ตอนที่ 6ทะเลหมอก
"ที่นี่ที่ไหนเหรอ ผมหมายถึงว่าอยู่ตรงไหนของประเทศน่ะ คุณ… เอ่อคุณพิมพ์ไปเจอผมได้ยังไง"
หลังจากที่คิรากรฟื้นขึ้นมาแล้ว สองสามวันที่ผ่านมาชายหนุ่มนอนกับที่ ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย เพราะร่างกายปวดร้าวเกินจะทนไหว แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือสาวสวยตรงหน้าคอยดูแลเขาไม่ห่าง ทั้งเช็ดตัวทั้งป้อนข้าว แม้กระทั่งขับถ่ายเธอก็ยังจะมาช่วยเหลือเขา ปกติแล้วคิรากรก็ไม่อายอะไรเพราะเขาเองก็ผ่านผู้หญิงมามากมาย ทว่ากับพิมพ์มาดาผู้หญิงที่เหมือนดอกมะลิคนนี้ เขากลับอายเกินจะให้มาเห็นสิ่งปฏิกูลของตนเองได้ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของพลพัชร์ไปโดยปริยาย
"ไม่ต้องคุณหรอกค่ะ พี่กรเรียกพิมพ์เฉย ๆ ก็พอ ที่นี่คือหมู่บ้านมะลิงามอยู่บนเขาของจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ ส่วนที่พิมพ์ไปเจอพี่กรก็เพราะว่า คืนก่อนนั้นฝนตกหนักค่ะ ตอนเช้ามาพวกเราเลยไปเก็บเห็ดระโงก เอ่อ...เห็นป่าสีเหลืองน่ะค่ะ มันจะโตหลังจากฝนตก ตรงที่พิมพ์ไปหามันไกลหมู่บ้านคนเลยไม่ค่อยไปหากัน แล้วอยู่ ๆ พิมพ์ก็ได้ยินเสียงระเบิด แต่พิมพ์ไม่ทราบหรอกว่าเสียงอะไร ส่วนคนที่เห็นจริง ๆ แล้วเป็นพี่พัชค่ะ พี่พัชบอกว่าฮ.ตกเราเลยไปดูเผื่อมีคนรอดชีวิต"
คิรากรไม่เข้าใจว่าหญิงสาวอธิบายอะไรยืดยาว เธอตอบนอกเรื่องออกไปไกล ทว่าเขาก็ไม่ได้ขัดอะไรปล่อยให้เธอได้พูด ปกติแล้วลูกน้องแต่ละคนของเขาจะพูดแค่ใจความสำคัญเท่านั้น การได้ฟังอะไรยืดยาวจึงเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับคิรากร
หญิงสาวเล่าไปป้อนข้าวชายหนุ่มไปด้วย คิรากรสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนที่หญิงสาวพูดถึงเฮลิคอปเตอร์ที่ตก ตอนนั้นถ้าไม่ได้สุพจน์เอาตัวเองมารองรับแรงกระแทกจากเขาเอาไว้ เขาก็คงจะตายไปแล้วเหมือนกัน
"ตอนแรกเราคิดว่าคงจะไม่มีคนรอดแล้ว แต่พิมพ์หันไปเจอพี่กรที่นอนสลบอยู่ตรงต้นไม้ซะก่อน โชคดีที่พี่กรออกมาได้ทันนะคะ"
โชคดีหรือ เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าโชคดีหรือไม่ ไปกันถึงสี่คนแต่เขากลับรอดมาได้แค่คนเดียว หากไม่ใช่ไอ้กัปตันคิดทรยศคนนั้นเขาคงไม่ประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ จริงอยู่ที่ว่าบอดี้การ์ดทุกคนของเขาย่อมต้องรู้ตัวว่า ขาข้างหนึ่งนั้นได้ก้าวลงไปสู่ความตายแล้ว แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมสุพจน์จากใจจริง และชายหนุ่มสาบานว่าครอบครัวสุพจน์จะต้องอยู่ดีตลอดไป
พิมพ์มาดามองหน้าชายหนุ่มที่เหมือนจะอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง เธอก็เข้าใจว่าชายหนุ่มคงจะสะเทือนใจไม่น้อย ก็เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมานี่เองย่อมต้องรู้สึกเป็นธรรมดา
"เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยค่ะ พี่กรอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างไหมคะ เดี๋ยวพิมพ์พาไป" ชายหนุ่มเงยหน้าไปมองก็เห็นหญิงสาวยิ้มให้อย่างปลอบโยน แก้มที่บุ๋มลงไปเป็นลักยิ้มเล็ก ๆ ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวดูเจิดจ้าเสียจนชายหนุ่มตาพร่ามัว คิรากรไม่เข้าใจอะไรนัก ทำไมหญิงสาวถึงได้ดีกับตนถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่พิมพ์มาดา ทว่าเป็นทุกคนในบ้านเลยก็ว่าได้
คิรากรนึกไปถึงวันที่ได้คุยกับพลพัชร์ในตอนที่ชายหนุ่มมาดูแลตนเรื่องขับถ่าย เขาพยายามจะเสนอเงินให้กับพลพัชร์ทว่าพลพัชร์กลับไม่รับ และยังบอกอีกว่า ถ้าเกรงใจก็คิดเสียว่าพลพัชร์เป็นเพื่อนคนหนึ่งก็พอ และเพื่อนก็จำเป็นต้องช่วยเพื่อนก็เพียงเท่านั้นเอง ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรซับซ้อนมากมาย คนบ้านนอกก็เป็นเช่นนี้ถึงจะจน แต่รวยน้ำใจ
"ผมเดินไม่ได้" คิรากรหลุบตามองขาตนเองที่อยู่ในเฝือกไม้ฝีมือของพิมลอย่างชั่งใจ เขาไม่แน่ว่าจะเดินไหวหรือไม่
"ไม่มีปัญหาค่ะ พิมพ์กับพี่พัชช่วยกันทำรถเข็นให้พี่กรแล้ว ทานข้าวให้หมดก่อนนะคะ เดี๋ยวพิมพ์พาไป" หญิงสาวยิ้มให้อย่างจริงใจ
"อืม" คิรากรพยักหน้าตกลง หัวใจชายหนุ่มฟูฟ่องขึ้นมาเหมือนมีธารน้ำเย็นไหลผ่าน
ไม่นานพิมพ์มาดาก็ป้อนข้าวให้ชายหนุ่มจนหมด คิรากรกินง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะจะเลือกกินไม่ได้ เขาจึงจำเป็นต้องกินทุกอย่างที่หญิงสาวนำมาป้อน และไม่น่าเชื่อว่าของทุกอย่างนั้นกลับอร่อยยิ่งกว่าอาหารภัตตาคารเสียอีก ร่างบางเดินหายออกไปหลังจากที่ป้อนข้าวเสร็จ เธอกลับเข้ามาพร้อมด้วยรถเข็นที่ทำจากไม้ ทว่ามีล้อเหมือนรถจักรยานเด็ก พิมพ์มาดาไปตามพนามาช่วยอุ้มร่างหนาที่เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมานั่งบนรถเข็น เมื่อเรียบร้อยดีหญิงสาวก็เข็นพาชายหนุ่มออกมาเดินด้านนอก
ตลอดทางชาวบ้านที่รู้ข่าวเรื่องของชายหนุ่มก็ออกมาดู มาถามเรื่องราว พิมพ์มาดาก็พูดได้เท่าที่พูด แต่มากกว่านั้นเธอก็ไม่รู้ เพราะคิรากรเองก็ไม่ได้บอกอะไรเช่นกัน อาจเพราชายหนุ่มคงยังไม่สนิทกับครอบครัวเธอ
"คนที่นี่รู้ข่าวผมทุกคนเลยเหรอ" คิรากรถามขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะตลอดทางเดินจะต้องมีคำถามที่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง โชคดีนะที่หนูพิมพ์ไปเจอหายไวไวนะเช่นนี้ตลอดทาง
"หมู่บ้านเล็ก ๆ ก็แบบนี้ เวลามีอะไรเขาก็พูดกันไปทั่วนั่นแหละค่ะ พี่กรตกใจเหรอคะ" หญิงสาวนึกเอ็นดูกับสีหน้าที่สงสัยระคนงงงวยของชายหนุ่ม
"แปลกใจมากกว่าน่ะ"
พิมพ์มาดาไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะเห็นแล้วว่าชายหนุ่มสนใจวิวข้างทางเสียมากกว่า เธอพาเขาเข็นรถไปเรื่อย จนไปถึงท้ายหมู่บ้าน บริเวณนี้จะเป็นเหมือนสวนดอกไม้ ทว่าเป็นดอกไม้ที่ไม่มีใครปลูก มันขึ้นมาเองตามธรรมชาติ หลายชนิดรวม ๆ กัน อาจเพราะเหล่านกกาไปคาบเกสรดอกไม้พวกนี้มาจึงทำให้สวนแห่งนี้แปลกประหลาดทว่าสวยงาม
"สวยมาก" แน่นอนว่าคิรากรต้องเคยเห็นดอกไม้มามากมาย หากดอกไม้ป่าที่ขึ้นกันอย่างไม่เป็นระเบียบนี้กลับดึงดูดสายตาชายหนุ่มเมืองกรุงได้มากกว่าสวนพฤกษาที่ถูกเนรมิตอย่างสวยงาม
"เอ้า… นี่ค่ะ" พิมพ์มาดาเดินไปเด็ดดอกมะลิมาส่งให้ชายหนุ่ม ส่วนอีกดอกหญิงสาวกลัดมันไว้ที่เส้นผม
"ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย" ชายหนุ่มยิ้มขำ ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นฝ่ายให้ดอกไม้ผู้หญิงมาตลอด ถึงจะให้ก็เป็นการใช้ศกลวัฒน์ไปจัดการให้ก็ตาม แต่ครั้งนี้กลับได้รับดอกไม้เสียเองแถมยังเป็นดอกมะลิอีกด้วย
"เอาไปลอยน้ำค่ะ น้ำฝนเย็น ๆ กับดอกมะลิหอม ๆ มันชื่นใจดีนะคะ" ชายหนุ่มพยักหน้า พลางนึกไปถึงน้ำที่เขาดื่มเป็นประจำตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เขามักจะได้กลิ่นหอมเหมือนกับกลิ่นตัวหญิงสาวในตอนนี้ ที่แท้ก็มาจากดอกมะลินี่เอง
"พิมพ์ผมถามหน่อย ทำไมเวลาผมเสนอเงินให้ ทุกคนถึงไม่รับเลยล่ะ คนที่นี่ไม่ใช้เงินเหรอ" ร่างหนาถามในสิ่งที่ตนสงสัยมาตลอด เขากับน้องชายจะฆ่ากันตายเพราะอำนาจของเงิน ทว่าคนที่นี่กลับไม่คิดอย่างนั้น ไม่มีใครกระหายเงินทองเลยหรือ
"ใช้สิคะ แต่เงินไม่ใช่ทุกอย่างเสียหน่อย พี่กรไม่ต้องคิดมาก อย่างที่บอก ถ้าหากวันนั้นเราไม่เจอพี่ก็แล้วไป แต่เราเจอพี่แล้ว เราจะปล่อยให้พี่นอนตายอยู่ตรงนั้นไม่ได้หรอกค่ะ เราช่วยเพราะอยากช่วย พี่กรไม่ต้องจ่ายเงินอะไรทั้งนั้น" ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทว่าก็เลือกที่จะเงียบ ไม่ถามอะไรออกไปอีก
"เราไปทางโน้นดีไหมคะ" หญิงสาวไม่รอให้ชายหนุ่มตอบรับอะไรออกไป เธอเข็นรถพาเขาออกไปยังนอกเขตหมู่บ้านไปหยุดที่ริมหน้าผา ทว่าก็ไม่กล้าเข้าใกล้นัก เพราะกลัวว่ารถเข็นจะกลิ้งตกเขา
คิรากรเบิกตามองทิวทัศน์ตรงหน้า ภาพทะเลหมอกที่ตรงนี้ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่ผู้ชายสายธรรมชาติ แต่วิวแบบนี้ก็หาไม่ได้ในเมืองหลวงเช่นกัน และเขาเองก็นอนนิ่งเป็นผักปลามาก็หลายสัปดาห์ จึงอดจะตื่นเต้นไม่ได้
"อยากให้คุณแม่กับน้องกิ๊กมาเห็นจังเลย" คิรากรรำพันออกมาแผ่วเบา แต่พิมพ์มาดาที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยังคงได้ยิน หญิงสาวคิดว่าชื่อที่เขาเอ่ยถึงคงจะเป็นคนสำคัญของเขามาก แต่ก็น่าแปลกว่าตลอดเวลาที่เขาไม่ได้สติเขาไม่ได้พร่ำเพ้อถึงใครเลย ไม่เหมือนพี่ชายเธอรายนั้นเคยเป็นไข้ป่าเกือบตาย ช่วงที่ยังไม่ได้สติพลพัชร์เอาแต่เพ้อถึงของกินตลอดเวลา หญิงสาวคิดอย่างขำ ๆ
"แฟนเหรอคะ เอ่อ… ขอโทษที่ละลาบละล้วง" หญิงสาวรีบเอ่ยปากขอโทษเมื่อได้รู้ว่าตนเองพลั้งปากถามเรื่องส่วนตัวออกไป เธอถามออกไปเพราะเห็นว่าน้ำเสียงชายหนุ่มเจือไปด้วยความอ่อนโยน เธอไม่ได้คิดอะไรเป็นอื่นเลย