...ฉันรวบรวมความกล้าเดินไปหารุ่นพี่แต่ละคนที่นั่งอยู่ประจำตำแหน่งของตัวเอง โดยเลือกคนที่ดูเป็นมิตรที่สุดก่อนคนแรก
“เอ่อ พี่คะ ฉันชื่อเบญจมาศนะคะเป็นนักศึกษาฝึกงาน รบกวนแนะนำฉันได้ไหมคะว่าพี่ทำงานเกี่ยวกับอะไร” ฉันเดินไปหาพี่คนหนึ่ง เขามีบุคลิกท่าทางเหมือนคนใจดี
“อ้อ ได้สิ...” ฉันฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างคนมีหวังราวกับได้เจอแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตเล็ก ๆ ออกมาจดตามที่พี่ผู้หญิงคนนี้พูด ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนใจร้ายทั้งแผนกเสียหน่อย “งานของพี่ก็มีเท่านี้แหละจ้ะ แต่เราต้องเรียนรู้งานของทุกคนเพื่อที่จะได้แทนกันได้ทุกเมื่อ เวลาใครสักคนป่วยหรือลางานก็จะได้ทดแทนกันได้”
“อย่างนี้ก็ต้องเวียนกันหรือเปล่าคะ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ช่วงทดลองงานจะได้ลองทำทุกอย่างน่ะ ไว้หนูเรียนจบได้ปริญญาแล้วก็มาสมัครงานที่นี่ดูนะ” ฉันยิ้มรับคำชักชวนนี้ แต่ทว่า
“คงไม่ต้องสมัครหรอกมั้ง...เดี๋ยวเดียวก็คงได้เป็นเมียท่านประธานแล้วนี่” เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ฉันหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่พนักงานคนหนึ่ง เธอดูไม่พอใจฉันทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไร
“เรายังไม่ได้หมั้นกันหรอกค่ะ” ฉันตอบกลับ เขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะชอบฉันด้วย ทว่าคำตอบของฉันกลับได้รับความสนใจจากผู้คนหลายคน ดูเหมือนว่าคุณจิณณะจะเป็นขวัญใจของสาว ๆ ในแผนกนี้ล่ะมั้ง
“แต่ก็นั่นแหละ ฉันไม่คิดว่าพ่อแม่ของเธอจะให้ลูกมาทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนนะ คงหาอะไรสนุก ๆ ทำ พอถึงเวลาก็ให้ไปทำงานกับที่บ้านซะมากกว่า รู้ไหมว่าทำแบบนี้คนอื่นเขาเสียเวลาที่จะต้องมาสอนงานเธอ”
“ที่บ้านไม่ได้ทำธุรกิจค่ะ คุณพ่อเป็นนักการทูตต่างประเทศ คุณแม่เป็นภรรยาท่านทูตเฉย ๆ ค่ะ ฉันก็ไม่ได้มีตำแหน่งอะไร ก็เลยต้องเรียนแล้วหางานทำค่ะ” ฉันตอบออกไปตรง ๆ แต่เธอคนนี้คงไม่ได้คิดแบบนั้น
“เหรอ แล้วไม่ไปเปิดธุรกิจเองเลยล่ะ” เธอยังคงแดกดันฉันไม่หยุด แต่ยังดีที่ฉันยังมีคนเข้าข้างอยู่บ้าง
“พอเถอะน่า น้องแค่มาฝึกงาน ไม่จำเป็นต้องคิดแทนน้องทุกอย่างก็ได้” ฉันผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อพี่สาวคนที่ฉันเพิ่งขอข้อมูลไปเอ่ยแทรกขึ้น เธอเหมือนนางฟ้าใจดีที่เข้ามาช่วยชีวิตฉันไว้เลย แต่ก็ไม่วายถูกสายตาของเธอคนนั้นมองขวางใส่ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ
“ทำงานร่วมกับคนหลายคนก็เป็นอย่างนี้แหละ ร้อยพ่อพันแม่ เธอก็ต้องอดทนเข้าไว้ถ้าอยากทำงานที่นี่ ที่นี่เงินเดือนสูง งานกดดัน คนก็ประสาทแดกไปตาม ๆ กัน” ฉันหัวเราะเบา ๆ ให้กับประโยคหลัง พอคิดดูอีกทีก็คงเป็นอย่างที่พี่คนนี้พูด คงไม่มีที่ไหนมีคนดีหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ได้อย่างเสียอย่างเสมอ...
อีกด้านหนึ่ง
-Other-
ใบหน้าของเบญจมาศเล็กกว่าฝ่ามือของเขาเสียอีก เสียงแหลม ๆ น่ารำคาญหูนั้นทำให้จิณณะเผลอส่ายหน้าเบา ๆ ระหว่างนั่งอ่านเอกสารภายในห้องทำงาน หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่ตามวอแวเขา แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เชิดหน้าชูคอเหมือนกับงูเห่า ขู่ฟ่อ ๆ แต่กลับคอหดทุกครั้งเวลาเขาสวนกลับ
เธอตัวเตี้ยมาก แต่ด้วยส้นสูงที่แม่คุณสวมใส่ทำให้ไม่ได้เตี้ยอย่างที่ควรจะเป็น เอวบางร่างเล็ก บั้นท้ายกลมกลึงยามเธอใส่กระโปรงสั้น ๆ รัดรูปมาทำงาน ผู้หญิงคนนี้จะเป็นสาวแซ่บแบบที่เคยเจอก็ไม่ใช่ จะอ่อนหวานก็ไม่เชิง แต่ที่รู้ ๆ เธอน่ะ...อวดดีใช้ได้
“เอ่อ บอสครับ” เสียงเอ่ยเรียกนี้ทำให้เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่ายูโรเข้ามาในห้องทำงานของตนตั้งแต่เมื่อไร
“มีไร”
“คือผมเคาะประตูตั้งนานแต่บอสไม่อนุญาตเลยถือวิสาสะเข้ามา เห็นนั่งส่ายหัว คิดว่าบอสคงปวดหัวใช่ไหมครับ”
“หึ...” เขาแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ยูโรพยายามเอาใจเขาเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวขายเขาให้เบญจมาศฟัง
“บอส...ขำทำไมครับ”
“มึงได้เงินเดือนจากใคร”
“บอส...ไม่รู้เหรอครับ” ชายหนุ่มเอียงคอสงสัย นี่เจ้านายแกล้งโง่หรือไร ทำไมถึงถามราวกับไม่รู้ ทว่า
“ที่กูถามเนี่ย อยากให้มึงรู้ว่ากูเป็นคนให้เงินเดือน มึงก็ต้องเชื่อฟังกูสิวะ ไม่ใช่ว่ามึงจะไปคุยอะไรกับผู้หญิงคนนั้น”
“ก็ผมอยากให้บอสแต่งงานกับเธอนิครับ เธอเหมาะสมกับบอสนะครับ” ได้ยินอย่างนั้นจิณณะถึงกับกลอกตามองบน คำว่าเหมาะสมที่ว่านั้นเอาอะไรมาวัด
“อย่ายุ่งมาก มึงมีงานไรก็ทำไป”
“แต่ว่าเธอ...”
“ไอ้ยูโร มึงจะแต่งงานแทนกูเลยไหม มึงคิดว่าการแต่งงานก็แค่แต่งตัว แต่งชุดแต่งงาน ใส่แหวนเพชร เข้าห้องหอเหรอวะ”
“_”
“การจะเลือกผู้หญิงคนหนึ่งมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่ได้รู้สึกสปาร์คหรือรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้นี่แหละจะมาเป็นแม่ของลูกกู กูไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น”
“_” ยูโรนิ่งไปพักหนึ่งราวกับกำลังใช้ความคิด ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยพูดขึ้น “แล้วคุณกานต์ล่ะครับ คุณกานต์ก็ไม่ใช่คนดีอะไรมาก ทำไมบอสถึงชอบเธอ ผมว่าเป็นเพราะบอสปิดใจตัวเองต่างหาก
“_”
“ถ้าบอสลองเปิดใจให้คุณเบญ...”
“จิ๊! มึงพูดมากจังวะ” ลูกน้องหนุ่มยังพูดไม่ทันจบเขาก็เอ่ยตัดบท ก็เจ้านายเป็นซะอย่างนี้ไงคนเป็นลูกน้องก็เลยอยากให้นายมีความรัก ห้องทำงานมันจะได้ไม่ต้องอึมครึมเหมือนฝนจะตกแบบนี้
จิณณะเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง แม่ก็โทรมาพูดแต่เรื่องนี้ทั้งวัน กะอีแค่เขาไม่ยอมแต่งงานมันจะอะไรกันนักกันหนา พยายามจับคู่ให้อย่างกับละครน้ำเน่าหลังข่าว
“บอสจะกลับแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้น ยูโรก็รีบเดินไปคว้าเอาสูทให้คนเป็นนาย ก่อนจะสวมสูทให้กับอีกฝ่ายตามหน้าที่
“อือ เบื่อ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเคลียร์เช้า ๆ”
“ครับ” เขาจะทำงานเวลาไหนก็ได้ จิณณะนั้นเป็นนักธุรกิจหัวสมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องทำงานตามเวลา ชายหนุ่มเดินออกจากห้อง เขาชอบลงบันไดเลื่อนมากว่าขึ้นลิฟต์ ด้วยเหตุที่จะได้สังเกตการทำงานของพนักงานด้วย ทว่าพอเดินลงบันไดเลื่อนได้ไม่นาน
“หือ นั่นมัน...” เขากลับมองเห็นเธอคนนั้น เบญจมาศกำลังค้อมศีรษะราวกับว่ากำลังขอโทษขอโพยหัวหน้าแผนกบัญชี
“อ้อ ผมพาเธอไปฝากงานไว้ที่แผนกบัญชีน่ะครับ”
“แล้วทำไม...” เหมือนว่าเธอกำลังโดนต่อว่าอยู่
“อ้อ นายก็รู้ว่าแผนกนี้โหดแค่ไหน” เขาน่ะรู้ดี จิณณะผ่านการฝึกงานทุกแผนกตั้งแต่สมัยที่คนเป็นพ่อยังบริหารงานอยู่ ก่อนที่เขาจะได้รับตำแหน่ง
“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูก่อน”
“ก็ผมคิดว่านายคงไม่สนใจ” พอเลิกงาน เขามักเรียกคนเป็นนายว่านายเสียมากกว่า ยูโรหันไปมองตามสายตาของเจ้านายหนุ่ม ก่อนจะหันกลับมาหาคนเป็นนายอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเสียแล้ว
“อ้าว...รอผมด้วยครับ!” อยู่ ๆ จิณณะก็เดินลงบันไดเลื่อนด้วยความรวดเร็ว เขาสาวเท้าเดินไปหาเบญจมาศที่กำลังค้อมศีรษะขอโทษอยู่ ชายหนุ่มนั้นอยากรู้ ขณะที่ยูโรคิดว่าคนเป็นนายคงเป็นห่วง น้ำกลิ้งบนใบบอนชัด ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยสักอย่าง
“เกิดไรขึ้น!”
“ทะท่านประธาน...” พอคนในแผนกบัญชีเห็นเขาต่างก็ค้อมศีรษะลง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตา ยกเว้นหัวหน้าแผนก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดิฉันว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแผนกเราดีกว่าค่ะ”
“ผมมั่นใจว่าเมื่อกี้ถามว่าเกิดไรขึ้น” เขาเอ่ยย้ำเสียงเข้ม ใครต่างก็รู้ว่าจิณณะนั้นเป็นคนอย่างไร “หรือว่าพี่ได้ยินไม่ชัด”
...พี่ผึ้งที่หลายคนเรียกนี้เคยทำงานร่วมกับพ่อของเขา ทำให้เธอไม่ค่อยเคารพจิณณะสักเท่าไร ด้วยอายุของเขาที่น้อยมาก
“พี่คิดว่าผมไม่กล้าไล่พี่ออกเหรอ” เขาย้ำอีกครั้ง ซึ่งคำพูดนี้ทำเอาพนักงานทุกคนต่างฮือฮา เพราะนี่คงไม่ใช่คำขู่
“คะคุณจิณณ์ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันเดินไม่ดูเอง” เบญจมาศเห็นท่าไม่ดี การที่เขาทำแบบนี้ยิ่งทำให้คนอื่นหมั่นไส้มากเพิ่มขึ้น แม้นจะไม่รู้ว่าเขากำลังทำแบบนี้เพื่ออะไร ทว่าเขากลับตวัดสายตามองเธอ
“พอดีเบญจมาศทำน้ำหกใส่เอกสาร ฉันก็เลยตำหนิ”
“แค่นั้น?” เขาข่มเปลือกตาปิดลง เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่พี่ผึ้งถนัด ชอบนักทำให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยใช้ตำแหน่งข่มคนรุ่นใหม่เสมอ
“ค่ะ แต่มันก็เป็นพื้นฐานที่เธอควรระมัดระวัง มันทำให้เสียเวลา เสียระบบ เอกสารเป็นปึกที่เปียกก็ต้องมาปรินต์สำเนาใหม่ค่ะ ฉันก็แค่เตือนในฐานะเจ้านาย”
“ก็ไม่เห็นต้องดุจนได้น้ำตาขนาดนี้หรือเปล่า” ชายหนุ่มสวนกลับ ทำให้เบญจมาศรีบเช็ดน้ำตา เป็นเพราะอาการหวาดกลัวของเธอเองที่หวาดหวั่นกับอะไรง่าย ๆ ยิ่งเป็นเสียงกระซิบกระซาบราวกับนินทานี้มันทำให้นึกถึงเรื่องราวในฝัน...เรื่องราวที่เหมือนกับเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว
“เอ่อ ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
“ไม่เป็นไร?” อยู่ ๆ เขาก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองกำลังช่วยอยู่แท้ ๆ แต่สาวเจ้ากลับปฏิเสธ
“คือว่าฉัน...ก็ผิดด้วย”
“หึ รู้ตัวก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปคัดสำเนาพวกนั้นออกมาใหม่ ไปค้นในคอมฯมาทุกแผ่น
“หมดเลยเหรอคะ” จิณณะข่มเปลือกปิดลง เธอยังไม่รู้ตัวอีกว่ากำลังถูกกลั่นแกล้ง ไฟล์พวกนี้มันไม่ต้องค้นหาเสียด้วยซ้ำ ยังไงก็มีจัดหมวดหมู่ไว้ในโฟลเดอร์อยู่แล้ว
“ใช่ กระจัดกระจายหน่อยนะ”
“พอเถอะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉะฉันทำได้” เบญจมาศอยากโชว์ศักยภาพการทำงานของตัวเอง โดยไม่สนคำทักเตือนจากเขา
แม่งเอ๊ย...
จิณณะสบถในใจ ไม่รู้ว่าทำไมถึงหงุดหงิดได้มากขนาดนี้