ตอนที่ 2 ผู้รอดชีวิตกับการกลับมาอีกครั้ง

2238 Words
'ติ้ด ติ้ด ติ้ด' เสียงดังของนาฬิกาปลุกทำให้ร่างที่นอนอยู่บนที่นอนค่อยๆ ขยับตัว เพราะมีนาได้ยินเสียงดังที่คุ้นหูแต่ก็ให้รู้สึกแปลกหูเช่นเดียวกัน แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจกับสัมผัสนุ่มที่ได้รับจากที่นอนใต้ร่างและผ้าห่มผืนหนาที่ห่มอยู่บนร่างของตน เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่เธอไม่ได้นอนบนที่นอนอันนุ่มนิ่มและห่มผ้าผืนหนาที่หอมกรุ่นเช่นนี้ อย่าว่าแต่ที่นอนหรือผ้าห่มเลยแค่ผ้าที่จะใช้ปูนอนหรือใช้ห่มบางครั้งเธอยังแทบหาไม่ได้ ต้องอาศัยนอนบนแผ่นไม้หญ้าแห้งหรือกองใบไม้แห้งก็บ่อยครั้ง เมื่อรับรู้ถึงเสียงของนาฬิกาปลุกและสัมผัสนุ่มก็ให้รู้สึกแปลกใจ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งจะกดระเบิดค่ายผู้รอดชีวิตไป แล้วตัวเธอจะมานอนบนที่นอนพวกนี้ได้อย่างไร ก็ให้ลืมตาและลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเป็นห้องที่ดูสะอาดและคุ้นเคยในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วของตน แต่ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจอะไรก็มีเสียงเหมือนคนเคาะประตูและเปิดเข้ามาเสียก่อน "มีนาแกเป็นอะไรไป เสียงนาฬิกาของแกแทบจะปลุกคนทั้งคอนโดให้ตื่นอยู่แล้วนะ" เสียงหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่เปิดประตูห้องเข้ามาทำให้เธอแทบจะครองสติตนเองเอาไว้ไม่อยู่ มีนามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตกใจ คนที่เปิดประตูห้องเข้ามาคือเฟิงมี่ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ ทั้งสองเติบโตขึ้นมาในสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน พวกเธอสองคนคอยช่วยเหลือกันมาตลอดตั้งแต่เริ่มจำความได้ พอถึงวัยที่ต้องออกจากสถานสงเคราะห์เธอทั้งคู่ก็ออกมาเช่าห้องอยู่ด้วยกันเพื่อทำงานส่งเสียตนเองจนเรียนจบในระดับปริญญาตรี และเพื่อนของเธอคนนี้ก็โชคดีได้งานทำทันทีที่เรียนจบ แต่พอถึงช่วงที่เกิดโรคระบาดระลอกสองขึ้นผู้คนกลายเป็นซอมบี้ เพื่อนสนิทของเธอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อและกลายเป็นซอมบี้ไปด้วย "มีนาแกเป็นอะไรร้องไห้ทำไม?" เฟิงมี่เห็นเพื่อนสนิทมีท่าทางแปลกๆ เหมือนกำลังตกใจอะไรสักอย่าง ยิ่งสายตาที่อีกฝ่ายมองมาที่เธอด้วยความตกใจปนความรู้สึกผิดก็ยิ่งให้รู้สึกแปลกใจ แต่พอเห็นเพื่อนมีน้ำตาเธอเองก็ตกใจจนลืมความแปลกประหลาดทั้งหมด แล้วเข้าไปกอดปลอบอีกฝ่ายเอาไว้ทันที "ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่ดีใจที่เจอแกอีกครั้งเท่านั้น" มีนาเอ่ยตอบออกไปด้วยเสียงสะอื้น ตอนนี้เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงได้กลับมานอนอยู่บนเตียงในห้องคอนโดเก่าของตน และได้เห็นเพื่อนสนิทคนนี้อีกครั้ง ทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์วันสิ้นโลกที่เธอเจอมา หรือตอนนี้เธออาจจะกำลังฝันอยู่แต่ความอบอุ่นที่ถูกกอดเอาไว้ แรงบีบที่แขนทุกอย่างเธอรู้สึกและรับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริง "ดีใจที่เจอฉันอีกครั้งอะไร เมื่อคืนแกกับฉันเพิ่งไปกินหม้อไฟด้วยกันมา แล้วเราสองคนก็เพิ่งจะแยกกันไปนอนเมื่อหกชั่วโมงที่แล้วนี่เอง แกประสาทหรือเปล่านี่" เฟิงมี่หญิงสาวสวยใบหน้าหวาน น้ำเสียงหวาน แม้แต่ชื่อก็ยังหวาน แต่นิสัยกลับตรงกันข้ามเอ่ยถามเพื่อสนิทตนด้วยท่าทางสับสน "มี่มี่ แกไม่รู้อะไรเมื่อคืนฉันฝันร้ายมากๆ ฉันฝันว่าเกิดโรคไวรัสระบาดขึ้นทำให้ผู้คนกลายเป็นซอมบี้ ฉันต้องหนีและคอยเอาตัวรอดอยู่ถึงสิบปีมันยาวนานมาก และสุดท้ายฉันก็ตายลงในวันสุดท้ายของวันสิ้นโลก" เธอเล่าให้เพื่อนฟังทั้งน้ำตาที่ไหลนองหน้า ความอึดอัดใจ อัดอั้นใจมาตลอด การพยายามที่จะเอาตัวรอดทำให้เธอแทบจะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีความหวังว่าจะต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ เธอก็อาจจะกลายเป็นหนึ่งในซอมบี้พวกนั้นไปแล้ว เพราะมีหลายครั้งที่เธอรู้สึกเหมือนอยากจะยอมแพ้ แต่อยู่ๆ ก็จะมีแรงฮึดทำให้เธอลุกขึ้นสู้และเอาตัวรอดจนผ่านมาได้ทุกครั้ง "ฉันบอกแกแล้วว่าอย่าดูซีรี่ส์ซอมบี้ของประเทศ K (เค) มากนักเป็นยังไงล่ะ อดหลับอดนอนดูมาเป็นอาทิตย์ๆ จนเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะมันน่าตีนัก และฉันคิดว่าตอนนี้แกควรลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ใกล้จะได้เวลาไปสัมภาษณ์งานแล้วไม่ใช่รึไง" เฟิงมี่ที่ได้ยินเพื่อนสนิทเอ่ยบอกเรื่องที่ฝันร้ายก็ให้ระอาใจ ช่วงหนึ่งปีมานี้ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้งานประจำทำจึงติดแอปพลิเคชันดูหนังชื่อดังเป็นอย่างมาก แล้วหนังที่อีกฝ่ายเลือกดูก็เป็นหนังของประเทศหนึ่งที่ขยันมีซอมบี้บุกโจมตีเมืองเสียเหลือเกิน เรียกได้ว่าเพื่อนเธออาจจะนั่งดูจนครบหมดทุกเรื่องแล้วก็ได้ แต่พอมองเวลาก็ต้องเอ่ยเตือนอีกฝ่ายถึงเรื่องสำคัญทันที "สัมภาษณ์งานอย่างงั้นรึ" มีนายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตนเองอย่างลวกๆ เอ่ยปากถามเพื่อน เธอจำได้ว่าตนเองเรียนจบมาได้หนึ่งปีแล้วแต่ยังหางานประจำทำไม่ได้ ส่งใบสมัครงานไปหลายที่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย จึงได้แต่ทำงานพิเศษที่ร้านค้าปลีกแห่งหนึ่งในเมืองเพื่อใช้เป็นค่ากินค่าอยู่ แต่แล้วเมื่อสองวันที่ผ่านมาเธอก็ได้รับสายเรียกเข้าสัมภาษณ์งานจากบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองที่เธออาศัยอยู่ ซึ่งเธอจำได้ดีว่าวันที่เธอไปสอบสัมภาษณ์เป็น 3 วันก่อนจะถึงการระบาดระลอกสอง เพราะก่อนวันที่เกิดการระบาดขึ้นนั้นเป็นวันแรกที่เธอได้ไปทำงานและในวันรุ่งขึ้นเพื่อนของเธอและผู้คนในเมืองก็ได้กลายเป็นซอมบี้ และซอมบี้ตัวแรกที่เธอลงมือฆ่าก็คือเพื่อนสนิทคนนี้ของเธอนี่เอง "ใช่ บริษัท SL (เอสแอล) ยังไงล่ะ แกอยากทำที่นี่มากไม่ใช่รึไง อุตส่าห์รอมาตั้งครึ่งปีเพื่อจะสมัครเข้าที่นี่ให้ได้" เฟิงมี่มองเพื่อนที่ตอนนี้หน้าตามอมแมมเต็มไปด้วยคราบน้ำตา จนแม้แต่ความสวยของอีกฝ่ายก็ยังต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่ความขี้เหร่ในครั้งนี้ "มี่มี่ ถ้าสมมุติแกมีเวลาแค่เจ็ดสิบสองชั่วโมงก่อนที่ฝูงซอมบี้จะบุกโลก แกยังอยากจะไปทำงานอยู่อีกไหม" มีนาคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 วันข้างหน้าก็รู้สึกไม่อยากจะปิดบังเพื่อนสนิทของตน เธอไม่อยากเสียเพื่อนคนนี้ไปอีกและเธอเชื่อว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันต้องเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน "ถ้าซอมบี้มันจะบุกมาจริงอย่างที่แกว่า ฉันก็ยินดีที่จะหลบอยู่แต่ในคอนโดนี้ แต่ถ้ามันเป็นแค่ความฝันของแก ฉันว่าแกก็ควรจะเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานได้แล้ว" เฟิงมี่รู้จักเพื่อนรักของตนเองดี อีกฝ่ายเป็นคนร่าเริงสดใส มองโลกในแง่ดี แต่ก็มีความดื้อรั้นและเชื่อมั่นในความคิดของตนเองสูง ถ้าคิดจะเถียงกับเพื่อนคนนี้ถ้าเธอไม่มีเหตุผลมากพออย่างไรก็ไม่มีทางชนะแน่นอน เพราะฉะนั้นการคล้อยตามอีกฝ่ายไปก่อนจึงเป็นสิ่งที่เธอใช้มาตลอด "แต่ถ้าฉันไม่ได้แค่ฝันไปล่ะ ฉันรู้ว่าแกคงไม่เชื่อแน่ๆ แต่ฉันก็อยากให้แกได้เตรียมตัวเอาไว้ เมื่อหกเดือนก่อนไม่รู้แกจำได้ไหมว่ามีข่าวว่ามีเชื้อไวรัสตัวหนึ่งทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นในประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งในทวีป F (เอฟ) และวันนี้ช่วงเที่ยงจะมีการรายงานข่าวว่าโรคระบาดนั้นได้เข้ามาถึงในประเทศ C ของเราแล้ว และในอีกสามวันมันจะแพร่กระจายไปทั่วประเทศ คนที่ติดเชื้อจะตายลงและภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงคนที่ตายเหล่านั้นจะฟื้นขึ้นมากลายเป็นซอมบี้" มีนาเอ่ยบอกเพื่อนสนิทของตนตามความทรงจำที่เหลืออยู่ ถึงแม้จะผ่านมากว่าสิบปีแต่เธอก็ยังจำมันได้ เพราะมีเรื่องงานของเธอที่ตรงกับเหตุการณ์เหล่านั้นเข้าพอดี "มีนานี่แกเชื่อความฝันจนคิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เลยอย่างงั้นรึ" เฟิงมี่มองเพื่อนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ "มี่มี่แกก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อย และฉันเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง วันนี้แกจะออกไปทำงานก็ได้ แต่ถ้าตอนเที่ยงมีข่าวว่าโรคระบาดจากไวรัส O (โอ) ได้ระบาดเข้ามาในประเทศแล้ว ให้แกลางานและกลับมาที่คอนโดทันทีเข้าใจไหม" มีนารู้ว่าเพื่อนอาจจะไม่เชื่อเธอแน่ๆ แต่เธอก็ไม่อยากจะบังคับเพื่อนมากนักให้อีกฝ่ายได้ลองตัดสินใจด้วยตนเองจะดีที่สุด "ได้ ถ้าช่วงเที่ยงมีข่าวอย่างที่แกบอกจริงๆ ฉันจะกลับมาหาแกที่นี่ เอาล่ะถ้าแกไม่คิดจะไปสัมภาษณ์งาน อย่างงั้นก็นอนพักเถอะ สภาพของแกตอนนี้ถ้ามีใครมาเห็นคงจะไม่เชื่อแน่ว่านี่คือสาวงามที่ถูกโหวตให้เป็นอันดับหนึ่งของคณะถึงสามปีซ้อน" เฟิงมี่แม้จะยังไม่เชื่อในเรื่องที่เพื่อนสนิทพูด แต่เธอก็พร้อมจะรับฟังอย่างมีเหตุผล และยังอดเอ่ยหยอกล้อเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลงบ้าง "ได้ แกเตรียมตัวไปทำงานเถอะ ฉันเองก็อยากจะนอนพักอยู่เหมือนกัน" มีนารู้ว่าเพื่อนยังไม่เชื่อที่ตนพูด ก็ได้แต่สงบใจลงรอให้ถึงตอนเที่ยงเพื่อนก็จะรู้เองว่าสิ่งที่เธอพูดมันเป็นเรื่องจริง และตอนนี้เธอเองก็รู้สึกเหมือนร่างกายยังไม่พร้อมจะเริ่มทำอะไรเลยอยากจะขอนอนพักต่ออีกสักหน่อย เมื่อเพื่อนสนิทออกไปจากห้องแล้ว มีนาก็มองสำรวจไปรอบๆ ห้อง และค่อยมองสำรวจร่างกายของตนเอง ตอนนี้ร่างกายของเธอยังเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางที่มีอายุเพียง 23 ปี ไม่ใช่หญิงแกร่งอายุ 33 ปี ที่สามารถอัดผู้ชายตัวโตจนล้มได้อีกแล้ว เมื่อคิดทบทวนเรื่องในความทรงจำได้ไม่นาน ความง่วงก็เข้าจู่โจมและไม่นานร่างบางก็หลับไป มีนาไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่เธอต้องสะดุ้งตัวตื่นขึ้นตอนที่อยู่ๆ บริเวณหลังมือตรงนิ้วกลางข้างซ้ายก็รู้สึกเจ็บแสบเหมือนถูกเหล็กร้อนนาบ เธอตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บแสบที่หลังมือ และตามด้วยความเจ็บปวดไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดนี้เหมือนตอนที่ร่างกายของเธอได้วิวัฒนาการเข้าสู่ระยะพัฒนาการขั้นที่ 3 ในช่วง 3 ปีแรกที่ไวรัสระบาด มนุษย์ก็ได้เกิดการวิวัฒนาการขึ้น ผู้รอดชีวิตแต่ละคนก็จะมีการวิวัฒนาการขึ้นระยะแรกหรือที่เรียกว่าขั้นที่ 1 การได้ยินเสียงจะดีขึ้นและไกลขึ้น ขั้นที่ 2 จะเป็นด้านสายตาที่ดีขึ้นและมองได้ไกลขึ้น ขั้นที่ 3 การเคลื่อนที่ความรวดเร็วว่องไวจะมากขึ้น ขั้นที่ 4 ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้น และขั้นที่ 5 ที่เป็นขั้นสุดท้ายคือพัฒนาการทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น 5 เท่า แต่ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานของร่างกายของคนคนนั้นเป็นหลัก และในเมื่อมนุษย์สามารถมีพัฒนาการขึ้นได้ เหล่าผู้ติดเชื้อที่กลายเป็นซอมบี้ก็มีพัฒนาการเช่นกัน ระยะแรกพวกมันสามารถเคลื่อนไหวได้ช้าในช่วงกลางวันคล้ายกับคนตาบอดแต่จะอาศัยการดมกลิ่นในระยะใกล้ ช่วงระยะที่ 2 หูของพวกมันจะได้ยินเสียงเพิ่มขึ้นมา ระยะ 3 เพิ่มสายตาการมองเห็น ระยะ 4 เพิ่มความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ ระยะ 5 ร่างกายของพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เพิ่มขึ้นในตอนกลางวัน แต่ในตอนกลางคืนพวกมันจะมีทั้งสายตา การได้ยิน และความเร็วอยู่แล้ว และก่อนที่เธอจะตายร่างกายของเธอได้พัฒนาเข้าสู่ขั้นที่ 5 แล้วทั้งแข็งแกร่งขึ้น รวดเร็วขึ้น ประสาทหูและประสาทตาของเธอก็แม่นยำคมชัดมากขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าสู่การพัฒนาได้ เพราะบางคนก็ทำไม่ได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำเธอได้ตำแหน่งรองหัวหน้าค่ายมา *********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD