พอปิดประตูลง คุณยูโรที่ยืนมองฉันอยู่ก็เดินเข้ามาหา
“เกิดไรขึ้นครับ”
“เขาโมโหแล้วโยนปากกาใส่ฉันค่ะ นิสัยเสียมาก ทำร้ายผู้หญิง” ว่าด้วยความโมโห คุณยูโรกลับมีสีหน้านิ่งเรียบ เขาดูไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก ราวกับว่าคุ้นชินกับพฤติกรรมของคนเป็นนาย
“แล้วโดนไหมครับ”
“ก็...เฉียด ๆ น่ะ แต่ฉันก็ตกใจมาก” อาจจะเป็นเพราะฉันไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนทำกับฉันอย่างนี้มาก่อน ก็เลยตีโพยตีพายใหญ่
“อ้อ งั้นแสดงว่าบอสไม่ได้อยากทำร้ายหรอกครับ ถ้าเขาจะทำ...คุณไม่เหลือรอดหรอกครับ”
“หือ? พูดอย่างกับเขาเคย...ทำเหรอคะ” ฉันยกมือขึ้นป้องปาก ราวกับว่าสิ่งที่พูดนี้เป็นคำพูดต้องห้าม
“อ้อ นายไม่เคยหรอกครับ แต่ถ้าทำร้ายจิตใจน่ะ...นายเก่งมากครับ” ได้ทีเอาใหญ่ คุณยูโรกระซิบกระซาบคืน
“ยังไงคะ” ฉันเองก็อยากจะรู้ คุณยูโรเลยเดินนำหน้าฉันเพื่อที่เราจะได้ไปหลบมุมเพื่อคุยกัน ใบหน้าหล่อเหลานนี้หันซ้ายแลขวา ด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ
“ผมไม่ได้อยากเล่าอะไรให้ใครฟังนักหรอกครับ แต่ว่าผมอยากให้คุณได้เป็นแฟนกับนาย”
“หือ...ทำไมคะ”
“พอดีนายเพิ่งอกหักมาน่ะครับ”
“ห๊า...”
“ไม่เชื่อเหรอครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่ไม่เชื่อว่าเขาจะรักใครได้น่ะสิ” ฉันไม่เชื่อจริง ๆ นะ ท่าทีเย็นชาแบบนั้น...หรือจริง ๆ เขาเย็นชาเพราะแบบนี้
“อันนี้ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกัน แต่พอนายอกหักก็เย็นชากว่าเดิมอีก ตอนนี้ผมแทบพูดอะไรไม่ได้” สีหน้าของคุณยูโรกำลังบอกว่าเขาลำบากใจเป็นอย่างมาก
“เหรอคะ” พอได้ยินอย่างนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ หรือที่เขาไม่อยากแต่งงานเพรามีคนรักอยู่แล้ว
“ว่าแต่คุณล่ะ...ทำไมคุณถึงยอมให้คุณช่อผกาจับคู่ให้ครับ” คุณยูโรเกิดสงสัยฉันขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะฉันดูแก่นเฟี้ยวไม่น่าจะยอมใครง่าย ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมหมั้น ซึ่งฉันก็มีเหตุผลของฉัน
“คือ...คุณยูโรเชื่อเรื่องกลับชาติมาเกิดไหมคะ”
“หือ...” ใบหน้าหล่อเหล่าเต็มไปด้วยความสงสัย ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ฉันพูด แถมเขายังใช้สายตาสำรวจใบหน้า และตัวของฉันอีกด้วย ราวกับกำลังพิจารณาสติของฉันอีกครั้งว่าสมประกอบดีหรือเปล่า
“คืองี้...เอ่อ ไม่ดีกว่า คือ ช่างเถอะค่ะ” พอฉันจะเล่า ก็รู้สึกว่าคงไม่มีใครเชื่อ แม้นแต่จิตแพทย์ยังบอกว่าเรื่องที่ฉันพูดมีแค่ทฤษฎีขบคิด แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
“อ้อครับ คุณคงล้อเล่นใช่ไหมครับ ฮ่า ๆ ใครมันจะบ้าไปเชื่อเรื่องแบบนั้น”
“อ้อ ใช่ จริง ๆ แหละ” ฉันทำเป็นหัวเราะแก้เขินตามไป ก่อนจะพยายามเปลี่ยนเรื่อง “อ้อ แล้วเรื่องที่บอกว่าทำร้ายจิตใจ คืออะไรคะ”
“หือ...ทำร้ายจิตใจผู้หญิงน่ะเหรอครับ คือนายน่ะ มีสาว ๆ เยอะใช่ไหมครับ แต่ว่าไม่เคยชอบใครเลย พอมีคนคิดเกินเลยมากกว่าคู่นอนก็จะเขี่ยทิ้ง ยัดเงินไม่ให้มายุ่งด้วยน่ะครับ”
“งั้นเหรอคะ แย่จัง” เขาคงทำอะไรแบบนี้จนเป็นนิสัย แต่ว่าถ้าตอนนี้เขารักใครสักคนอยู่ งั้นก็แสดงว่าคนอย่างเขาก็น่าจะรักคนเป็น เท่ากับว่าฉันก็มีความหวังอยู่น่ะสิ
“แล้ว...ทำไมเขาถึงอกหักคะ” ฉันเกิดสงสัยขึ้นมา แต่พอคุณยูโรจะตอบ
“มึงคงว่างมาก ไอ้ยูโร” เสียงทุ้มลึกคุ้นหูก็ดังขึ้นทางด้านหลังเราสองคนนั้น ทำให้เราทั้งคู่ค่อย ๆ หันไปมองอย่างช้า ๆ
“อุ้ย!” ฉันกับคุณยูโรอุทานออกมาพร้อมกัน ก่อนที่คนที่คุณก็รู้ว่าใครจะยื่นมือมากระชากคอเสื้อของคุณยูโรจากทางด้านหลัง
“บะบอส พอดีผม...ไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ ไม่ได้พูดเลยสักคำ”
“เหรอวะ แล้วมึงบอกอะไรนะ สาว ๆ เยอะอะไรของมึง” เสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่ดวงตาคมเข้มนี้จะตวัดสายตามองฉัน
“เอ่อ...คือว่าคุณยูโรไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันเป็นคนอยากรู้เอง”
“มันใช่ธุระกงการอะไรของเธอ” พอเขาพูดด้วยความโมโห ฉันก็เลยหมดคำจะพูด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ
“ก็...ฉันอยากรู้นี่” คุณจิณณ์ขมวดคิ้ว เขาคงไม่พอใจความดื้อด้านของฉัน “ก็เราสองคนเป็นคู่หมั้นกันไง”
“ใครหมั้นกับเธอ ห้ะ!”
“อ๊ะ!...” เขาตะคอกเสียงดังจนฉันกับคุณยูโรสะดุ้งไปตาม ๆ กัน “แล้วจะตะคอกทำไมคะ ทำไมต้องทำเป็นไม่พอใจอะไรขนาดนี้ด้วย หรือโมโหเก็บกดที่ตัวเองอกหักมาแล้วหาที่ระบายไม่ได้”
“เธอรู้...ไอ้ยูโร” คุณจิณณะเอ่ยลอดไรฟันมองหน้าคุณยูโร อย่างคนกำลังโมโหสุดขีด เขาทำให้ฉันกลัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ผะผมขอโทษครับนาย” คุณยูโรที่ถูกหิ้วคอเสื้ออยู่นี้ยกมือพนมไหว้ บางครั้งเขาก็เรียกผู้ชายตัวโตคนนี้ว่านายบางครั้งก็เรียกว่าบอส นี่ไม่ใช่แค่ลูกน้องแล้ว มันไม่ต่างจากไพร่ เขากำลังขอโทษขอโพยราวกับว่าทำเรื่องผิดมหันต์ ทั้ง ๆ ที่ฉันคิดว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้น
ทว่า
หมับ!
“อ๊ะ!...” เขาปล่อยมือจากคอเสื้อของคุณยูโร ก่อนจะเปลี่ยนมาคว้าข้อมือของฉันแทน แถมยังออกแรงกระชากอย่างแรงจนตัวฉันปลิวติดตัวของเขาไป
“นี่คุณ! จะพาฉันไปไหน!” เขาลากฉันมาที่ห้องทำงานของเขาเหมือนเดิม ก่อนจะกระแทกประตูปิดด้วยฝ่าเท้า ใช่ ได้ยินไม่ผิด เขายกเท้าถีบประตูอย่างแรง!
“เธอต้องการอะไร” เขาปล่อยมือออกจากข้อมือฉัน ก่อนจะเท้าเอวพูดเสียงเข้ม น้ำเสียงท่าทีโมโหนี้ทำให้ฉันตกใจไม่ต่างกัน
“ก็...”
“เธออยากหมั้น?” เขาดูหัวเสียสุด ๆ ทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่รู้ว่าทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้น เราก็ดู ๆ กันก่อนก็ได้ แบบ คุย ๆ กัน กินข้าวไรงี้ ถ้าโอเคก็ค่อยหมั้นกันตามที่ผู้ใหญ่เห็นสมควร” ฉันพยายามพูดคุยด้วยเหตุผล แต่เขากลับมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวในสิ่งที่ฉันพูด
“ฉันไม่ต้องการคุย หรือทำอะไรกับเธอทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอ ทำไมเธอถึงยอม” ฉันกลืนน้ำลายลงคอ หากจะบอกว่าตัวเองระลึกชาติได้ก็กระไรอยู่ แถมเมื่อครู่ที่บอกคุณยูโรไปเขาก็ยังทำหน้าไม่เชื่ออีก
“คือว่า...เราสองคนก็เหมาะสมกันดี” ฉันให้เหตุผลเดิม แต่ทว่า
“แต่ฉันไม่เอาผู้หญิงแบบเธอ”
“แบบฉัน? ...” อีกแล้วนะ เขาพูดอย่างกับ “คุณ...สืบประวัติฉันเหรอ”
“_” ฉันเบิกตากว้างเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก เขาคงให้คนไปสืบเรื่องเกี่ยวกับฉันมาหมดแล้วแหง ๆ “หึ ผู้หญิงเอาแต่ใจ ขี้เหวี่ยงวีนแบบเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันคิดแต่งงานด้วยหรอกนะ”
“เดี๋ยวนะ คุณต้องไปสืบจากที่มหา’ลัยแน่ ๆ”
“หึ ทำไม เธอทำวีรกรรมอะไรไว้ล่ะ” ฉันอ้าปากพะงาบ ๆ เพราะนี่ถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว
“แสดงว่าคุณสืบมาไม่หมด สืบมาไม่หมดว่าฉันไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำคนอื่น มีแค่คนอื่นที่กระทำฉัน” ว่าน้ำตาคลอ ทำไมเขาไม่ถามฉันเอง แต่ทำไมถึง...ไปเชื่อที่คนอื่นเล่า