รถเคลื่อนมาจอดหน้ามหาวิทยาลัยฉันรีบเปิดประตูลงมากลัวเพื่อนๆ เห็นแล้วจะเอาไปแซว และแล้วความซวยก็บังเกิดกับฉัน
“คุณหนูโซรีนวันนี้มารถหรูเชียวนะครับ”
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครปีแอร์นั่นเอง หมอนี่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่เอกเดียวกัน แต่ก็ยังเห็นหน้าบ่อยๆ เพราะเรียกคณะเดียวกันนะสิ
ใบหน้าเมินหนีทันที จบจากโรงเรียนเดียวกันนึกว่าจะหนีพ้นดันมาเจอหน้ากันอีก ความโกรธฉันมันฝังรากลึกยากจะลืมเลือน ปีแอร์พยายามเดินมาหาแต่สองเท้าฉันจ้ำพรวดอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! ปีแอร์จะไปไหนวะ”เพื่อนในกลุ่มเรียกเขาไว้
“เออ! รู้แล้วกำลังไป”ปีแอร์เดินห่างออกไป
“ปีแอร์ถ้าชอบโซรีนทำไมมึงไม่จีบเธอดีๆ ล่ะวะ ทำนิสัยไม่ได้ใส่อยู่ได้ แบบนี้จะจีบติดได้ไง!”
“จะทำยังไงได้ล่ะวะ ก็ภาพพจน์ฉันมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว อีกอย่างฉันเคยทำเรื่องไม่ดีกับโซรีนไว้หลายเรื่องเลย”ปีแอร์บอกสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เค็นมองเพื่อนด้วยความเห็นใจ เห็นมีแต่สาวๆ พอหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งเข้าก็ดันทำเรื่องไม่ดีใส่เสียอีก แบบนี้จะสมหวังได้ยังไง ดีกับผู้หญิงทุกคนยกเว้นคนที่ตัวเองสนใจใครเขาทำกัน
หมดคาบเรียนฉันตรงกลับบ้านเลย ความจริงแล้วคุณพิชญาบอกว่าให้ฉันโทรหาคนขับรถได้เลยแต่ขอปฏิเสธเพราะฉันไม่ใช่คุณหนูของบ้านสักหน่อย อากาศค่อนข้างขมุกขมัวเหมือนฝนจะตกฉันรีบสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว ใกล้จะถึงบ้านแล้ว
เปรี้ยง!
ฟ้าผ่าลงมาฉันสะดุ้งยกมือปิดหูด้วยความตกใจ เร่งฝีเท้าด้วยความหวั่นใจว่าฝนจะเทลงมาแล้วมันก็เป็นดังคาด ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว เสื้อผ้านักศึกษาฉันเปียกปอนจนหมดแต่เพราะเห็นว่าอีกไม่นานถึงบ้านแล้วเลยฝ่าสายฝนเดินต่อไป เสื้อผ้าเปียกน้ำจนชุ่มช่ำเสื้อซับในแนบเรือนร่างจดเห็นผิวเนื้อ ฉันคงต้องรีบไปเปลี่ยนดีที่บ้านใหญ่ไม่มีผู้ชาย มีแค่ป้านวลกับปูนิ่มสองคนที่ดูแลอยู่เท่านั้น
ฉันพาร่างกายเปียกปอนเดินไปในบ้าน ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนกำลังเดินมา ฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลมองกลับมา กระเป๋าในมือร่วงหล่นลงพื้นมือไม้สั่นไม่ใช่เพราะความหนาว แต่มันเป็นเพราะใบหน้านั้น... ฉันจำมันได้ดี
“คะ...เคเซย์”เสียงฉันรอดผ่านริมฝีปากออกมา ราวกับละเมอ
“หึ!”
เขากระตุกยิ้มมุมปากดูเผินๆ เหมือนกำลังเยาะเย้ยฉัน ร่างสูงก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แววตาเขาช่างเยือกเย็น มันทำให้ฉันตกอยู่ในอาการประหม่า เคเซย์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้พบเขาอีกครั้ง
ตัวฉันเองมีเรื่องมากมายอยากบอก ความจริงฉันเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นไว้เนิ่นนาน มันอัดแน่นจนแทบทนไม่ไหวโชคดีที่ได้พบกันในคราวนี้ ฉันระบายยิ้มด้วยความยินดีแต่ทว่าสีหน้าของอีกฝ่ายกลับไม่มีวี่แววแห่งความสดชื่นเหมือนเธอ
“เคเซย์ นายสบายดีใช่ไหม”ฉันถามเขาเสียงสั่น
เห็นเขาแสดงสีหน้าอันไร้ความรู้สึก แววตาว่างเปล่าทำอย่างกับเราไม่รู้จักกัน
“เธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาอยู่ในบ้านของฉัน ฉันจำได้นะว่าไม่มีญาติหน้าตาเหมือนเธอ!”
“คะ...คือว่า”ฉันพูดไม่ออก เคเซย์ทำท่าราวกับคนละคน เขาไม่เหมือนก่อนเลยสักนิด แถมคำพูดยังห้วนสั้นคงเกลียดเธอมากสินะ
“ไสหัวออกไปจากบ้านฉันซะ!”เคเซย์ตวาดออกมา
“อะไรนะ!”ฉันย้อนถาม สีหน้าสับสน
ไม่เข้าใจแล้วในคราวนี้ เคเซย์เป็นอะไรไป เรื่องในอดีตทำให้เขาเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้เชียวเหรอ
“หูตึงหรือไง บอกให้ไสหัวออกจากบ้านหลังนี้ไปซะ!”ย้ำอีกครั้ง สีเอาจริงของเคเซย์ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น หมอนี่โกรธกันมากเลยหรือไง
ฉันงงมากเคเซย์กำลังไล่ให้ออกจากบ้านหลังนี้ ซึ่งเขาบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาคงเป็นลูกชายคุณพิชญา เธอเคยได้ยินแต่คนใช้ที่นี่พากันเรียกไม่คิดเลย จะเป็นเขาจริงๆ ทำไมโลกมันกลมแบบนี้
“ฉันไปไม่ได้หรอก ขะ...ขอโทษนะ”ฉันหลุบตามองพื้น จะให้ออกไปได้ยังไงกันเล่า ทำเป็นเรื่องตลกไปได้
“ทำไมออกไปไม่ได้ ในเมื่อฉันไม่ต้อนรับเธอในบ้านหลังนี้!”
“เคเซย์ นายเป็นอะไรทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ”ฉันถามเขาสบตาโดยตรง แม้เขาจะยอมมองมาแต่วี่แววแห่งความสดใสเหมือนก่อนไม่มีเลย
มือเขาเอื้อมมาฉันผงะถอยหลัง ช่วงกรามถูกจับบีบจนริมฝีปากฉันเผยอขึ้นมาแววตาดูดุดันน่ากลัว จนแทบหยุดหายใจ
“อย่ามาทำสีหน้าแบบนี้ มันไม่มีประโยชน์ บอกให้ไสหัวออกไปก็ทำสิวะ หรือถ้ามันยากนักจะโยนออกแทนดีไหม!”เสียงทุ้มกดต่ำฟังแล้วขนลุก
ไม่ไหวแล้วสองมือยกผลักสุดแรงจนร่างสูงผงะถอยหลัง อาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีเขาอย่างรวดเร็ว ใครจะบ้าทำแบบนั้น ฉันไม่มีทางเลือกในเวลาแบบนี้หรอก พ่ออยู่ที่ไหนคุณพิชญาด้วยอยากให้พวกเขารู้เหลือเกินว่าเธอกำลังแย่ เคเซย์ทำตัวไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฉันกลัวเขามาก
ถึงหน้าห้องฉันรีบเปิดประตูอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยขังตัวเองไว้ในห้องเขาก็คงไม่ตามมา แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่ว หัวใจฉันกำลังเต้นกระหน่ำราวกับกลองศึก อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามา! ฉันภาวนาคำนี้ตลอด