ตอนที่ 3 ผู้รอดชีวิตกับมิติเก็บของส่วนตัว

2314 Words
มีนานอนอดทนกับความทรมานจากการวิวัฒนาการอยู่เกือบชั่วโมง ซึ่งเธอแน่ใจแล้วว่าอาการเหล่านี้คือร่างกายของเธอได้ทำการพัฒนาตนเองเข้าสู่ระดับ 3 เรียบร้อยแล้ว ทั้งสายตา การได้ยิน และความแข็งแรงถึงแม้จะไม่เทียบเท่าเมื่อตอนก่อนที่จะตาย แต่ก็นับว่ามีประโยชน์ในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนระยะระบาดระลอกที่สองที่กำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อความเจ็บปวดค่อยๆ หายไป เธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันไปมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา 11.15 น. แล้ว เธอหลับไปเกือบ 4 ชม. แต่ก็เป็นการหลับพักผ่อนที่น่าพึงพอใจ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นเธอจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำสระผม และแต่งตัวเพื่อจะเตรียมวางแผนการและคิดทบทวนถึงวิธีการที่เธอเคยใช้เอาตัวรอดในครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเรียกว่าเธอค่อนข้างโชคดีที่สามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ มาได้ทุกครั้ง คงเพราะความเสียใจในเรื่องของเฟิงมี่ทำให้เธอดูเฉยชาและไร้อารมณ์จนผู้คนไม่กล้าเข้ามายุ่งด้วยนั่นเอง เมื่อจัดการตนเองเรียบร้อยเธอก็มายังห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน มองไปที่โต๊ะกินข้าวเห็นมีที่ครอบอาหารวางเอาไว้ คงเป็นเฟิงมี่ที่เตรียมเอาไว้ให้เธอนั่นเอง เปิดออกดูก็เห็นกับข้าวจานเนื้อ จานผักและน้ำแกง เธอจัดการนำพวกมันใส่ไมโครเวฟเพื่ออุ่นร้อนก่อนจะไปตักข้าวสวยหอมๆ มานั่งกินอย่างมีความสุข นานแล้วที่เธอไม่ได้กินอาหารปรุงสุกใหม่ ส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นพวกอาหารแห้งหรืออาหารกระป๋องก็เป็นพวกเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ โชคดีที่พวกสัตว์ต่างๆ ไม่ได้ติดเชื้อจนเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นตามไปด้วย แต่พวกมันก็ต้องถูกล่า หรือถูกพวกซอมบี้จับกินเช่นกัน และยิ่งผ่านไปหลายปีพวกมลพิษที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานต่างๆ ที่เกิดระเบิดหรือถูกทิ้งร้างก็ทำให้อากาศบนโลกยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก ฤดูกาลเกิดการเปลี่ยนแปลง ฝนไม่ตกติดต่อกันนานหลายปี แหล่งน้ำต่างๆ ก็ได้รับผลกระทบ จนผู้รอดชีวิตแทบจะไม่มีแหล่งน้ำสะอาดไว้กินไว้ใช้ ต้องอาศัยการขุดเจาะน้ำบาดาลขึ้นมาทดแทน แต่ก็ใช่ว่าจะเจอน้ำสะอาดหรือจะขุดแล้วเจอแหล่งน้ำเสมอไป เมื่อกินอาหารจนอิ่มหนำดีแล้วเธอก็เอาจานชามไปล้างแล้วก็ต้องแปลกใจ ที่นิ้วกลางข้างซ้ายของเธอเหมือนมีรอยอะไรเลอะอยู่ เธอล้างมือจนสะอาดพยายามขัดเจ้ารอยเปื้อนนั้นมันก็ไม่หลุดออกจนเธอเลิกล้างแล้วทำการเช็ดมือจนแห้งสนิทเดินมานั่งลงที่โซฟาในห้องรับแขก แล้วพิจารณารอยเปื้อนนั้นอย่างละเอียดจึงพบว่ามันดูคล้ายเป็นรอยสักรูปผีเสื้อตัวเล็กๆ หลายตัวล้อมนิ้วของเธอไว้คล้ายกับแหวน เธอจำได้ว่าไม่เคยสัก ไม่ใช่เธอไม่อยากสัก แต่กลัวว่าร้านที่เธอไปสักอาจจะไม่สะอาดพอ หรือเขาอาจจะสักได้ไม่สวยอย่างที่เธอต้องการ หรือแม้กระทั่งบริษัทที่เธอจะไปสมัครงานอาจไม่รับคนที่มีรอยสัก เธอจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องการสักร่างกายเลย มีนาเอานิ้วมือลูบไปที่รอยสักผีเสื้อที่นิ้วกลางข้างซ้ายของตนเองแล้วก็ต้องประหลาดใจ ขณะที่เธอจ้องมองไปที่รอยสักนั้นเธอมองเห็นห้องโล่งกว้างห้องหนึ่งเธอไม่รู้ว่ามันมีขนาดเท่าไหร่ แต่เธอกลับรู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้ในทันที และขนาดที่เห็นอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ขนาดจริงของห้องว่างนี้อีกด้วย ดูท่าการกลับมาของเธอในครั้งนี้สวรรค์คงจะคอยเอาใจช่วยเธออยู่แน่ ทั้งร่างกายที่เข้าสู่วิวัฒนาการและยังพัฒนามาถึงขั้น 3 แล้วยังรอยสักที่เรียกว่าเป็นมิติเก็บของอันนี้อีก การเอาตัวรอดในวันสิ้นโลกครั้งนี้ของเธอคงมีหนทางที่จะสำเร็จได้แล้ว เมื่อรู้ว่าตนเองได้รับความสามารถเพิ่มจิตใจมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตรอดในวิกฤตการณ์วันสิ้นโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงมีมากตามไปด้วย แผนการที่เคยใช้ในชีวิตก่อนถูกจดลงสมุดบันทึกทันที เปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อค้นหาข้อมูลต่างๆ และแผนที่เดินทาง อันไหนที่ใช้ได้อันไหนที่ควรหลีกเลี่ยงเธอนั่งไล่ทบทวนไปทีละอย่าง จนเมื่อเรียบเรียงถึงค่ายของผู้รอดชีวิตเก่าที่เธอเคยอยู่ และครั้งนี้เธอก็วางแผนจะไปที่นั่นเช่นเดิม แต่ครั้งนี้เธอจะไปอย่างคนที่มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีและพร้อมกว่าครั้งก่อน ค่ายผู้รอดชีวิตนั้นถ้าในวันสุดท้ายทุกคนไม่ถอดใจจนยอมแพ้ ก็น่าจะสามารถอยู่ต่อไปได้อีก แผนการในครั้งนี้ที่นั่นจึงถือว่าเป็นจุดหมายปลายทาง ครั้งก่อนเธอใช้เวลากว่า 5 ปีกว่าจะเดินทางไปถึงเพราะระยะทางที่เรียกได้ว่าจากใต้สุดไปเหนือสุด และไหนจะเจอฝูงซอมบี้หรือเหล่าผู้คนทั้งหลายที่ต้องพบเจอระหว่างทาง แต่ครั้งนี้เธอจะไปให้ถึงที่นั่นภายใน 2-3 ปีนี้ให้ได้ เมื่อวางจุดมุ่งหมายเรียบร้อย ก็มาวางขั้นตอนของการเดินทาง อย่างแรกที่เธอจะต้องหามาก็คือรถ ครั้งก่อนมีรถขับเคลื่อนสี่ล้ออยู่หลายยี่ห้อที่สามารถใช้งานได้ดี และเธอจดบันทึกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็สำรวจทรัพย์สินและเธอก็รับรู้ได้ถึงปัญหา เธอมีเงินในบัญชีแค่เพียง 20,000 เหรียญเท่านั้น เพราะเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องหาเงินส่งเสียตนเองเรียน และในตอนนี้เธอยังไม่มีงานประจำทำสถานการณ์เงินของเธอจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาซื้อรถยี่ห้อที่ต้องการ แล้วไหนจะพวกเสบียงหรือข้าวของจำเป็นต่างๆ เธอไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาซื้อมากักตุนเอาไว้เช่นกัน ครั้งก่อนเธออาศัยเดินทางไปเจอก็นำพวกมันมาใช้หรือเก็บเอาไว้เท่าที่จะทำได้แค่นั้น แต่ครั้งนี้เธอสามารถกวาดพวกมันมาได้ทั้งหมดตามที่เธอต้องการ แล้วเธอจะต้องทำอย่างไรล่ะ เงินจำนวน 20,000 เหรียญเธออาจจะไม่สามารถซื้อรถพวกนั้นได้ แต่เธอสามารถเช่าพวกมันได้เธอแค่ทำการเช่าในระยะเวลา 1-2 วัน พอเกิดฝูงซอมบี้ขึ้นก็คงไม่มีใครมาตามทวงรถกับเธอแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเข้าอินเทอร์เน็ตอีกครั้งเพื่อหาบริษัทรถเช่าที่มีรถยี่ห้อที่เธอต้องการ และเธอก็เจอบริษัทหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของเธอมากนัก เธอจึงรีบโทรไปสอบถามถึงราคาค่าเช่ารถทันที หลังจากสอบถามและทำการจองรถเรียบร้อย เธอก็ได้ยินเสียงประตูคอนโดถูกเปิดเข้ามา "มีนา!!" เสียงเรียกด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นมาจากประตูห้อง พร้อมกับร่างของเฟิงมี่ที่รีบวิ่งมานั่งลงข้างเธอที่โซฟาในห้องรับแขกทันที "มันเกิดขึ้นจริงใช่ไหม" ไม่ต้องพูดหรือถามอะไรให้มันมากความจากปฏิกิริยาของเพื่อนเธอก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงเชื่อสิ่งที่เธอบอกไปแล้ว "ใช่ มีข่าวเรื่องไวรัส O เกิดการแพร่กระจายเข้ามาในประเทศแล้ว พอฉันเห็นข่าวนั้นก็รีบเก็บของแล้วขอลากลับมาหาแกทันทีเลย ความฝันที่แกบอกมันเกิดขึ้นจริงใช่ไหม แล้วฉันต้องทำอะไรต่อไป" เฟิงมี่เอ่ยถามเพื่อนด้วยท่าทางสับสน ตอนแรกเธอไม่เชื่อเรื่องที่เพื่อนพูดสักเท่าไหร่ แต่พอข่าวเมื่อเที่ยงวันออกมาอย่างที่เพื่อนของเธอบอกเอาไว้ทุกอย่างเธอก็ไม่รีรอที่จะรีบเก็บข้าวของของตนเองแล้วกลับมาหาเพื่อนที่คอนโดทันที "อืม ไม่ต้องตกใจครั้งนี้โชคดีที่แกกับฉันยังพอมีเวลาเตรียมตัวอยู่ อย่างแรกที่แกต้องทำคือโทรหาต้าหวงว่าแกจะไปพักอยู่ที่ค่ายทหารกับเขาสักหนึ่งอาทิตย์ แล้วแกก็ไปเก็บของจำเป็นของตัวเองแล้วฉันจะบอกแผนการขั้นต่อไปให้ฟัง" มีนาได้คิดแผนให้เพื่อนรักของตนเองเอาไว้แล้ว อีกฝ่ายมีคนรักเป็นทหารที่อยู่ในค่ายทหารของอีกเมือง ใช้เวลาขับรถประมาณ 6 ชม.ก็ถึง และตอนที่เกิดเรื่องครั้งก่อนเธอก็เดินทางไปที่นั่นเช่นกัน และยังได้เจอคนรักของเพื่อนสนิทอีกด้วย แต่พอเธอเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง ก็เหมือนความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักของเพื่อนจะขาดลงในทันที อีกฝ่ายรับไม่ได้ที่เธอสังหารคนรักของตนถึงแม้อีกฝ่ายจะกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วก็ตาม เธอจึงต้องออกจากค่ายทหารแห่งนั้นและเดินทางหาค่ายทหารแห่งอื่นแทน และเธอได้เจออีกฝ่ายที่ค่ายแห่งสุดท้ายนั่นในตอนที่เธอเดินทางไปถึงหลังจากนั้นห้าปี แต่ความสัมพันธ์ของเธอและอีกฝ่ายก็ยังคงแย่เช่นเดิม และอีกฝ่ายก็เป็นหนึ่งในคนที่ยินยอมให้ทำการระเบิดตนเองในอาคารหลังนั้น "ให้ฉันไปหาต้าหวงอย่างงั้นรึ แล้วอะไรคือครั้งนี้โชคดี แกหมายความว่ายังไงมีนา" เฟิงมี่ฟังที่เพื่อนพูดก็เห็นด้วยคนรักของเธอเป็นทหารมีตำแหน่งพอสมควรน่าจะเป็นที่พึ่งพาได้ แต่อะไรคือคำว่าครั้งนี้แล้วมันมีครั้งก่อนอีกอย่างงั้นรึ "มี่มี่ ความจริงฉันไม่ใช่แค่ฝันไปหรอกนะ แต่ฉันได้ไปอยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้มาจริงๆ ฉันใช้เวลาเกือบห้าปีกว่าจะเจอค่ายผู้รอดชีวิตที่มั่นคงและแข็งแรงพอที่จะใช้ชีวิตได้ และฉันก็อยู่ที่ค่ายนั้นอีกห้าปีจนถึงวันสุดท้ายที่ฝูงซอมบี้บุกมาถึง และที่แย่สุดๆ ก็คือทุกคนในค่ายยอมแพ้ต่อโชคชะตานั้นยินยอมที่จะตายดีกว่าต่อสู้ มีแค่ฉันที่ไม่ยินยอมแต่ฉันแค่ตัวคนเดียวจะไปทำอะไรได้ นอกจากได้รับหน้าที่เป็นคนกดระเบิดค่ายแห่งนั้นเพื่อกำจัดซอมบี้และสังหารผู้รอดชีวิตกว่าพันคนให้ตายลงทั้งหมด รวมถึงตัวของฉันเองด้วย" มีนาเอ่ยเล่าเรื่องราวในที่ผ่านมาของตนให้เพื่อนสนิทฟัง ในน้ำเสียงนั้นมีแต่ความไม่ยินยอมและความเจ็บปวดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ "โถ่ มีนา แกคงลำบากและทรมานมากเลยสินะ แต่ไม่เป็นไรนะครั้งนี้ฉันเชื่อว่าแกจะต้องผ่านมันไปได้ พวกเราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ" เฟิงมี่ที่ได้ฟังสิ่งที่เพื่อนเล่าด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดก็ให้รู้สึกสงสารเพื่อนของตน หญิงสาวตัวคนเดียวต้องพยายามเอาตัวรอดมาเป็นสิบปีแต่ก็ไม่เคยคิดยอมแพ้ แต่กลับต้องมาตายลงเพราะคนอื่นถอดใจและยอมแพ้ "อืม เราจะผ่านมันไปด้วยกัน" มีนามองเพื่อนด้วยดวงตาของคนที่มีความหวัง ครั้งนี้เธอไม่ต้องเจ็บปวดจากการสังหารเพื่อนเพียงคนเดียวของตนเองอีกแล้ว และเธอมีสิ่งที่จะทำให้การต่อสู้และการเอาตัวรอดในครั้งนี้มีโอกาสที่จะสำเร็จได้มากขึ้นอีกด้วย "เลิกร้องไห้ได้แล้วแม่สาวงามแสนแข็งแกร่งผู้มีรอยยิ้มที่ละลายได้แม้แต่พระอาทิตย์บนฟ้าของฉันหายไปไหนกัน ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นสาวน้อยเจ้าน้ำตาไปได้ล่ะนี่" เฟิงมี่เอ่ยหยอกล้อเพื่อนเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนเจอมามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่เธอเชื่อว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างนี้ "ฮ่ะ ฮ่ะ เอาล่ะ ตอนนี้แกไปเก็บข้าวของเอาแต่ที่สำคัญ แล้วก็เลือกเสื้อผ้าที่คล่องตัวเหมาะกับการเดินทางติดไปด้วยสักสองสามชุด แล้วก็เดินทางไปรอฉันที่ค่ายทหารกับต้าหวงอีกไม่เกินสิบวันฉันจะรีบตามไป" มีนาเองเมื่อได้ฟังที่เพื่อนหยอกล้อก็ให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ครั้งนี้เธอไม่ต้องต่อสู้และอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว "อ้าว ทำไมแกไม่ไปพร้อมกับฉันเลยล่ะ" เฟิงมี่เห็นเพื่อนยิ้มได้ก็สบายใจขึ้น แต่ก็ยังสงสัยถึงสิ่งที่เพื่อนบอกตน "ฉันมีเรื่องที่ต้องเตรียมและจัดการอยู่น่ะ แกไม่ต้องเป็นห่วงฉันเอาตัวรอดได้ขอแค่แกไปอยู่กับต้าหวงอย่างปลอดภัยและรอฉันอยู่ที่นั่นก็พอ" มีนาเอ่ยบอกเพื่อนให้สบายใจ เธอยังมีแผนการที่จะต้องทำและเตรียมพร้อมอีกหลายอย่าง "ได้ ฉันจะไม่เป็นภาระของแก ในเมื่อแกว่าฉันไปอยู่กับอาหวงจะดีกว่างั้นฉันขอไปเก็บของก่อน" เฟิงมี่เองก็เข้าใจว่าเพื่อนคงมีสิ่งที่จะต้องทำหรือเตรียมพร้อมอยู่อีกก็ไม่เซ้าซี้แค่ทำในส่วนของตนเองให้ดีก็พอ ************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD