บทที่ 7 สาธิตการเป็นเมีย

1931 Words
พอเริ่มพูดน้ำตามันก็ไหลออกมาอัตโนมัติ ฉันก็เลยยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก ด้วยความที่ฉันมีอาการแพนิค*ตลอดเวลาจากการระลึกชาติของตัวเอง ตื่นกลัวอะไรง่าย ๆ ทำให้ฉันโดนแกล้งตั้งแต่เด็ก ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน แต่พอเริ่มโตขึ้นก็พยายามต่อสู้กับพวกที่ชอบรังแกฉัน ยอมเปลี่ยนตัวเองทุกอย่างเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง เริ่มแต่งตัว เริ่มแต่งหน้า ตั้งใจเรียนหนังสือ แต่ยิ่งทำฉันก็ยิ่งถูกหมั่นไส้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ “แล้วยังไง ถึงเธอจะไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับเธอ กลับไปบอกแม่ของเธอซะว่ายังไงฉันก็ไม่แต่ง” ยิ่งเขาทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งอยากเอาชนะ คิดได้อย่างนั้นฉันก็เชิดหน้าขึ้น “ไม่!” ว่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หึ ยังไงคุณก็ต้องได้แต่งงานกับฉันแน่” “เบญจมาศ” “จ๋า...” ฉันตอบรับเสียงหวาน พร้อมกับก้าวขาเดินเข้าหา ยื่นมือไปคว้าเนกไทของเขา พร้อมกับกระตุกเบา ๆ ให้ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้าใกล้ ทว่า “หึ...” เขากลับแค่นหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น แววตาไม่ได้หวาดหวั่นอย่างที่ฉันต้องการ จากที่ฉันพยายามขยับเข้าใกล้ กลับกลายเป็นเขาที่สาวเท้าเข้าหาแทน “เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไร เธอรู้จักฉันดีนักหรือไงถึงอยากแต่งงานกับฉัน” “ก็นี่ไง เราจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น” ฉันพยายามใจแข็ง เชิดหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานี้ แม้นว่าตอนนี้เขาจะไล่ต้อนฉันจนแผ่นหลังชิดผนังห้องทำงานแล้วก็ตาม “เหรอ...” เขากลับตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แถมยังวางฝ่ามือใหญ่ ๆ ลงที่เอวของฉันด้วย คุณจิณณ์ลูบเอวของฉันขึ้นลง ทำให้ฉันตาโตขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “รู้จักกัน...แบบไหนดี” “คุณ...เอามือออกเดี๋ยวนี้นะ” “หือ...ทำไมล่ะครับ ทำไมผมต้องทำอย่างนั้น ก็ในเมื่อคุณพูดเองว่าเดี๋ยวผมก็ได้คุณเป็นเมีย” “เมีย? ฉะฉันหมายถึงแต่งงานต่างหากล่ะ” ว่าเสียงตะกุกตะกัก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเสียงสั่นทำไม ตอนนี้ฉันต้องใจแข็งสิ “ก็แต่งงาน แล้วก็ต้องเป็นเมีย...หรือฉันเข้าใจอะไรผิด เธอช่วยบอกฉันทีซิ” คนตัวโตว่าพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นม้วนปอยผมของฉันเล่น ใบหน้าเจ้าเล่ห์ห่างจากใบหน้าของฉันเพียงแค่คืบเดียว ตอนนี้เราสองคนไม่ต่างจากกำลังแลกลมหายใจของกันและกัน! “ขยับออกไปหน่อยสิ...อึก จะทำอะไรฉัน” ฉันรู้สึกว่าเขากำลังจะล่วงเกินฉันเลยอะ แบบนี้มันไม่ดีเอาซะเลย “ทำไม เธอกลัวงั้นเหรอ” “ปะเปล่า” “หึ เสียงสั่นเชียวนะ” เห็นฉันเป็นอย่างนี้เขาก็ยิ่งได้ใจ คุณจิณณ์ออกแรงรั้งเอวของฉันเข้าหาจนตัวของฉันแนบติดตัวเขา! “อ๊ะ...” พออยู่ใกล้กัน ก็เห็นความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คุณจิณณ์ตัวใหญ่มาก มันเหมือนว่าเขากำลังโอบเอวฉันอยู่ “คุณกำลังขู่ฉันเหรอ” “ไม่ ฉันไม่เคยขู่ใคร” ตอบกลับทันควัน “ละแล้วจะทำอะไรคะ” ฉันพอเดาออกอยู่แล้วว่าเขากำลังจะสาธิตการเป็นเมียอย่างที่เขาพูดก่อนหน้านี้ แต่ก็อยากจะถามให้มั่นใจ ทว่า “อยากรู้เหรอ” เขากลับเอ่ยพูดเย้าแหย่ฉันเสียอย่างนั้น “มะไม่ ไม่อยากรู้แล้ว!” ว่าพร้อมกับออกแรงผลักเขาเต็มแรง ซึ่งก็ได้ผล ร่างหนาเซถลาไปทางด้านหลังเล็กน้อย แต่เขากลับหัวเราะแทนที่จะโกรธที่ฉันผลักเขาแรงมากขนาดนี้ ราวกับถูกอกถูกใจ “หึ...แค่นี้ก็กลัวแล้ว” “คะใครกลัว ฉันก็แค่คิดว่ามันไม่เหมาะสม คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ต่างจากกำลังลวนลามผู้หญิง” “งั้นเหรอ ปกติไม่มีใครคิดแบบเธอเลยแฮะ” “อึก ทำบ่อยงั้นเหรอ โรคจิตชะมัด” เขาพูดราวกับว่าเรื่องที่ทำนั้นมันเป็นเรื่องปกติ แต่การกระทำเหมือนเมื่อครู่มันไม่เป็นการให้เกียรติเพศแม่เลย “หึ...ออกไปสิ” พอฉันทำท่าทีกลัวหน่อยเขาก็เอ่ยปากไล่อีก หมอนี่...ถ้าคุณยูโรไม่บอกว่าเพิ่งอกหักมาฉันจะไม่คิดว่าเขารักคนเป็น ผู้ชายคนนี้ทั้งปากหมา ใจแข็ง หยิ่ง แล้วก็เจ้าชู้อีกด้วย ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมทำให้เขารักได้ ...ฉันยอมเดินออกมาในที่สุด กลัวว่าอารมณ์โมโหของเขาจะทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ การจะทำให้ใครสักคนรักมันคงไม่ง่าย ก็คงต้องใช้เวลาสักหน่อย “เป็นไงบ้างครับ” พอออกมาคุณยูโรก็ตาลีตาเหลือกวิ่งมาหา เขาดูกระตือรือร้นเรื่องของฉันเป็นอย่างมาก “เอาแต่ขู่ค่ะ เขาขู่เก่งมาก” “หึ นี่แหละนาย” ฉันมองคุณยูโรแล้วนึกสงสารที่เจ้าตัวต้องทำงานกับผู้ชายที่อารมณ์ขึ้นลงแบบนั้น แต่คุณยูโรก็ทำงานได้ดีเป็นลูกขุนพลอยพยักหน้าให้ตลอด “แต่ผมช่วยคุณได้นะ” “คะ?” “ถ้าคุณอยากแต่งงานกับนายจริง ๆ” ฉันเริ่มคิดใหม่แล้ว จริงอยู่ที่อยากแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน ลบปมในใจของตัวเองออก แต่ว่าถ้าจะต้องแต่งงานกับผู้ชายนิสัยเสีย ฉันว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มสักเท่าไร “ฉันขอคิดอีกทีดีกว่าค่ะ” “ทำไมครับ จริง ๆ นายเป็นคนดีมากเลยนะครับ” คนดีกับผีน่ะสิ ฉันยังไม่เห็นความดีของเขา ยกเว้นวันนั้น...วันที่เขาอุ้มฉันมาขึ้นลิฟต์ แววตาคู่นั้นราวกับคนละคนกับตอนนี้ “อย่าเพิ่งถอดใจเลยนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้” “เขาเป็นคนดีแน่ ๆ เหรอคะ” “แน่นอนครับ” ฉันหรี่ตามองคุณยูโร พอเห็นแววตาจริงจังนี้ก็เริ่มเชื่อขึ้นมาอีกครั้ง “โอเคค่ะ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องมีจุดจบเหมือนชาติที่แล้ว” “ชาติที่แล้ว?” คุณยูโรทวนคำพูดของฉัน ทำให้รู้ตัวว่าหลุดพูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อออกมา “เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ว่าแต่ฉันยังต้องทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาฯไหมคะ จริง ๆ แล้วฉันอยากทำงานตรงสายที่เรียนมามากกว่าค่ะ” “อ้อ...ถ้างั้นก็ทางนี้เลยครับ เดี๋ยวผมพาไปดูงานที่แผนกบัญชี ส่วนเรื่องผู้ช่วยเลขาฯถ้ามีอะไรให้ช่วย ผมจะเรียกมาครับ” “อ้อ ดีเลยค่ะ” ยิงนกสองตัวได้ปืนนัดเดียว เอ...ไม่ใช่สิ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสิถึงจะถูก ได้ทั้งทำงานตามที่เรียน บวกกับได้ใกล้ชิดเขาคนนั้นด้วย... พอคุณยูโรเดินผ่านใครเป็นอันต้องหันมามอง มองทั้งคุณยูโรมองทั้งฉัน ทำให้ฉันต้องฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับทุกคน แต่พอทุกคนมองเสร็จก็จับกลุ่มนินทา แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องดี “สวัสดีครับทุกคน” คุณยูโรไปยืนกลางแผนกบัญชี ทำให้พนักงานภายในแผนกนี้ลุกพึ่บขึ้น รอฟังคำกล่าวจากเขา “ผมพานักศึกษาฝึกงานมาแนะนำตัวครับ เธอชื่อเบญจมาศ ศิลปสกุลจากมหา’ลัยเอ็กซ์ปริ้นส์” พอได้ยินชื่อมหา’ลัยหลายคนก็เริ่มซุบซิบกันอีก คงเป็นเพราะเป็นมหา’ลัยเอกชนที่ค่าเทอมแพงที่สุดในประเทศล่ะมั้ง “ผมฝากให้ทุกคนช่วยสอนงานน้องด้วยนะครับ ทุกตำแหน่งเลย อาจจะรบกวนให้พี่ผึ้งช่วยจัดตารางให้น้อง เว้นไว้ช่วงเช้า ๆ นะครับ น้องอาจจะต้องไปทำงานกับท่านประธาน” พอพูดประโยคนี้หลายคนก็ฮือฮาเสียงดัง แน่นอนว่าฉันได้ยิน “เอาล่ะ อย่างที่ทุกคนพูดกันนั่นแหละครับ คุณเบญจมาศอาจจะได้เป็นภรรยาของท่านประธาน ยังไงก็ระมัดระวังคำพูดกันด้วยนะครับ” “ก็แค่อาจจะ ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นสักหน่อย” คุณยูโรพูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ฉันหันไปมองอย่างอัตโนมัติก็เห็นว่าเธอกำลังคว่ำปากไม่พอใจฉันอยู่ นี่ไง...ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย คนก็เริ่มหมั่นไส้ฉันแล้ว “ฝากด้วยนะครับ พี่ผึ้ง อ้อ...คนนี้เป็นหัวหน้าแผนกน่ะ” ประโยคหลังคุณยูโรหันมาคุยกับฉัน “สวัสดีค่ะพี่ผึ้ง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันยกมือขึ้นไหว้ ก่อนที่คุณยูโรจะเดินจากไป ทิ้งให้ฉันยืนทำตัวไม่ถูกท่ามกลางสายตาของคนหลายคนที่มองมา “ตอนนี้แผนกเรายุ่งมาก เพราะใกล้จะประชุมประจำเดือนด้วย ยังไงก็อย่าทำตัวมีปัญหาล่ะ” พี่ผึ้งเอ่ยพูดพร้อมกับไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่งตัวใหม่ด้วย ที่นี่มีกฎมีระเบียบ ดูคนรอบตัวว่าเขาแต่งตัวกันยังไง ถ้าคิดไม่ออกก็แต่งชุดนักศึกษามา” น้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ พี่ผึ้งมองฉันลอดแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เธอค่อนข้างมีอายุเชียวล่ะ “เอ่อ ได้ค่ะ” “ส่วนวันนี้เธอเดินไปดูงานเองก่อนก็แล้วกัน ว่าที่แผนกมีอะไรบ้าง ตอนเย็นมาสรุปให้ฉันฟัง” “เอ่อ ดะเดินได้เลยเหรอคะ” “ได้สิ ใครผูกขาเธอไว้ล่ะ” ฉันกะพริบเปลือกตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ ตัวก็เกร็งขึ้นมาเสียไม่ได้ ...ฉันเอากระเป๋าไปเก็บก่อนจะเดินถือสมุดโน้ตเล็ก ๆ ไปตามโต๊ะทำงานของพี่ ๆ เพื่อหาข้อมูล แต่ทุกคนก็ดูเคร่งเครียดกับงานมาก สายตาของทุกคนเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีใครสนใจฉันเลย “เอาไงดี” ฉันพูดกับตัวเอง ยืนหันซ้ายแลขวาทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่เสียงของพี่ผึ้งจะดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการตะคอกเลยต่างหาก “นี่! ถ้ามัวแต่ยืนข้อมูลมันจะวิ่งเข้าสมองเธอเองไหม หัดพูดหัดถามบ้าง! มัวรอแต่ให้คนเอาข้อมูลมายัดใส่หัวหรือไง!!” ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หนำซ้ำ... “คิก ๆ คงทำงานไม่เป็นสิท่า พวกลูกคนรวยอยากลองใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา เลยมาทำงานขำ ๆ คิดว่าจะผ่านพี่ผึ้งไปได้ง่าย ๆ หรือไง” “นั่นสิ พอคุณยูโรยกหางหน่อยก็คิดว่าคงไม่ต้องทำอะไรมั้ง” เสียงซุบซิบนินทานี้ฉันได้ยินหมด ...ฉันไม่เคยคิดอย่างนี้เลย อยู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความกดดัน ใบหน้าเห่อร้อน น้ำตาคลอขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอก... * โรคแพนิค (panic disorder) หรือโรคตื่นตระหนก เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่งที่เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Automatic Nervous System) ทำงานผิดปกติ โดยระบบประสาทนี้เป็นระบบที่ควบคุมการทำงานของร่างกายหลายส่วน จึงทำให้เกิดอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียน ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นแบบฉับพลันแม้ไม่มีสาเหตุหรือมีเรื่องให้ต้องตกใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD