้มาก็ตอบได้เลยว่ายากซึ่งนั่นเป็นเพราะอะไรทุกคนย่อมรับรู้ดีสุด การตั้งคำถามถือเป็นอะไรที่ไม่แค่คนอื่นถามขนาดตัวฉันเองยังถามตัวเองเลยว่าที่ผ่านมามีคนจ้างตัวเองได้ยังไงกันการเข้าหายากขนาดนี้ “หนึ่งหรือสอง” “เชตสุดท้ายแล้ว” ‘ปุ้ย’ ผู้จัดการฉันชื่อปุ้ยอายุเท่ากัน ปุ้ยนั่งลงข้างกันแล้วกระดกน้ำไปหลายอึก ภาพลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้คือโคตรแทนห้าวตามสไตล์ ทุกอย่างบนตัวสมส่วนและเหมาะสมกับเธอราวกับเกิดมาเพื่ออยู่กับเธอ หลายครั้งหลายคราที่มีคนติดต่อให้เป็นนางแบบแต่อีกฝ่ายก็เลือกปฏิเสธ “แล้วก็หยุดยาวเลย” “เดี๋ยว...” ทำไมหยุด ในเมื่อมีถ่ายแบบช่วงซัมเมอร์ วันนั้นยังย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้ร่างกายมีรอยแม้แต่รอยซ้ำหรือว่ารอยแดงก็อย่าให้มีเด็ดขาดแล้ววันนี้ไหนมากลับคำเสียได้กัน ความสงสัยของตัวเองยังไม่เท่ากับสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาเด่นชัดว่า มึงไม่น่าถามนะ เป็นแบบนี้เลยหน้าปุ้ยในตอนนี้ “ปฏิเสธไปแล้วจ้า” “…” “คงรู้เนอะ” อืม แค่นี้ก็รู้แล้วไม่ถามอะไรต่ออีก การถ่ายเชตสุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีในขณะที่ฉันพึ่งสะพายกระเป๋าเตรียมขยับตัวออกจากห้องแต่งตัวที่ตอนนี้เหลือแค่เมคอัพบนหน้าเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวกับเสื้อกล้ามสีขาวพอดีตัวพร้อมกับเสื้อแขนยาวซึ่งถืออยู่ หลังการทำงานฉันมักแต่งตัวแบบนี้แล้วออกมามุ่งหน้าไปที่บ้านเลยโดยไม่แวะที่ไหนหากแต่วันนี้คงไม่ใช่ “กลับแล้วเหรอหนึ่ง” มีบุคคลหนึ่งเข้ามายืนขวางตรงหน้าอีกทั้งยังไม่ขยับหลีกทำให้ฉันเลือกหยุดแล้วถอนหายใจยาวออกมาแทนอาการเบื่อหน่ายอย่างเต็มแก่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบขี้หน้าฉันตั้งแต่ตอนไหนรู้แค่เพียงว่าพอกัดแล้วไม่เคยปล่อยเลยสักครั้ง “อืม หลีกด้วย” อ่ะเอาเข้าไป บอกให้หลีกไม่ใช่ยิ่งก้าวเท้าขวาง “ไม่รู้จักคำว่าหลีกเหรอ?” “คนดีของพวกกองถ่ายนิสัยเสียแบบนี้เหรอ” แหม่ม คนนี้ชื่อแหม่ม เข้าวงการเดียวกันกับฉันเพียงแค่ว่าต่างกันที่ช่วงเวลานิดหน่อย แหม่นสาวนางแบบที่มองก็รู้ว่าสวยทุกอย่างยกเว้นนิสัยเท่านั้นที่เสีย เธอมาอยู่จุดนี้ได้ก็เพราะความพยายามของตัวเองทว่าพักหลังนี่ไม่ใช่ “ดีจนดิ่งลงเหวหรือไง” “อย่าหาเรื่อง” “กูไม่กลัวมึงไงอีหนึ่ง” “แล้วมึงเคยแตะกูได้หรือเปล่าอีแหม่ม” ไม่ยอมแล้วนะหากจะนำปัญหามาให้ฉันเรื่อยๆ แบบนี้ ครั้งก่อนๆ มันก็เป็นฝีมือของผู้หญิงคนนี้แหละเพียงแค่ว่าพวกลูกน้องได้ถูกเก็บไปหมดเหลือแค่คนนี้คนเดียว “อยู่กับที่หน่อย” “เหมือนมึงเหรอ หึ... ที่ของมึงอ้าให้ใครล่ะ” “นี่ไม่รู้จริงๆ หรือว่าโง่” ใช่แว๊บแรกที่ได้ยินประโยคแบบนี้มันต้องโกรธมากจนแทบอยากกระชากผู้หญิงตรงหน้าที่ใส่เดรสพาสเทลสีหวานแต่สันดานดำชิบหายมาตบปากด้วยส้นเท้าแต่มันคงทำให้กระอักเลือดไม่พอมันมีแนวทางเอาคืนอีกหลายด้านและใช่ฉันเลือกด้านนี้ “คนๆ นี้อยู่จุดที่จะชี้ให้นางแบบกระจอกอย่างมึงดับได้เลยนะหากกูขอ” “เสล่อ” “ยิ่งกว่าเสล่ออีก... หมายถึงตัวมึงอ่ะแหม่ม”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD