สุดท้ายแล้วโชคชะตากลับมาเล่นตลกกับหัวใจที่แสนจะบอบบาง นานนับครั้งที่พู่กันเอาแต่จับจ้องมุมข้างของภาม แต่ก็เท่านั้นในเมื่อตอนนี้ความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นออกมาต้องกลับปิดผนึกมันอีกครั้งและอาจตลอดกาล รถหรูเคลื่อนมาจอดหน้าโรงพัก หลังจากที่ตกลงกับพ่อของเธอให้มันเสร็จ ภามก็ขับรถมาถึงบ้านแล้ว ซึ่งเขารู้ได้ไงว่าเธอจะไปโรงพัก แล้วเขาต้องไปส่งแฟนเขาไม่ใช่เหรอ แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
"ลำบากพี่ภามแย่เลย พี่กลับไปก่อนเถอะค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง" พูดจบก็ยืนมือไปเปิดประตู แต่...แกร็ก ประตูกลับเปิดไม่ได้ หันไปมองเจ้าของรถปรากฎว่าเขากำลังมองเธออยู่ รู้ทั้งรู้ว่าเธอเปิดประตูไม่ได้แแต่เขากฺ็กลับนิ่งเฉย จะเล่นสงครามทางประสาทใช่ไหม
"ช่วยปลดล็อคประตูให้หน่อย ได้ไหมคะ ฉันเปิดประตูไม่ได้"
พรึบ!! พู่กันเบิกตากว้างถอยหลังชิดประตูรถเมื่อภามโน้มตัวมาหา พร้อมกับใช้แขนทั้งสองขังเธอไว้ "จะ จะทำอะไร"
"แน่ใจ ว่าเราไม่ได้สนิทกัน แล้วทำไม...."
เสียงเคาะกระจกรถทำให้พู่กันผลักภามออกก่อนจะปลอดล็อคประตูแล้วเดินลงไปทันที แต่เขากลับเดินลงมาตามซ่ะงั้น พู่กันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
"ผมภาม"
"ผมศิลา เป็นตำรวจอยู่ที่นี่"
"เข้าไปข้างในเถอะครับ" เจ้าของใบหน้าหวานพยักหน้าให้หมวดศิลา
"กลับบ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวหมวดจะเป็นคนไปส่งฉันเอง" ว่าจบก็ก้าวขาเดินตามหมวดเข้าไปในห้องหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของหมวดศิลา มีเอกสารเต็มโต๊ะไปหมด
"เรียกมาดึกดื่นแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าหมวดเหงา"
"เปล่าครับ" ตัดแบบไม่มีเยื่อใยจริงๆ
"ฉันแกล้งเล่นเฉยๆน่าพี่ศิลา ทำหน้าเครียดเชียว" เอกสารบางออย่างถูกยื่นมาให้เธอ เปิดดูข้างในก็พบว่ามันคือประวัติการรักษาของใครคนหนึ่ง
"ประวัติการรักษา ฟ้าฝน ผมอยากให้คุณช่วยทำให้เธอกลับมาพูดอีกครั้ง" ตัวหนังสือที่ปรากฎอยู่บอกว่า ฟ้าฝนมีอาการซึมเศร้า ไม่พูด ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว และมีอาการหวาดกลัว"
"เธอไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้นอกจากผมและคุณ อีกอย่างคุณก็เป็นแพทย์ทางด้านนี้ และผมไว้ใจคุณ ช่วยเธอได้หรือเปล่า"
"ฟ้าฝนคงจะเจอเรื่องที่ทำให้กระทบภายในจิตใจมามาก ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุที่พ่อเธอเสียหรือเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ พู่กันจะช่วยเธอให้ถึงที่สุด ขอบคุณหมวดนะคะที่ไว้ใจพู่กัน"
“ว่าแต่ขอถามอะไรหมวดหน่อยสิ” ศิลาเลิกคิ้วเชิงอนุญาต
“หมวดก็หน้าตาดี หรือพูดตรงๆ คือหมวดหล่อ หมวดมีแฟนยังอ่ะ” ร่างสูงของศิลามองใบหน้าจิ้มลิ้มนิ่งงัน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ชอบถามอะไรไร้สาระ ข้างนอกยุงเยอะ ปล่อยให้แฟนยืนรอนานระวังจะไม่ดีเอา” แฟน พู่กันเลิกคิ้วก่อนจะมองไปข้างนอกหน้าต่างก็พบว่าร่างสูง ใบหน้าหล่อไม่แพ้กับคนตรงหน้ายืนพิงรถอยู่
“เฮ้ย หมวดเข้าใจผิดแล้ว ฉันกับเขาเป็นแค่คนรู้จักกันแค่นั้นแหละ อีกอย่าง เขาก็มีแฟนแล้ว” น้ำเสียงฟังดูจริงจังแต่ประโยคสุดท้ายกลับดูแผ่วเบา พู่กันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองร่างสูงข้างนอกอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ภามเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นใบหน้าหวานๆของพู่กัน แต่แค่เห็นใบหน้านั้นกลับทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยอมรับว่าพู่กันโตขึ้นแล้วสวยมากๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนที่ดื้อไปหน่อย แค่มองครั้งเดียวก็รู้แล้ว ว่าเด็กคนนี้แสบแค่ไหน
“ทำไมไม่เข้าไปรอข้างในรถคะ อีกอย่างควรจะกลับไปตั้งนานแล้ว” น้ำเสียงเชิงดุแต่สีหน้าดูยังไงก็ไม่น่ากลัว แถมยังน่ารักอีกด้วย
“คุยธุระเสร็จแล้วใช่ไหมครับ งั้นเรากลับกันเลยดีกว่า” ภามยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นร่างบางมีสีหน้ายุ่งเหยิง อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ตอบคำถามเธอเป็นแน่
ระหว่างทาง ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกัน จนกระทั่งมาถึงบ้าน ภามคว้ามือพู่กันไว้ขณะที่เธอจะลงจากรถ ทำให้เธอหันมามองด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พรุ่งนี้อย่าลืมไปงานการขึ้นรับตำแหน่งประธานบริษัทนะ” พู่กันดึงมือตัวเองออกจากมือของภาม ในใจรู้สึกดีใจที่เขาเอ่ยปากพูดประโยคนั้นกับเธอ แต่อีกใจหนึ่ง ก็กลัว กลัวว่าเธอจะหลุดออกจากความทรงจำเก่าๆไม่ได้
“ค่ะ แต่ฉันไม่รับปากหรอกนะว่าจะไปได้หรือเปล่า ขอบคุณที่มาส่ง”
ประตูรถถูกเปิดและปิดลงในที่สุด กลิ่นอายของคนตัวเล็กไม่จืดจางก่อนที่รถหรูจะเคลื่อนออกไปจากบริเวณบ้าน พู่กันเงยหน้ามองท้องฟ้า พลางบอกตัวเองในใจ ทำถูกแล้ว ต้องใจแข็งเอาไว้ เราเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น เขามีแฟนแล้ว ถอยออกมามันคือทางที่ดีที่สุด หากยืนอยู่ในจุดที่ไร้ซึ่งความสุขการถอยออกมาแล้วสร้างพลังบวกให้ตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุด
วันต่อมา
ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ภายในงานเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนต่างมีฐานะระดับสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีครอบครัวของพู่กันอยู่ด้วย ในแวดวงไฮโซมักจะพาลูกสาวและลูกชายออกงานเป็นส่วนมาก แต่สำหรับพู่กันป๊ากับม๊าไม่เคยบังคับให้มาด้วยเลยเพราะท่านทั้งสองเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวดี หากต้องบังคับกันก็คงไม่ใช่พ่อแม่ที่ดีสักเท่าไหร่ เพราะบางคนก็พามาหวังจะตีสนิทปรองดองกับอีกตระกูลหนึ่ง ต่อหน้าพูดดีแต่ลับหลังหวังเงินและชื่อเสียงเท่านั้น นั่นคือการจับลูกแต่งงานเพื่อธุรกิจ พู่กันดูออกหมดแหละว่าใครมาดีหรือมาร้ายไม่งั้นจะเรียนจิตเวชทำไมกันล่ะ วันนี้คิดจะไม่มาเสียด้วยซ้ำแต่ติดตรงที่ถูกม๊าขอร้อง เลยใจอ่อนมาเป็นเพื่อนม๊า
“คุณหญิงสวัสดีค่ะ เป็นไงมาไง สบายดีไหมคะ”
“สวัสดีค่ะ ชีวิตก็เรื่อยๆ มีสุขบ้างทุกข์บ้าง…”
เดินเข้ามาในงานได้ไม่นาน ก็มีหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาทักทายม๊าของเธอ พู่กันเพียงยกมือไหว้สวัสดีแค่นั้น ก่อนที่ทั้งสองจะพูดคุยกันตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน
“นี่ลูกสาวเหรอคะ โตขึ้นสวยไม่ต่างจากแม่เลยนะคะ” พู่กันเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มตามมารยาท
“ใช่ค่ะ พู่กันลูกสาวของฉันเองค่ะ”
“นี่ก้องภพลูกชายของฉัน พึ่งกลับจากเรียนต่างประเทศ รู้จักกันไว้ซะสิ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
พู่กันมองหน้าผู้ชายตรงหน้าที่จ้องมายังเธอไม่วางตาด้วยสายตาที่มักจะได้รับจากเล่าผู้ชายอยู่เรื่อย สายตาที่สื่อความต้องการออกมา พู่กันยกมือไหว้สวัสดีคนตรงหน้าก่อนจะบือนหน้าหนี
“พู่กันขอตัวก่อนนะคะ”
‘ใครอยากรู้จักไม่ทราบ’
ว่าจบร่างบางก็เดินมุ่งตรงไปที่โซนเครื่องดื่ม เพราะเธอมีผิวขาวนวลผ่อง บวกกับชุดเดรสสีชมพูอ่อน ทำให้เป็นที่จับจ้องสำหรับผู้ชายหลายคน แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่สวยหวานนั้นมีบางอบ่างที่เธอไม่เคยแสดงออกมาซ่อนอยู่ นั่นคือเงามืดที่ใครก็เข้ามาก้าวก่ายไม่ได้
"ถ้าไม่รังเกียจดื่มกับพี่สักแก้วนะครับ" ก้องภพที่เดินเข้ามาชวนชนแก้ว พู่กันไม่ปฎิเสธที่จะดื่มด้วย ถึงจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาเพื่อหวังอะไรบางอย่างก็เถอะ
"วันนี้น้องพู่กันสวยที่สุดในงานเลยนะครับ"
รอยยิ้มสวยเผยออกมา "วันนี้พี่ก้องภพก็หล่อไม่แพ้คนในงานเหมือนกัน" พู่กันถอยจนสะโพกแนบชิดกับขอบโต๊ะเมื่อก้องภพจงใจเข้ามาแนบชิด เขาใช้สายตาโล้มเลียไม่ห่างหาย
"พี่สนใจน้องพู่กันนะครับ" มือหนาแตะลงที่เอวคอด ลูบไล้อย่างไร้มารยาท ทว่า ก้องภพต้องร้องพลั้งปากออกมาด้วยความเจ็บปวด มือที่โอบเอวพู่กันตอนนี้มีอาการเคล็ดโดยฝีมือคนตัวเล็ก
"พอดีว่า พู่กันไม่ได้สนใจพี่ก้องภพและไม่ชอบให้ใครก็ไม่รู้มาแตะต้องร่างกาย" มือเล็กยกแตะไหล่ก้องภพ "อย่าคิดว่าผู้หญิงทุกคนจะรักเงินแล้วยอมนอนอ้าขาให้ เพราะผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นเครื่องมือบำบัดความไคร่มันน่ารังเกียจ"
"นี่เธอ.."
"ว่างๆ ก็เข้าพบแพทย์รักษาอาการป่วยทางจิตบ้างนะ"
จบประโยคแทงใจดำ พู่กันตั้งใจจะเดินไปหาม๊าเบลเพื่อขอตัวกลับ ถ้าหากไม่มีเสียงเรียกชื่อใครคนหนึ่งดังขึ้นดึงความสนใจทุกอย่าง
“แจนคิดถึงภามจัง”
เสียงที่ดังจากข้างหลังทำให้พู่กันหันไปมอง ก็พบว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่นาเดียร์แฟนของภาม แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับมีรูปร่างเปรี้ยวจี๊ดคล้ายกับนางมารร้ายเหมือนละครหลังข่าว ทำไมเธอรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย
“แจนปล่อยผม”
ภามดึงมือแจนออกเมื่อสบตากับเจ้าของใบหน้าหวานที่ยืนถือแก้วที่มีน้ำสีฟ้า ริมฝีปากอมชมพูจรดลงที่แก้วก่อนจะยกดื่ม ก่อนที่เธอจะมุ่งหน้าไปหาทั้งสองคน
“ยินดีด้วยที่ได้รับตำแหน่งใหม่นะคะพี่ภาม” พู่กันเดินแทรกระหว่างทั้งสองซึ่งทำให้แจนเซออกห่างจากภามทันที
“ขอบคุณนะ ที่มา” ร่างบางยกยิ้มก่อนจะหันไปมองแม่สาวปากแดงข้างๆ
“อุ้ย สวัสดีค่ะ คุณน้า”
“กะ แกเรียกฉันว่าไงนะ” แจนกำมือแน่นเมื่อได้ยินประโยคนั้น
“คุณน้าค่ะ” พู่กันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่มีความยั่วโมโหคนตรงหน้าไม่น้อย
“ยัยเด็กบ้า พูดกับฉันแบบนั้นได้ไง ภามคะ ดูสิมะ….”
“เอ้า ถ้าเรียกน้ามันไม่ถูก งั้นพู่กันก็ต้องเรียกว่าป้าใช่ไหมคะ”
“ฉันอายุ ๒๕ จะเป็นป้าได้ไงห้ะ” แจนรู้สึกเหมือนกำลังถูกต่อว่าทางอ้อมจากเด็กที่ไหนก็ไม่รู้
“ จริงเหรอคะ แต่หน้าไปไกลมากเลย พู่กันรู้จักคลินิคความงามมากมาย ให้แนะนำสักที่ไหมคะ เผื่อหน้าด้านๆจะได้กลับมาเรียบ”
แจนพยายามระงับอารมณ์ตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เธอเผลอทำร้ายเด็กผู้หญิงตรงหน้า จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังปั่นประสาทเธอเพื่อให้เธอสติแตก
“ว่าแต่ พี่นาเดียร์ไม่ได้มาเหรอคะ”
พู่กันถามถึงแฟนสาวของภามถึงแม้จะทำให้ภายในใจของเธอเจ็บปวดมากขนาดไหน แต่ถ้าให้เลือกระหว่างนาเดียร์กับยัยปากแดงข้างๆ เธอยอมเลือกนาเดียร์มาเป็นพี่สะใภ้จะดีกว่า
“เห็นบอกว่าจะมาค่ำๆหน่อย สงสัยจะอยู่เวร” เธอรู้สึกอิจฉาผู้หญิงที่ชื่อนาเดียร์จริงๆ เธอทั้งสวย รวย เป็นแพทย์ แถมได้ครอบครองหัวใจผู้ชายที่เป็นรักแรกของเธอ
“งั้นขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนได้ไหมครับ” พู่กันมองไปข้างๆก็ไม่พบสาวปากแดงคนนั้นแล้ว ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องอยู่
“ขอโทษนะคะ พอดีฉันต้องกลับแล้ว” พู่กันดึงแขนออกจากมือหนาแต่กลับไม่เป็นผล ภามดึงพู่กันให้เดินตามมาในห้องๆหนึ่งก่อนที่เขาจะปิดประตูพร้อมกับล็อคกลอน
“จะทำอะไร” ร่างบางถูกดันชิดประตูจนรู้สึกเจ็บที่หลัง พร้อมกับร่างสูงหนาทาบทามเข้ามา
“ทำไมต้องเย็นชากับพี่ด้วย”
“ปล่อยฉันด้วยค่ะ คุณภาม”
“ตอบคำถาม ไม่ได้ให้สั่ง” พู่กันมองคนตรงหน้าด้วยความมึนงง เขากำลังโมโห แต่เขาจะโมโหเรื่องอะไรล่ะ ทำไมถึงลากเธอเข้ามาในห้องด้วย
“ฉันกับคุณไม่ได้สนิทกัน คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้ ปล่อยค่ะ”
พู่กันผลักร่างสูงของภามออกก่อนจะกดรับมือถือ เขามองตามพู่กันที่ยกมือถือแนบหู ซึ่งรู้ว่าคนในสายคือใคร
“ว่าไงนะคะ…”
“ค่ะ ฉันจะรีบไป”
“พี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ภามมองร่างบางเดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิด เขาหยิบกุญแจรถมุ่งออกจากห้อง ก่อนจะเดินตามพู่กันไป เขาไม่ชอบตำรวจคนนั้นเลยสักนิด เขาอิจฉาที่ตำรวจคนนั้นได้รับรอยยิ้มจากจากพู่กันซึ่งเขาไม่เคยได้รับเลยสักนิด ซึ่งมีแต่ความเย็นชาที่เขาได้รับจากเธอ