มัธยมศึกษาปีที่ 4

3307 Words
                  ตอนนี้ฉันเป็นน้องเล็กของ ม.ปลาย                 โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำอำเภอขนาดใหญ่ มีนักเรียนหลายพันคน เพราะสอนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6                  ทุกคนต้องสอบเข้า                 และต้องสอบให้ผ่านเกณฑ์ถึงจะได้เรียนที่นี่                 และ...                 ถึงแม้ว่าจะสอบไม่ได้ก็ได้เรียนเหมือนเดิม                 แต่...                 คนที่สอบไม่ได้ต้องจ่ายเงินเข้า แต่ละคนเสียเป็นหมื่นเลยนะ                 หึ...ธุรกิจการศึกษาชัด ๆ                 ไม่แปลกใจที่โรงเรียนนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาคาร ห้องหับ ทางเดิน ดีไปหมด เพราะไม่ต้องรอเงินจากรัฐบาลอย่างเดียว                 แต่ละปีหาเอากับคนที่สอบไม่ได้ ม.1 และ ม.4 ก็ได้เป็นล้านแล้ว                 เสียใจด้วย ที่โรงเรียนนี้เอาเงินจากฉันไม่ได้ และฉันสอบคัดเลือกห้อง ได้อยู่ห้อง 1 หนีไม่พ้นเลขนี้จริง ๆ                 อ้อ...                 โรงเรียนนี้ไม่ต้องเข้าแถวหน้าเสาร์ธงตากแดดตัวดำนะ เข้าอยู่ในห้องประชุมของอาคารอเนกประสงค์ ที่เป็นโดมขนาดใหญ่ รอบ ๆ มีต้นไม้ให้ความร่มรื่น ดีมากเลยแหละ ฝนตกก็ไม่กลัว สบายมาก                 ฉันเจอเพื่อนใหม่ คนใหม่ ๆ มากมาย                 และฉันก็ยังเป็นที่จับตามองของคนในโรงเรียนอยู่ เนื่องจากเป็นเด็กที่มาใหม่ และยังเก่งด้านกีฬาอีกด้วย                 โรงเรียนนี้เด่นมากเรื่องกีฬาวอลเลย์บอล นักกีฬาหลายคนในทีมเคยเป็นคู่แข่งกับฉันมาตลอด                 โค้ชที่ฝึกซ้อม มาทาบทามให้ฉันไปเป็นนักกีฬาด้วย แต่ฉันขอปฏิเสธ                 เพราะปรึกษาแม่แล้ว แม่ไม่เห็นด้วย กลัวฉันเสียการเรียน                 แม่รู้กิตติศัพท์ของโรงเรียนนี้ดี ว่าเข้มงวดเรื่องฝึกซ้อมขนาดไหน นักกีฬาต้องอาศัยอยู่ที่ห้องแถวของโค้ช ซ้อมตั้งแต่เลิกเรียนยันสี่ทุ่ม                 เสาร์ - อาทิตย์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ซ้อมทั้งวัน                 ฉันเองก็ไม่อยากเป็นหรอก เพราะซ้อมหนัก และปีที่ผ่านมา ล่าสุด สด ๆ ร้อน ๆ ทีมวอลเลย์บอลโรงเรียนชนะเลิศระดับประเทศ จากการจัดการแข่งขันของการกีฬาแห่งประเทศไทย                   ฉันเป็นนักกีฬาฟุตบอลแทน เพราะเพื่อนในกลุ่มทั้งหมด จบ ม.3 จากที่นี่ แล้วเป็นนักกีฬาเก่า เคยเตะบอลกับฉันหลายครั้ง เพราะฉันจำได้ พวกมันเลยชวนฉันมาเป็นสมาชิกนักกีฬาฟุตบอล                 ในกลุ่มฉัน มีเพื่อนทั้งหมดรวมกับฉันแล้วก็แปดคนพอดี ถือเป็นกลุ่มเพื่อนที่ใหญ่พอสมควร                 สมาชิกในกลุ่ม หนึ่งคนเป็นชายใจหญิง คอยสร้างสีสันและสร้างความสุขให้คนในกลุ่มตลอด                 ฉันโชคดี ที่มีเพื่อนดี                 กลุ่มฉันแปดคน เป็นนักฟุตบอลไปแล้วครึ่งหนึ่ง คือสี่คน จึงเป็นที่จับตามองของคนในโรงเรียนมากยิ่งขึ้น เพราะโดยปกติคนจะให้ความสนใจกับเด็กกิจกรรมเป็นพิเศษ                 เด็กกีฬา                 เด็กวงดนตรี                 เด็กนาฏศิลป์                 เด็กโปงลาง                 อ้อ...โรงเรียนนี้แข่งขันวงโปงลางชนะเลิศระดับประเทศด้วยนะ โรงเรียนนี้เขาขึ้นชื่อนักแลทั้งกิจกรรมและกีฬา                 วิสัยทัศน์ของโรงเรียนนี้ก็น่าจะเป็น กิจกรรมดี...กิจกรรมเด่น...เน้นกิจกรรม                 เด็กกิจกรรมและกีฬาพวกนี้จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ                 ฉันเข้ามาเล่นกีฬาฟุตบอลครั้งนี้ ในตำแหน่งผู้รักษาประตู                 เพราะคนก่อนจบออกไปแล้ว ฉันจึงอาสามาแทน ความจริงก็ขี้เกียจวิ่งแหละ เหนื่อย                 ตอนเย็นก็ซ้อมตามปกติ เลิกซ้อมค่ำหน่อย แต่ไม่เป็นไร มีรถประจำทางผ่านอยู่                 ทุกเย็นเราจะซ้อม โดยการวิ่งรอบสนามฟุตบอล 5 รอบ                 และวอร์มตามคำสั่งของโค้ช                 แต่ไม่ใช่ว่ามีแค่นักกีฬาฟุตบอลที่วิ่งรอบสนาม นักกีฬาวอลเลย์บอลก็วิ่งด้วย                 แปลกดีตอนฉันซ้อมมีแต่วิ่งรอบสนามวอลเลย์บอล ไม่เคยมาวิ่งรอบสนามฟุตบอลแบบนี้หรอก                 โรงเรียนนี้เข้มดี มิน่าล่ะถึงชนะระดับประเทศมา                 ฉันแอบมองน้องนักวอลเลย์บอลอยู่คนนึง ชื่อน้องวิว น้องเป็นคนตัวสูงสมกับเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์ หมวยนิด ๆ สเปคเลย                 และน้องเองก็เหมือนรู้ว่าฉันมองอยู่ ทุกเย็นเราจะวิ่งพร้อมกันเสมอ วิ่งไป คุยไป เขินเหมือนกันแฮะ                 ฉันแซวน้องบ่อย ๆ เวลาที่เราเดินสวนกัน น้องเองก็เขิน น้องก็แซวฉันเหมือนกัน ก็มีแอบเขินบ้างแต่มันไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าการชอบ                 ทุกครั้งที่น้องยิ้ม ฉันจะนึกถึงคน ๆ นึงเสมอ ทุกคนคงรู้ว่าฉันหมายถึงใคร                 ไม่มีใครทำฉันยิ้มได้ทั้งใบหน้า และยิ้มไปถึงหัวใจเหมือนป้อนอีกแล้ว                 "มึงชอบวิวหรอ"                 "ป่าว น้องน่ารัก สเปคเฉย ๆ"                 "ดีแล้ว โค้ชดุนะ ไม่ให้นักวอลเล่ย์มีแฟน"                 ใช่ดีแล้ว ดีแล้วที่ฉันยังมีป้อนอยู่ในใจ ยังไม่มีใครมาแทนที่ได้                 ดีแล้ว ที่ฉันไม่ชอบน้อง                 ดีแล้วที่ความคิดภายในใจของฉันยังมีแค่ป้อนคนเดียว                 ดีแล้วที่หัวใจของฉัน มันซื่อสัตย์ และรักแค่ป้อน รอแค่เพียงป้อนคนเดียวเท่านั้น                   หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ทุกเที่ยง กลุ่มเราจะไปที่ร้านไอติม และซื้อมันกินกันทุกวัน                 จนรุ่นน้องที่ปลื้มปริ่มฉันบางคน ทักมาแซวฉันบ่อย ๆ และให้ฉายากลุ่มฉันว่า แก๊งไอติม                 เออว่ะ ดีแฮะ น่ารัก                 กลุ่มฉันก็เลยได้ชื่อว่าแก๊งไอติมตั้งแต่ตอนนั้นไปโดยปริยาย                 เพราะฉันเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนรู้หมดแหละ ว่าฉันคุยกับใคร หรือมีใครคนไหนชอบฉันบ้าง                 เรียกได้ว่าเพื่อนเป็นตัวสแกนชั้นดีเลย เพราะพวกมันจบจากที่นี่ เลยรู้หมดว่าใครเป็นยังไง ใครดีไม่ดี ใครนิสัยเป็นไง                 พวกมันสแกนอย่างดี และคอยกันท่าฉันอย่างดี                 บางคนยุให้ฉันจีบน้องที่แสดงออกชัดเจนว่าชอบฉัน เพราะพวกมันบอกว่าน้องน่ารัก นิสัยดี งั้นงี้ สารพัดคำชมเลยแหละ                 แต่...                 ฉันแค่ยิ้ม และปฏิเสธไป                 ก็ไม่ชอบอะ                 ไม่เห็นมีใครเหมือนป้อนเลยสักคน                   4 กุมภาพันธ์                 วันนี้เป็นวันเกิดของป้อน                 ฉันรู้ว่าป้อนชอบคิตตี้มาก เจ้าแมวสีขาวชมพูหน้าตาน่ารัก                 ปีนี้ ฉันตั้งใจซื้อของขวัญให้ป้อน จากเงินเก็บที่ฉันพอมีอยู่บ้าง                 ฉันขออนุญาตแม่ขับรถออกจากบ้านในตอนค่ำ หลังกลับจากโรงเรียน เพื่อไปซื้อตุ๊กตาคิตตี้น่ารัก ๆ ตัวหนึ่ง ตัวขนาดพอดี ไม่ใหญ่เกินไป และไม่เล็กเกินไป                 แน่นอนว่าแม่ไม่รู้ว่าฉันไปไหน ใครจะไปบอกความจริงกันล่ะ แม่ได้ฉีกอกฉันตายกันพอดี                 ซื้อเสร็จก็เอามาห้อยไว้หน้ารถ                 ไม่มีการห่อของขวัญใด ๆ ทั้งสิ้น                 มันคือคิตตี้ จะห่อด้วยกล่องทองคำฝังมุกฝังเพชรมันก็คือคิตตี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้                 ฉันขับมุ่งหน้าสู่บ้านป้อน ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย                 ฉันจะเจอป้อนมั้ย                 ฉันจะเจอใครบ้าง                 ฉันจะกล้าลงจากรถมั้ย                 ถ้าเจอป้อน...ฉันจะทำยังไง                 และฉันจะตอบว่าอย่างไร หากมีคนถามว่ามาทำไม และมาเพื่ออะไร                 โชคดี ที่พอฉันจอดรถจักรยานยนต์แล้ว เดินลงมาจากรถ หยิบตุ๊กตาติดมือมาด้วย เห็นเพียงแค่คุณยายของป้อนนั่งอยู่หน้าบ้าน                 "สวัสดีค่ะคุณยาย ฝากเจ้านี่ไว้ให้น้องป้อนหน่อยนะคะ"                 ยายทำหน้างง                 จ้องฉัน เนิ่นนาน                 เหมือนคุณยายจะสงสัยว่าเคยเห็นฉันที่ไหน ดีแล้วที่คนแก่ขี้ลืม                 ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ถามสารทุกข์สุกดิบอะไรอีก ฉันรีบเดินกลับไปที่รถ สตาร์ทและขับมันออกไปด้วยใจที่เต้นระรัว                 กลัวว่าจะมีคนมาเห็นฉันเข้า ซึ่งคนที่ฉันกลัว คือป้อน                 ถ้าเราเจอกัน ฉันจะทำหน้ายังไงนะ คิดไม่ออกจริง ๆ                   Rrr...Rrr...Rrr...                 "พี่ไม่รอเค้าอีกแล้ว"                 "รออะไร"                 "พี่อย่ามาเนียน"                 "เจ้าคิตตี้ขี้ติดนี่ ของพี่ใช่มั้ย"                   ขยันหาคำมาเปรียบเปรยซะจริงนะแม่คุณ คิตตี้ ขี้ติด                 ใครเล่นมุกนี้ตีตายเลย                 ฝืดเกิน...                 แต่ยกเว้นป้อนไว้คนนึง เล่นมุกนี้แล้วน่ารัก                 "สุขสันต์วันเกิดนะ"                 "เค้าอยากได้พี่เป็นของขวัญ"                 "ถือว่าเจ้าขี้ติดนั่น เป็นตัวแทนของพี่ละกัน"                 "เค้าจะกอด"                 "กอดทุกคืนเลยก็ได้"                 "หมายถึงกอดพี่ ถ้าเค้าเจอพี่เค้าจะกอด"                 ว้าว...                 ไม่ได้คุยกันนาน คำพูดคำจาแพรวพราวขึ้นมากเลยนะเนี่ย                 ฉันเงียบไปสักพัก เพราะต่อสู้กับดาเมจของคำพูดป้อนยังไม่ได้                 "ชอบมั้ย"                 "ชอบ"                 "ของขวัญวันเกิด"                 "ฮ่าๆๆ เค้ารู้หรอกว่าพี่อยากให้เค้าตอบว่าชอบพี่ มากกว่าชอบของขวัญวันเกิด แต่พี่ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ ว่าเค้าชอบพี่มากกว่าอะไรทั้งหมด"                 "เราพูดมากขึ้นหรือเปล่าเนี่ย"                 "เค้าคิดถึงพี่นะ"                 พี่ก็คิดถึงป้อนเหมือนกัน คิดถึงมาก ๆ ด้วย อยากเจอที่สุดเลย แต่ไม่รู้ว่าถ้าเจอแล้ว พี่จะต้องทำตัวยังไง                 จะเสียใจ                 ดีใจ                 ร้องไห้                 ตื่นเต้น                 ตัวสั่น                 อาการฉันจะเป็นยังไงนะ                 "ฉลองวันเกิดรึยัง"                 นี่แหละฉัน โดนรุกเข้าหน่อยก็ไปไม่เป็น เฉไฉเปลี่ยนเรื่องซะงั้น                 "เพิ่งฉลองเสร็จค่ะ"                 "แม่ให้อะไรเป็นของขวัญ"                 "ให้ล้างจานทั้งหมดที่เอามาใส่อาหารกินในวันนี้"                 ฉันยิ้ม หัวเราะน้อย ๆ กับมุกตลกที่คนที่ครองตำแหน่งเจ้าของหัวใจของฉันขยันสรรหามาเล่น                 "ของขวัญล้ำค่า"                 "พี่ล้ำค่ากว่าตั้งเยอะ" พอมั้ย! หน้าร้อนไปหมดแล้วนะเนี่ย                 "พี่นอนแล้วนะ ดึกแล้ว"                 "บอกฝันดีเค้าหน่อย"                 "ฝันดีนะ"                 "เค้ารักพี่นะ"                 ขี้โกงนี่หว่า แทนที่จะบอกฝันดีฉันกลับ แต่ป้อนบอกรักแทนเนี่ยนะ ไปฝึกวิทยายุทธ์แบบนี้มาจากสำนักไหนกัน                 เขินจะแย่แล้วโว้ยยยยยยย                 ฉันตัดสาย                 นอนยิ้ม มองเพดาน อยู่ดี ๆ หน้าป้อนก็ปรากฏขึ้นบนเพดานสีขาวนั้น                 ป้อนยิ้มให้ฉัน ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเกือบปีแต่ฉันก็ยังจดจำใบหน้าป้อนได้อยู่ รู้สึกเกลียดตัวเองก็ตอนนี้แหละ เกลียดที่ตัวเองซื่อสัตย์กับความรักมากจนเกินไป                 เมื่อเห็นภาพป้อนยิ้มฉันเองก็ยิ่งยิ้มมากขึ้น                 ยิ้มกว้างไปถึงหู...                 สงสัยฉันจะหลอนแล้วมั้ง                   ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องทฤษฎีโลกกลมเลยสักครั้ง                 จนวันนี้...                 ฉันได้ตระหนักว่าโลกกลมสุด ๆ                 วันหนึ่งฉันไปสั่งเสื้อกีฬาที่จะใส่แข่งขันกับเพื่อน ซึ่งร้านเสื้อกีฬาอยู่ข้างกันกับร้านขายรถจักรยานยนต์ยี่ห้อดังร้านหนึ่ง                 และร้านขายรถนั้น ก็เป็นร้านที่แม่ฉันเป็นลูกค้าประจำ แม่มาออกรถที่ร้านนี้สองคันแล้ว                 ฉันกำลังเดินเข้าร้านเสื้อกีฬา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นรุ่นพี่ที่คุ้นเคย                 ฉันยิ้มให้ กำลังจะเข้าไปทักทาย                 แต่ก็ต้องชะงักกึกอีกครั้ง                 เพราะพี่ฟิล์มมองฉัน แต่ไม่ยิ้ม แถมยังเหยียดยิ้ม เหมือนกับเห็นฉันเป็นตัวสกปรกสักอย่างหนึ่ง แล้วทำเหมือนว่า ไม่เคยรู้จักฉันเลย                 อะไรวะ                 อะไรกันเล่า                 ฉันทำอะไรผิด                   "มาศ!!"                 "อะไร"                 "มึงมองอะไร อยากได้รถ หรืออยากได้สาว"                 "กูเปล่ามอง ไม่มีไรเข้าร้านเถอะ"                 ฉันทำผิดอะไร                 หรือมีเรื่องอะไรที่ฉันทำพลาดไปหรือเปล่านะ                 แล้วพี่ฟิล์มไม่เรียนต่อหรอ                 ป่านนี้มหาลัยคงเปิดแล้วนะ                 แต่ช่างเถอะ หยุดคิดเรื่องคนอื่นได้แล้ว                 เขาทำเหมือนไม่รู้จักฉัน แล้วยังยิ้มเหยียดขนาดนั้น                 คิดว่าฉันจะสนใจรึไง แสดงกิริยาน่าสมเพชให้คนอื่นเห็นแบบนี้ ก็ตัดขาดการเป็นคนรู้จักไปเลย ไม่สิ แม้แต่คนรู้จักฉันก็ไม่ให้เป็น เป็นแค่คนที่หายใจเอาออกซิเจนเข้าปอด และปล่อยคาร์บอนไดออกไซน์ออกมาเหมือนกันก็พอแล้ว                   "พี่ว่าเค้าเรียนไหนดี"                 "เรียนไหนก็ดีหมดแหละ ถ้าสภาพสังคมในโรงเรียนและสังคมรอบตัวของเรามันดี และท้ายที่สุดมันก็อยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า"                 "เค้าอยากเจอพี่"                 เจอไม่ได้หรอก เพราะป้อนย้ายที่อยู่แล้ว ฉันรู้มาจากเพื่อนเก่า หมู่บ้านเดียวกันกับป้อน ที่โทร.มาเล่าให้ฟัง ว่าพ่อป้อนมีบ้านเล็กบ้านน้อย และมีปัญหาระหองระแหงกับแม่ป้อนมาสักพักแล้ว                 จนแม่ป้อนทนไม่ไหว ขออย่า                 และสุดท้ายทั้งพ่อและแม่ป้อนก็จบความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาทางนิตินัยกัน                 พ่อป้อนไปอยู่กับภรรยาใหม่ที่ไหนก็ไม่รู้                 ส่วนแม่ ป้อน คุณยาย และน้องชายป้อน ที่เพิ่งจะอยู่อนุบาลสองก็ย้ายออกจากบ้านหลังนั้น กลับภูมิลำเนาตัวเองที่อยู่ต่างอำเภอ                 และป้อนก็ต้องย้ายโรงเรียนในตอนกลางเทอมสอง                 ทิ้งบ้านไว้ เป็นบ้านร้าง ไม่มีใครอยู่                 ฉันไม่รู้ว่าบ้านใหม่ป้อนอยู่ที่ไหน                 ฉันไม่ได้รู้เรื่องนี้จากปากป้อน เพราะไม่ค่อยได้คุยกันบ่อย นาน ๆ ทีป้อนถึงจะโทร.มาหา                 ฉันยังเป็นฉัน                 ขี้ขลาด                 และคิดมากตลอด ว่าถ้าโทร.หาแล้วป้อนไม่รับสาย หรือไม่อยากคุยกับฉัน ฉันจะรู้สึกยังไง กลัวเหลือเกิน ว่าตัวเองจะเจ็บปวด                 ฉันรู้ว่าป้อนต้องเสียใจกับเรื่องนี้มากแน่ ๆ ขนาดฉันตอนเด็ก ๆ ที่แม่หลอกว่าจะหาพ่อใหม่ ฉันยังแอบไปร้องไห้คนเดียวเงียบ ๆ เพราะคิดว่า ถ้าเลิกกัน ไม่พ่อก็แม่ ที่จะต้องเสียใจ                 และแน่นอน คนที่เป็นลูก ย่อมเจ็บปวดที่สุดอยู่แล้ว                 "ย้ายโรงเรียนหรอ"                 "ค่ะ"                 ต่างคนต่างเงียบ                 ฉันรอฟัง ว่าป้อนจะอธิบายอะไรต่ออีกมั้ย แต่ป้อนคงอยากเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง จึงเงียบไป ไม่อธิบายอะไรต่อ                 เป็นฉันเองที่ทุรนทุราย เพราะความเป็นห่วง มันล้นหัวใจ                 "ขออะไรอย่างได้มั้ย"                 ป้อนเงียบ                 "มีอะไรก็บอกพี่บ้าง เล่าให้พี่ฟังบ้างว่าเรารู้สึกยังไง หรือกำลังคิดอะไรอยู่ พี่เป็นห่วงป้อนนะ เป็นห่วงมาก ๆ รู้ใช่มั้ยว่าพี่รัก เพราะฉะนั้นพี่เป็นที่ระบายให้ป้อนได้นะ ด้วยความเต็มใจด้วย"                 "พี่รู้เรื่องเค้าแล้วใช่มั้ย"                 ฉันไม่ตอบ แต่เงียบเพื่อรอฟัง                 "เค้าเป็นเด็กกำพร้าแล้ว พ่อแม่แยกทางกัน พ่อไม่อยู่กับเค้าแล้ว เค้าต้องย้ายบ้าน ต้องห่างจากพี่ออกไปอีก บางทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกต่อไป พี่ยังจะรักเค้าอยู่มั้ย"                 "ป้อน"                 ฉันครางชื่อน้องเบา ๆ รับรู้ความรู้สึกเสียใจและผิดหวัง จากน้ำเสียงเศร้าสร้อยนั้น                 "อย่าคิดแบบนั้นได้มั้ย พี่รู้ป้อนเสียใจ แต่นั่น ก็คือพ่อกับแม่นะ ความรักมันก็แบบนี้ มีรัก มีเลิก มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ต่อให้ท่านไม่ได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้ตอนนี้ครอบครัวป้อนไม่มีพ่อและแม่อยู่ แต่พี่รู้ว่าท่านรักป้อนเสมอ ท่านยังรักลูกของท่านมาก ๆ และพี่เองก็รักป้อนมาก ๆ รักมาเสมอ อย่ากังวลเลยนะคนดี ปล่อยให้เวลามันเยียวยาเอง บางทีถ้าป้อนโตกว่านี้ อาจจะเข้าใจมากขึ้นก็ได้"                 ฉันเองก็ไม่ได้รู้ไปหมดทุกอย่างบนโลกหรอกนะ แค่อยากพูดเพื่อปลอบประโลมน้อง                 แค่สรรหาคำพูดดี ๆ มาโน้มน้าวให้น้องเชื่อฟัง และคิดตาม                 เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน และฉันเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง แล้วจะรับมือกับมันอย่างไร                 แต่ฉันไม่อยากให้คนที่ฉันรักต้องคิดมาก และคิดไปในทางที่ผิด ว่าพ่อตนเองเป็นคนไม่ดี ไม่อยากให้ป้อนโทษใครกับเรื่องที่เกิดขึ้น                 ถ้าไม่นับคำพูดที่ฉันรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ครั้งนี้คงเป็นครั้งที่ฉันพูดยาวที่สุดแล้วก็ได้                 ฉันกำมือแน่น ตอนนี้อยากลูบหัว และกอดคนตัวเตี้ยไว้แน่น ๆ เพื่อปลอบประโลมมากที่สุด                 แต่ก็อย่างว่า ฉันทำอะไรไม่ได้เลย                 นอกจากคิดหาคำพูด และแสดงความเป็นห่วง ความจริงใจ และพร้อมจะอยู่เคียงข้างป้อนเสมอออกมาให้ป้อนรับรู้ผ่านเสียงให้ได้มากที่สุด                 "ขอบคุณนะคะ ทั้งที่เค้าเคยทำพี่เสียใจ..."                 "ให้ถือว่ามันเป็นบทเรียนบนเส้นทางรักของเราได้มั้ย"                 ป้อนยังพูดไม่จบดี ฉันก็พูดแทรกขึ้น                 "ฮ่า ๆ พี่อ่านนิยายเยอะปะเนี่ย คำพูดคำจาเหมือนในนิยายเลย"                 "กวน"                 เฮ้อ                 ว่าจะซึ้งสักหน่อย ตบมุกได้ดีเยี่ยมมากน้องป้อน ตบจนคว่ำเลย                 "เค้าจะไปเรียนโรงเรียนข้าง ๆ กันกับโรงเรียนพี่นะ"                 โรงเรียนที่ป้อนว่า คือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาประจำภาค มีแค่ ม.4 - 6 เท่านั้น                 และนักเรียนก็มาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด และต่างประเทศก็มี                 เป็นโรงเรียนที่อยู่ติดกันกับโรงเรียนฉันไม่เกิน 50 เมตรด้วยซ้ำ                 ความจริงพื้นที่ตรงนั้น ก็เป็นที่ดินของโรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่นี่แหละ แต่ขายไปเพราะทางกระทรวงศึกษาธิการ อยากตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาประจำภาคไว้ตรงนั้น                 เพราะพื้นที่เหมาะสมอย่างมาก ติดกับถนนสายหลัก ไปมาสะดวกสบาย มีรถประจำทาง รถบัสผ่านหลายสาย เรียกได้ว่าสะดวกมาก                 แต่ถึงจะมีรถหลายสายผ่าน ก็ไม่แออัดเหมือนในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นต่างจังหวัด                 "บ้านเราใกล้หรอ"                 "ยี่สิบกว่ากิโล ใกล้อยู่มั้ง แต่เค้าว่าจะนอนหอ"                 "อย่าลืมถามแม่ด้วยนะ ว่าให้เรียนมั้ย"                 "แม่แล้วแต่เค้าอยู่แล้ว"                 "งั้นก็สอบให้ได้นะ เป็นกำลังใจให้"                 "ถ้าเค้าสอบติด พี่เป็นแฟนกับเค้านะ"                 "ถ้าไม่ติดล่ะ"                 "เค้าก็ต้องเป็นแฟนพี่"                 เหลี่ยมจัด...                 "อย่าเพิ่งตั้งเงื่อนไขอะไรเลย พี่ทำบ่อย และพังบ่อย"                 "นี่ใคร นี่ป้อนไงไม่ใช่พี่มาศ"                 ยอกย้อนเก่ง...                 "ไว้ค่อยว่ากันเรื่องนี้เนอะ สอบให้ติดก่อน"                 "เตรียมตัวไว้เลยนะจุฑามาศ"                 มั่นใจเกินปาย...                 ฉันจะรอ วันที่ได้พบกับน้องอีกครั้ง และครั้งนี้ ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้ป้อนหลุดมือไปเป็นอันขาด                 การที่ป้อนโทร.มาครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันนานเกินสองชั่วโมง                 เราพูดคุยกันเรื่องเรียน                 เรื่องครอบครัว                 ชีวิตของป้อน                 ชีวิตของฉัน                 เรื่องของเรา                 เรื่องที่เรียน                 เรื่องการเรียน                 เรื่องกีฬา                 ความสุขกลับมาอีกครั้ง เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ                 ฉันนอนยิ้ม ยิ้มเหมือนเป็นบ้า                 และกำลังคิดว่าจะทนไม่ไหวแล้ว เมื่อไหร่จะเจอกันสักทีเนี่ย                 ถ้าเราเจอกันฉันจะ                 จะ...                 จะ...                 จะอะไรวะ                 นึกไม่ออกโว้ยยยยยยย                 นึกออกแค่ว่า ตอนนี้ เวลานี้ กำลังมีความสุข                 มาก                 มากมาก                 มากมากมาก                 มากมาก มาก มากมาก                 ฮึ่ม... ขึ้น ม.5 ตอนนี้เลยได้มั้ยป้อนจะได้อยู่ ม.4 อยากเจอแล้ว                 คิดถึงจนใจจะขาดแล้วเนี่ย                 แน่นอนว่าฉันเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว                 ให้พูดแบบนี้ต่อหน้าป้อนหรอ ฝันไปเถอะ ก็คนมันเขินอะนะ น่ารักขนาดนั้น แค่เข้าใกล้ ใจก็เหลวละลายไปครึ่งนึงแล้ว                 นี่แหละ 'มาศจอมขี้ขลาด'                 ฉายานี้ฉันเป็นคนตั้งให้ตัวเอง                 เป็นไง...เจ๋งปะล่ะ                 ภูมิใจสุด ๆ เลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD