Chapter 1
ฉันชื่อโซรีนอายุสิบเจ็ดนักเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนรัฐบาลหัวกะทิทั้งหลาย และตัวฉันยังเป็นดาวเด่นด้วยใบหน้าแสนเย้ายวนจนเหมือนเซ็กซี่แต่แท้จริงแล้วฉันไม่ใช่ผู้หญิงเปรี้ยวจี๊ดหรอกนะ ฉันออกจะห้าวเล็กน้อยถึงปานกลาง พูดถึงเรื่องสมองในโรงเรียน ฉันเรียนเก่งอันดับสองในสายชั้นพ่ายแพ้เพียงหนึ่งนั้นคือ “เคเซย์”
แต่ก็ไม่ต้องตกใจหรอกถึงแม้ว่าจะแพ้หมอนี่ในเรื่องการเรียน ทั้งๆ ที่มันทำให้ฉันหงุดหงิดน่าดู แต่สำหรับหน้าตาเคเซย์ไม่ติดโผเลยด้วยซ้ำ เป็นชายที่ไม่มีสาวใดสน ไม่ค่อยมีใครได้เห็นหน้าตาแท้จริงของเขาเท่าไหร่ ก็ชอบสวมแว่นหนาเตอะไว้ผมปิดหน้าปิดตาเหมือนพวกโรคจิตเลย และที่สำคัญเวลาฉันมองผ่านแว่นของเขามักจะเห็นสายตามองมามันทำให้ฉันขนลุกเกรียวเลยทีเดียว ….
บอกตามตรงว่ามันน่ากลัว ฉันไม่ชอบเท่าไหร่หรอกนะ ไอ้การที่มีคนมองมันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเคเซย์มันไม่ใช่หมอนั้นมองฉันเหมือนจะกลืนกิน ทุกครั้งเส้นขนจะพากันลุกชันหนาวสะท้าน หวังว่าเขาคงไม่ใช้พวกจิตไม่ปกติหรอกจริงไหม
“โซรีน!”เสียงเรียกดังขึ้นฉันหันไปมอง เห็นหนุ่มสุดฮอตลูกครึ่งฝรั่งเศสปีแอร์
“ว่าไงปีแอร์มีอะไรเหรอ?”ฉันหันไปตามเสียงแล้วถามเขากลับ
“วันนี้ว่างไหม จะชวนไปดูหนัง”
ปีแอร์ยืนต่อหน้าฉัน เขาสูงประมานร้อยแปดสิบได้ โครงหน้าคมผิวขาวแต่เนียนละเอียดอาจเพราะได้เชื้อทางเอเชีย ดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลลึก มันช่างมีมนต์สะกดสาวๆ ได้อย่างดี แต่... ทุกอย่างมันมีข้อยกเว้น และนั้นก็คือฉันเอง เพราะดวงตาคู่นั้นไม่ได้มีผลอะไรกับคนอย่างโซรีนเลย
“ไม่ว่างอะ ขอโทษนะ”ฉันรีบปฏิเสธตั้งท่าจะเดินหนี แต่กลับถูกคว้าข้อมือไว้
ฉันมองปีแอร์ไม่พอใจแต่หมอนั่นไม่สนใจ ตีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่รับรู้และเขาต้องได้สิ่งที่ต้องการ
ผลั่ก!..คนที่ชนไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเคเซย์ หมอนั่นเดินลิ่วหายไปแล้วปล่อยให้อีกคนยืนหงุดหงิดงุ่นง่านไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ไอ้บ้านั่น คอยดูเถอะฉันจะเลาะฟันมันออกจากปากให้หมดเลย!”
ฉันมองเห็นสีหน้าของปีแอร์แล้วนึกตลก คิดไปคิดมาเคเซย์เองมาได้จังหวะพอดี ฉันรีบสาวเท้าเดินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงห้องเรียนเลยถอนใจออกมา โล่งอกเสียจริง วันนี้เป็นคาบเรียนวิทยาศาสตร์ฉันและเพื่อนๆ จะต้องย้ายห้องเรียน
สายตาฉันกวาดมองรอบๆ ห้องจนสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทผ่านกรอบแว่นหนา เราชะงักกันทั้งคู่ เคเซย์ก้มหน้ามองหนังสือมือสั่นไปหมด เห็นแล้วรู้สึกตลกจริงๆ ตอนแรกเคยคิดว่าผู้ชายเช่นเขาคงจะเป็นออทิสติกอะไรเทือกนั้น แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่ เขาก็แค่ผู้ชายนิสัยแปลกประหลาดเท่านั้นเอง
และแล้วเย็นวันนั้นฉันก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย... เมื่อสองเท้าเหยียบเข้ามาในบ้านกลับเห็นข้าวของกระจัดกระจายบวกกับสีหน้าของพ่อแม่ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเหมือนรับรู้ได้ถึงสถานการณ์แสนตึงเครียดบางอย่าง
“ฉันจะไม่ขออยู่กับผู้ชายทุเรศอย่างคุณอีกแล้ว!”แม่บอกพ่อแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากบ้าน
“แม่!”ฉันร้องเรียกไว้แล้วจับท่อนแขนแม่แน่น
“ปล่อย! ฉันบอกให้ปล่อยยังไงล่ะโซรีน!”แม่ตวาดลั่น
“แม่อย่าไปได้ไหม อย่าหย่ากับพ่อเลยนะ”ฉันพยายามขอร้อง แต่ทำไมพ่อถึงเอาแต่ยืนเฉยอยู่แบบนั้น
ผลั่ก!
แม่ผลักจนฉันล้มลงไปกองกับพื้น พ่อรีบเข้ามาประคองมองแม่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ฉันไม่เข้าใจเลยมันเกิดอะไรขึ้นทำไมแม่ต้องโกรธมากมายขนาดคิดเลิกกับพ่อด้วย
“เชิญอยู่กับพ่อของแกไปเถอะ ฉันล่ะเกลียดที่สุด!”น้ำเสียงราวกับขยะแขยง สีหน้าหมางเมิน แม่จ้ำออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว
ฉันตั้งท่าจะขวางแม่อีกครั้ง แต่พ่อกลับยึดไหล่ไว้ส่ายหน้าเหมือนต้องการให้หยุดทำ ถึงแม้ฉันจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แววตาแม่ตัดสินเด็ดขาดแล้วว่ายังไงเสียก็จะจากไป แต่ว่า... มันทำใจไม่ได้เลยครอบครัวเราเคยมีความสุขด้วยกัน ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่มีความสำคัญกับแม่เลยหรือ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของฉันก็ตาม
“มันเกิดอะไรขึ้นคะพ่อ หนูไม่เข้าใจเลย”ฉันหันมาถามพ่อ
“ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่เข้าใจผิดพ่อก็เลยพาล”
ไม่จริงเลย แม่เข้าใจแล้วพาล ท่าทางแม่โกรธมากเหมือนอยากจะฆ่าพ่อให้ตายเสียด้วยซ้ำ
“พ่อ... มีเรื่องปิดบังหนูหรือเปล่า”
“ไม่มีนี่ลูก ไม่เป็นไรหรอกโซรีน ไม่มีแม่เราก็อยู่กันได้”พ่อกอดฉันไว้แล้วลูบศีรษะ
ฉันปล่อยโฮออกมาตรงนั้น ไม่ใช่ว่าสงสารแม่หรอกนะ แต่พ่อต่างหากที่ฉันสงสาร ฉันกลัวพ่อจะเหงาแล้วก็เศร้า ก็มีลูกสาวคนเดียวแถมยังกะโปโลพ่อคงเฉาตายคราวนี้
รุ่งเช้าฉันเดินทางไปโรงเรียนวางกระเป๋านั่งลงประจำที่ขอบตาดำคล้ำ สีหน้าหม่นหมองเพื่อนในห้องจ้องฉันเป็นตาเดียว แต่เวลานี้คนอย่างโซรีนไม่แคร์ใครปัญหาหนักอกตอนนี้คงไม่มีใครช่วยได้ เอมมี่เพื่อนสนิทรีบเดินมาหาโอบไหล่ไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่าโซรีน”
แค่เพื่อนมาปลอบน้ำตาฉันมันดันพาลจะไหลออกมา รีบยกมือปาดมันออกเพราะรู้สึกอาย
“ไม่มีหรอกเอมมี่ ช่างมันเถอะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”ใช่สิ... ฉันเชื่อว่าทั้งพ่อแล้วก็ตัวฉันจะผ่านเรื่องราวเลวร้ายไปได้
“มีอะไรระบายให้เราฟังได้นะ เรายินดีรับฟัง เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันไง”เอมมี่บอกฉันแล้วยิ้มกว้างออกมา
“ขอบใจนะ”
คาบเรียนที่สามจบลงนักเรียนต่างแยกย้ายกันไปที่โรงอาหาร ความจริงช่วงนี้ฉันกระเดือกอะไรไม่ค่อยลงเท่าไหร่ สงสารพ่อ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง