CHAPTER 4
“ยิ่งกว่าเสล่ออีก... หมายถึงตัวมึงอ่ะแหม่ม”
เพราะการยียวนด้วยคำพูดบวกกับรอยยิ้มเยาะมันแทงใจดำมั้งอีกฝ่ายถึงเข้ามาพร้อมอ้างฝ่ามือจะตบหากไม่ค้างตึงเพราะมีมือจากทางด้านหลังมาจับเอาไว้
“ครั้งนี้มึงตบหนึ่งกูเอาส้นตีนกระแทกปากแน่อีแหม่ม”
น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ออมมือจับบีบจนมันแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและที่ชัดเจนกว่านั้นคงจะเป็นสีหน้าของผู้หญิงสายหวานพาสเทลได้แสดงความเจ็บออกมาก่อน แน่นอนว่าคนที่พึ่งเข้ามาใหม่ในการร่วมสนทนาครั้งนี้คือปุ้ยผู้จัดการของฉันเองอีกทั้งยังเป็นเหมือนพี่สาวคอยช่วยทุกเรื่อง
อีแหม่มไม่มีทางทำอะไรฉันได้
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำไป
รู้ว่าหลากหลายครั้งในสถานการณ์ต่างๆ ผู้หญิงที่กำลังเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าของตัวเองได้สร้างขึ้นเพื่อหวังทำลายโอกาสในเรื่องการงานที่การเข้ามาของฉันทุกครั้งทว่าไม่มีครั้งไหนเลยว่าจะทำได้ ประเด็นนี้แหละจึงทำให้ต่อมความอิจฉาแล่นปะทุขึ้นแล้วก็รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
“กล้าก็เอาสิ กูจะได้เอามึงเข้าคุก”
“คิดว่ากลัวไหม อย่างมากกูแค่จ่ายค่าปรับแล้วฟ้องมึงกลับ”
“…”
“เอาสิอีแหม่ม”
“…”
“อยากรู้เหมือนกันใครหน้าไหนมันจะช่วยนางแบบนิสัยแย่อย่างมึง”
ว่าเสร็จปุ้ยก็พยักหน้าบอกให้ฉันออกไปจากที่แห่งนี้พอเห็นว่าปุ้ยเป็นต่อฉันจึงก้าวเท้าเตรียมตัวออกหากไม่หยุดกึกเพราะประโยคต่อมาของอีแหม่ม
“ถ้ากูแย่อีหนึ่งไม่แย่กว่าเหรอวะ”
“…”
“ใช่มั้ยอีหนึ่ง?”
“ต้องการจะพูดอะไร”
เพราะความอดทนของตัวเองไม่ได้มีกว่าใครๆ ทั้งนั้นมีมากก็ใช่ว่าจะไม่มีวันหายไปและครั้งนี้เหมือนมันจะหายไปจริงๆ เนื่องจากสายตาของอีแหม่มเย้ยเยาะแบบเต็มแก่ นัยน์ตาคู่นั้นพยายามสร้างความสะใจออกมาให้ฉันได้เห็นแล้วไม่กลัวอะไรทั้งนั้นถึงแม้จะโดนจับบีบอยู่แขนหนึ่งก็ตาม
“กลัวเหรอ”
“ปัญญาอ่อน”
“งั้นเหรอ”
“เดี๋ยวจัดการเอง” ปุ้ยไม่รอช้าเอ่ยสวนมาก่อน “กลับไปเถอะ”
“ภูมิหลังของมึง วีรกรรมเลวๆ ของมึง คิดว่ากลบมิดแล้วสินะอีหนึ่ง” ร่างกายของฉันชาวาบขึ้นมาถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่ได้เอ่ยอะไรต่อแต่ก็พอจะทำให้รู้ว่าคนพูดต้องการสื่อเรื่องอะไร เป็นเรื่องนั้นอย่างแน่นอนไม่ต้องคาดเดาให้มันมากความ เป็นเรื่องราวที่ฉันพยายามจะลืมมัน “สารเลวจริง”
“…”
“ปล่อยกู!” แรงอารมณ์ของอีแหม่มพุ่งสูงปรี๊ดขึ้นจากนั้นมันก็ตวัดแขนให้ออกจากการจับกุมของปุ้ยก่อนเอาหน้ามาประจันกับฉันอย่างเต็มๆ กระพุ้งแก้มถูกดันออกมาด้วยลิ้นสายตาทั้งสายข้างปลายมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไม่นานรอยยิ้มเหยียดก็เกิดขึ้น “หน้าตาแบบนี้ รูปร่างแบบนี้ ฆ่าพี่สาวจริงดิ”
“…”
“ว้าว ตื่นอะไรขนาดนั้นอ่ะ ฮ่าๆ”
“หุบปากมึงซะอีแหม่ม”
“อย่าเสือกอีปุ้ย!”
ปุ้ยผลักอีแหม่มจากทางด้านหลังในทันทีและเมื่อร่างที่อยู่ตรงหน้าของฉันโดนผลักมาอย่างเต็มแรงแล้วดูท่าหากไม่เลื่อนตัวหลบต้องโดนตัวเองอย่าแน่นอนฉะนั้นฉันจึงหลบก่อนร่างบางในชุดเดรสพาสเทลจะซุกหน้ากระทบกับผนังห้อง ไม่จบแค่นั้นหรอกเพราะพอหน้าอีกฝ่ายแนบไปกับผนังห้องก็มีมือของปุ้ยเข้ามาจับลงตรงท้ายทอยของอีแหม่มก่อนกดแรงลงไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังนะ อย่ากรี๊ดนะ”
“ปล่อยกูอีปุ้ย ปล่อย!”
“ปากยังไม่หายซ่าเหรอ?” หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่งเพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่เป็นประโยคแรกของฉันในการเอ่ยขึ้นมาจากนั้นก็เลื่อนตัวไปหาอีกฝ่ายในระยะห่างหน่อยก่อนยืนพิงผนังยื่นมือออกมองดูสีเล็บของตัวเองอย่างสบายใจ ไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งนั้นอีกทั้งส่งยิ้มให้ใบหน้าที่กำลังมองตัวเองอยู่ “หรือต้องเอาอะไรยัด”
“ยัดเงินเยอะสินะ มึงถึงรอด”
“...”
“อีหนึ่ง อีฆาตกร!”
“มึงว่าเล็บกูสวยมั้ยอีแหม่ม” เล็บยาวสีแดงสดกรีดกรายไปบนอากาศย้ายไปมาต่อหน้าอีกฝ่ายด้วยความใจเย็นแบบไม่มีที่สิ้นสุด ในยามที่เล็บเล่นกับแสงไฟก็ยิ่งสวยเข้าไปกันใหญ่เลยแหละแต่เหมือนจะใช้ไม่ได้กับอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ยังระอุไม่พอ “ไม่ตอบแสดงว่าสวยไม่พอสินะ ว่ามั้ย?”
“อีประสาทแดก”
“…”
“อีหนึ่งสารเลวฆ่าพี่สาวตัวเอง!”
“โอเคในเมื่อมึงอยากให้กูเป็นนัก กูก็จะเป็นให้”
“…”
“ทีแบบนี้มึงหยุดทำไม ทำไมไม่เห่าต่อไปล่ะอีแหม่ม พูดต่อไปเลยสิไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเพราะกูไม่ทำอะไรมึงอยู่แล้วแต่คนรอบตัวมึงไม่แน่ กูจะเป็นฆาตกรทำให้ร้านทำเล็บชื่อดังของพี่สาวมึงตายหายไปจากวงการแบบไม่ได้ผุดเลยล่ะอีแหม่ม”
อย่าหาว่าใจร้ายหากเป็นคนดีแล้วถูกว่าร้ายแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องดีมันแล้ว การยอมของฉันมันมีอาณาเขตหรือจะเรียกเส้นความอดทนเหมือนทุกคนนั้นแหละจะต่างกันก็เพียงแค่มีมากหรือว่ามีน้อยเท่านั้นและบอกได้เลยฉันมีมากแต่ไม่ใช่ว่าจะยอมให้อีกฝ่ายกระทำตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว
“โถ่... อีฝันเฟื่อง”
“…”
ไร้สาระกับคำเหยียด
สารพัดคำดูถูก
หลายประโยคทำนองพวกนี้คิดว่าจะเล่นงานฉันได้หรือไงกันบอกได้ว่าแค่นี้มันไม่ได้เสี้ยวหนึ่งที่ฉันเคยเจอมาหรอก ไม่ได้ครึ่งสักนิดเดียวด้วยซ้ำหากจะทำร้ายโดยส่งคำพูดพวกนี้มาให้รู้สึกคิดผิดและก็เล่นผิดประเด็นไปหน่อย นาทีที่ได้ยินฉันไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้นนอกจากกรีดนิ้วไปมาบนอากาศอวดอีกครั้งหนึ่ง
“อีหนึ่ง อีหน้าด้าน”
“…”
“อี...”
“เชิญด่าตามสบายเลย ร้านพี่มึงพังก็นั่งจิบไวน์ด่ากูก็ได้”
“เหอะ คนแบบมึงเหรอจะพังร้านพี่กูที่มีผัวเป็นถึงไฮโซได้ มึงฝันเหรอ”
ใช่มั้ง
อยากทำให้เด็กดูจัง
ว่าแล้วก็เห็นว่าเสียเวลาไปมากสำหรับเรื่องไร้สาระโทรศัพท์ของตัวเองที่พึ่งเอาออกมาถูกต่อสายไปยังหมายเลยหนึ่งรอไม่นานปลายสายก็รับมัน
“ฉันต้องการให้ร้าน... ไม่มีที่ยืนในสังคม”
[ได้ครับ]
จากนั้นสายก็ตัดคราวนี้รอยยิ้มเหยียดเกิดจากริมฝีปากของฉันบ้าง เกิดขึ้นโดยที่มีสายตาหนึ่งจ้องมองอย่างแค้นเคืองเป็นที่สุดทั้งที่ไม่มีวันทำอะไรฉันได้
“รอดูผลนะ รอดูผลว่าคราวนี้มันจะเป็นยัยไงอีแหม่ม”
“…”
“คำว่าฆาตกรมันจะตราหน้าหรือจิตสำนึกมึงหรือเปล่าที่ทำให้พี่สาวตัวเองเป็นแบบนี้”
“…”
“กูนี่อยากรู้จัง” ฉันร้ายได้มากกว่านี่อีกหากใครคนนั้นทำร้ายฉัน “ปล่อยมันปุ้ย”
นึกเหรอว่ามันเป็นแค่คำขู่จากคำแบบฉัน
ไม่ต้องนึกให้เสียเวลาเพราะมันไม่ใช่เลยสักนิด
ไม่ใช่คำขู่แต่เป็นการทำจริง
ถัดมาไม่กี่ชั่วโมงร้านทำเล็บชื่อดังกลายเป็นข่าวดังติดเทรนมากมายในโซเชียลในเรื่องร้านที่จู่ๆ โดนปิดโดยไม่รู้สาเหตุใดๆ ทั้งสิ้นอีกทั้งยังทิ้งลูกค้าระดับเซเลปหลายคนกลางคัน พอข่าวกระจายออกเป็นวงกว้างจากที่จะได้ความสงสัยกับกลายเป็นการประท้วงเรียกร้องให้ทางร้านรับผิดชอบต่อลูกค้าต่างๆ นานา
แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีที่ฉันไม่เอ่ยปากขอเขาให้ทำมากว่านี้
หากขอเกินแน่นอนว่าผลที่อีกฝ่ายได้รับมันยิ่งกว่านี้ คำว่าปรานีใช้ไม่ได้หรอกหากเปรียบได้ว่าอีกฝั่งล้มลงแทนที่จะช่วยเหลือแน่นอนว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่ยื่นมือเข้าไปพยุงช่วยทว่ากับส่งเท้าเข้าไปกระทืบแทนมากกว่า
“แน่ใจนะว่าผลเสียไม่ถึงแกอ่ะหนึ่ง”
“ทีมเก็บกวาดเรียบขนาดนั้นไม่ถึงหรอก” ฉันปฏิเสธปุ้ยไปทั้งที่สายตายังมองไปยังกลุ่มเมฆฝนขนาดใหญ่ไม่ไกลจากบนทางด่วนเส้นหนึ่งที่รถติดอยู่ “ไม่ต้องกลัว”
“ถ้าฉันกลัวจะอยู่กับแกได้นานเหรอ คิดสิ”
นั่นสิแล้วจะกลัวอะไร
“แล้วถามทำไมกัน”
“คนแบบอีแหม่มมันงูพิษจะตาย อสรพิษยังไงก็อสรพิษ”
“แต่ฉันมันนรกนะ เจอกับอสรพิษยังไงนรกก็ชนะ”
“หยุดว่าตัวเองแบบนั้น” หยุดได้เหรอ... ถ้าหยุดได้ป่านนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้วแต่ยังหยุดไม่ได้ไงถึงได้เป็นแบบนี้เหมือนกับการเดินไปข้างหน้าสามก้าวแต่ถอยมาสี่ก้าวยังไงมันก็เหมือนอยู่ในจุดเดิม “ไม่มีใครอยู่ในจุดเดิมทั้งนั้นหนึ่งแม้แต่แกก็ยังไม่อยู่จุดเดิมเลยด้วยซ้ำไป”
“คิดงั้นเหรอ ฉันอาจอยู่จุดเดิมนะปุ้ย”
“แกไม่ได้อยู่จุดเดิม แกไม่ได้เป็นเด็กคนนั้น แกไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้น แกไม่ได้เกี่ยวกับใครที่นั่น ตอนนี้แกคือนางแบบสาวคิวทอง แกคือคุณหนึ่งของเขา แกคือคนๆ หนึ่งที่หลายคนเอาเป็นแบบอย่าง” ปุ้ยละสายตาจากถนนรถติดเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้มามองฉันนิ่ง “อย่าคิดแบบนั้น”
“…”
“แกมีค่านะหนึ่ง”
“…”
“มีค่าสำหรับคนอื่นๆ”
“แต่ไม่ใช่กับคนที่นั่น”
“แล้วจะเทียบอะไรจากคนที่นั่นอีก” หากเป็นคนอื่นฉันรู้ว่าปุ้ยคงสาดเอาประโยคด่าทอเพื่อให้ตั้งสติได้ออกมาด่าแล้วยกเว้นแค่เพียงตอนนี้คนที่เธอพยายามพูดให้รู้สึกดีมันเป็นฉันเท่านั้น “อย่าเทียบอะไรจากคนที่ไม่ให้ค่าเรา”
“…”
“ขอร้องเลยหนึ่ง”
“ฉันไม่คิดทำร้ายตัวเองหรอกหน่า ฉันตายไม่ได้หรอกปุ้ย เขาไม่ให้ฉันตายง่ายๆ หรอก”