มัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษาที่ 2

3405 Words
                  ฉันคงมีอะไรสักอย่างที่เด่นกว่าเพื่อนคนอื่น                 ครูถึงชอบมองเห็นความสามารถที่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองมีอยู่                 ฉันไม่ค่อยยกมือตอบคำถาม...สักวิชา                 เวลาเรียนฉันจะนั่งเงียบ ๆ นั่งอยู่หลังห้อง บางครั้งก็วาดรูปเล่น         ขีดเขียนสมุดจนลายตาไปหมด                 หรือบางครั้ง ก็เขียนคำว่า 'ป้อน' ลงในกระดาษสมุดอย่างไม่รู้เบื่อจนเต็มหน้ากระดาษ                 จนกลายเป็นว่า ฉันเหมือนเด็กเกเร ที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่เข้าเรียน                 ฉันได้ยินนะ                 ได้ยินที่ครูพูด                 ได้ยินที่ครูสอน                 และจำมันได้ดีด้วย เพราะเวลาฉันเงียบ และวาดรูปเล่น หรือทำอะไรเรื่อยเปื่อยไปคนเดียว มันเหมือนฉันกำลังทำสมาธิ จึงได้ยินครูชัดเจน และจดจำมันได้ดีทุกอย่าง                 เพราะการสอนของครู ส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายมากกว่า                 ครูสังคมฯ เลือกฉันไปติววิชากฎหมาย และรุ่นพี่ ม.6 อีกสองคน เป็นคนเดิมที่เคยไปแข่งขันมาแล้ว ครูเลือกฉันมาเพิ่ม เพื่อที่จะไปแข่งขันตอบปัญหาทางกฎหมายกับโรงเรียนมัธยมทั่วทั้งจังหวัด                 ฉัน...อีกแล้วหรอ                 ทุกเย็นฉันต้องหยุดซ้อมฟุตบอลก่อนชั่วคราว แล้วไปติววิชากฎหมายแทน                 ครูจะเป็นคนติวให้ โดยการติวเป็นข้อสอบ คือ ครูจะอ่านแล้วให้พวกฉันตอบว่าข้อไหนถูกต้อง พร้อมบอกเหตุผลด้วย                 แปลกแฮะ ฉันตอบได้เกินครึ่ง และให้เหตุผลถูกต้อง                 ครูให้หนังสือกลับบ้านไปอ่าน เล่มเท่ารถสิบล้อแน่ะ จะอ่านยังไงให้ไหวเนี่ย                 แต่ฉันก็อ่าน เพราะเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีเยี่ยม                 ฉันคิดว่าเหตุผลที่แม่ไม่เคยด่าที่ฉันเล่นกีฬา เพราะแบบนี้แหละมั้ง ฉันไม่ทิ้งการเรียน ไม่เลือกเอาแค่ทางใดทางหนึ่ง                 ใครบอกว่าทำหลายอย่างพร้อมกันมันจะออกมาไม่ดี                 ฉันว่า มันขึ้นอยู่กับเรามากกว่า ว่ามีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำอยู่มากน้อยเพียงใด                 "พรุ่งนี้พี่แข่งแล้วนะ"                 "จำได้ยังคะ"                 "ระดับมาศ ชิว"                 นี่แน่ะ ขอขี้คุยสักหน่อย                 "งั้นมาติวกัน"                 "จัดมาเลยน้อง"                 "ถ้าเค้านอกใจแฟน มีโทษยังไงบ้างคะ"                 "ประหารชีวิต"                 "โห...โหดจังเลย"                 "ประหารชีวิตตัวเอง พี่คงทนเห็นเรารักคนอื่นไม่ไหว"                 "แหวะ เลี่ยน"                 เราหัวเราะพร้อมกันด้วยความขบขัน                 เป็นประจำทุกวันที่หลังจากติวกับครูเสร็จ ฉันก็จะติวกับน้อง โดยการไปที่หอป้อน เอาหนังสือไปไว้ที่นั่น แล้วตอนเช้าก็ไปเอามาใหม่                 หาเรื่องอยากเจอเฉย ๆ นี่แหละ                 เพราะจะให้คุณครูจำเป็นติวให้ต่อ                 บางครั้งฉันก็โทร.ไปหาป้อน เราติวกันทุกคืน ป้อนเป็นคนถาม ส่วนฉันเป็นคนตอบ และตอบถูกตลอด                 ฉันอ่าน จนจำได้หมดแล้ว ว่าเรื่องอะไรอยู่หน้าไหนบ้าง                   วันแข่งขัน                 มีนักเรียนทั่วทั้งจังหวัด ประมาณยี่สิบกว่าโรงเรียน ที่ส่งนักเรียนมาแข่งขันรายการนี้                 เราแข่งกันที่ศาลจังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอที่โรงเรียนฉันอยู่ และห่างจากโรงเรียนประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น                 อะแฮ่ม...                 เจ้าบ้านต้องชนะ                 แน่นอนว่าโรงเรียนป้อนก็เจ้าบ้านเหมือนกัน                 เป้าหมายที่ฉันตั้งไว้ คือชนะโรงเรียนป้อน เพราะได้ข่าวมาว่า เขาเป็นแชมป์เก่า                 รายการนี้คัดที่ 1 - 3 ไปแข่งต่อที่ศาลเยาวชน ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด เป็นการแข่งขันระดับภาค                 มีเงินรางวัลให้ด้วยนะ                 ที่หนึ่ง สามพันบาท                 ที่สอง สองพันบาท                 ที่สาม หนึ่งพันบาท                 เราแข่งขันและชนะเลิศ คะแนนของลำดับที่หนึ่ง ห่างจากลำดับที่สองและสามไปเกือบครึ่ง                 ฉันภูมิใจที่อย่างน้อยก็ล้มแชมป์ได้                 ครูให้เราสามคนแบ่งเงินที่ได้จากการเป็นที่ 1 กันคนละหนึ่งพันบาท                 ฉันไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี แน่นอนฉันปรึกษาป้อน                 "พี่จะเอาเงินไปทำอะไรดี"                 "ให้แม่สิ"                 มันแน่อยู่แล้วว่าฉันจะให้แม่ แต่อยากให้เป็นสิ่งของมากกว่า                 "เอ้อ วันนั้นพี่พาแม่ไปตลาด เห็นแม่อยากได้ผ้าซิ่น สวยมาก แต่มันตั้งเจ็ดร้อย"                 "พี่ก็ไปซื้อสิ มีเงินตั้งหนึ่งพัน รีบเลยนะ พรุ่งนี้ไปเลย เดี๋ยวมีคนมาซื้อไปก่อน"                 "ไปกับพี่หน่อยดิ"                 นั่นไง หาเรื่องอยู่ด้วยกันเก่ง                 "เค้าเรียนพิเศษเสร็จประมาณห้าโมงครึ่ง รอเค้าได้มั้ย"                 "ได้แน่นอน"                   เฮ้อ...                 ฉันเบื่อระบบการศึกษา                 เคยได้ยินเพื่อนของเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกันกับป้อนเล่าให้ฟัง ว่าที่โรงเรียนนั้น เวลาครูสอนจะสอนแบบสุกเอาเผากิน                 ไม่ให้ความรู้นักเรียนหมด กั๊กไว้ตลอด เพราะเอาไว้สอนเฉพาะคนที่เรียนพิเศษ ครูอยากมีรายได้พิเศษจากการสอนพิเศษ                 พอนักเรียนไม่เข้าใจ ครูก็อ้างแต่ว่านักเรียนไม่เรียนพิเศษ โฆษณาชักจูงให้นักเรียนไปเรียนกับตนเอง                 ถ้าใครเรียนพิเศษจะได้ความรู้ที่เข้มข้น และครูจะให้เกรดสี่ไว้รอในช่องกรอกคะแนนเลย                 แต่กับคนที่ไม่ได้เรียน ทำแทบตาย ยังไงก็ได้แค่เกรดสาม                 และเพื่ออนาคตของตนเอง ทุกคนก็ต้องจ่ายเงิน เพื่อซื้อเอาเกรด ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่ครูต้องการทำธุรกิจ       การศึกษาไง โคตรเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบนักเรียนมาก ๆ ทั้งที่ความจริงก็สอนในห้องเรียนให้นักเรียนรู้แจ้งได้แต่ก็ไม่สอน                 จะไม่เรียนพิเศษก็ได้ อ่านเอง ทำความเข้าใจเอง หรือโซเชียลมีให้ศึกษาเยอะแยะ เข้าใจดีกว่าให้คนอื่นมาสอนอีก                 แต่ไม่ได้ เก่งก็จริง แต่ประเทศนี้เชิดชูเกรด กราบไหว้เกรด บูชาเกรดยิ่งกว่าสิ่งใด                 เกรด...คือตัวชี้วัดระดับการศึกษาของประเทศนี้ ว่าใครเก่ง ไม่เก่ง และเกรดของโรงเรียนน้องป้อนมันก็ขึ้นอยู่ปลายปากกาของครู ฉะนั้นเรียนพิเศษสิแล้วคุณจะได้เกรดสี่                  ต่อให้คุณมีความรู้บางอย่างครบถ้วนแค่ไหน คุณก็ไม่ดีเท่ากับคนเกรดเยอะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่างหรอก                 ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันนะ                 ไม่ห่วงเด็กบ้างเลยหรือไง                 เห็นการศึกษาเป็นธุรกิจกันหมดแล้ว                 ฉันเกลียด...ไม่อยากดำเนินชีวิตอยู่กับอาชีพนี้                 อาชีพครู                 เพราะกลัวว่าตนเองจะเป็นแบบนั้น แบบที่ทำให้คนอื่นเกลียด หรือไม่พอใจ หรือมากที่สุดก็คือฉันกลัวว่าจะทำให้คนอื่นมีปมด้อยยังไงล่ะ                 แต่ป้อนต้องเรียนพิเศษ เพื่ออนาคตของตัวเอง ฉันพยายามเข้าใจ                   ฉันซื้อผ้าซิ่นผืนนั้นให้แม่จริง ๆ และแม่ก็ยิ้ม ไม่มีคำชม แต่ฉันรู้ว่าแม่ภูมิใจในตัวฉันแค่ไหน                 ฉันค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นอัยการ และฝักใฝ่ความรู้ในเรื่องนี้ตลอดมา                 วันว่าง ก็พยายามอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนความรู้                 โรงเรียนเราเดินทางไปแข่งที่ศาลเยาวชน มีร้อยกว่าโรงเรียน ถ้าชนะ จะได้ไประดับประเทศ                 คราวนี้คัดเลือกเอาแค่ห้าโรงเรียนเท่านั้น เราได้ที่เจ็ด ก็ดี ประสบการณ์ล้ำค่า                 แต่ฉันไม่เคยบอกแม่ ว่าฉันอยากเป็นอะไร หรือจบ ม.6 แล้วอยากเรียนอะไร                 "พรุ่งนี้พี่แข่งกับโรงเรียนเรา"                 "โรงเรียนเค้าชนะแน่"                 "มาเชียร์หน่อยดิ"                 "กี่โมงคะ"                 "บ่ายสาม"                 "เดี๋ยวถ้าไปได้เค้าจะไป"                   งานแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนเกิดขึ้นอีกครั้ง                 ฉันชนะมาตลอด และวันพรุ่งนี้จะชิงชนะเลิศกับทีมจากโรงเรียนของน้องป้อน                 ไม่รู้ว่าจะสู้ไหวมั้ยนะ เพราะเด็กเตรียมฯ มีแต่คนสูง ๆ ตัวใหญ่ ๆ กระแทกแต่ละทีทีมฉันคงกระเด็นกระดอน                 "แข่งเสร็จไปเดินเล่นกัน"                 "ไม่เอา วันนี้ไปตลาดดีกว่า มีตลาดสี่ภาคมาที่ที่ว่าการอำเภออะ"                 "โอเค เดี๋ยวพาไป"                 แหงล่ะสิ                 ฉันพาป้อนไปไหนก็ได้ เพราะมีรถส่วนตัวแล้ว                   ก่อนแข่งขันรายการนี้ ทีมเราได้ไปบนบานกับต้นโพธิ์ใหญ่หน้าอาคารมัธยม ว่าถ้าเราชนะ จะเอาของมาเซ่น มาถวาย มีเหล้าหนึ่งขวด แล้วก็ไก่นึ่งหนึ่งตัว                 ถึงแม้ว่าบางคนอาจมองว่างมงาย แต่มันถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้ผู้เล่นฮึกเหิม                 ยกตัวอย่างเช่นตัวฉันเป็นต้น ไม่รู้ว่าไปโดนตัวไหนมาถึงได้ดีดขนาดนี้                   ถึงเวลาแข่งขัน                 ปีนี้โรงเรียนฉันเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน                 วันนี้ฝนฟ้าไม่เป็นใจเลย ตกลงมาก่อนเราแข่งทำให้สนามเปียกไม่น่าเล่นเลยสักนิด                 แต่เพื่อศักดิ์ศรี เราต้องเล่นให้ชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่างโรงเรียนข้าง ๆ ให้ได้                 และก็เป็นไปตามคาด ทีมฉันสะบักสะบอม แล้วก็ส่วนใหญ่ จะเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่า                 แต่ฉันไม่ยอมให้ลูกกลม ๆ มันผ่านเข้าไปในประตูได้หรอกนะ เก็บได้ทุกเม็ด                 รู้สึกมีแรงผลักดันให้สู้สุดใจ                 อาจเป็นเพราะวันนี้ชิงชนะเลิศ                 หรือเป็นเพราะเรื่องของความเชื่อก็ไม่รู้ ที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้                   ผลการแข่งขันจบลงที่การเสมอ 0 ประตูต่อ 0                 ต้องยิงจุดโทษเท่านั้น                 โค้ชของแต่ละทีม ต้องเลือกตัวเด็ด ๆ ที่ตัวเองคิดว่ามีความนิ่งพอและสามารถยิงได้                 ทีมฉัน มีฉันเป็นหนึ่งในห้าคนนั้นด้วย                 ฉัน...                 อีกแล้วหรอ...                 ทีมคู่แข่งได้เตะก่อน                 ฉันตื่นเต้น กดดัน เพราะคนที่ชี้ชะตาว่าทีมของเราจะชนะหรือไม่ชนะนั้น คือฉันเอง                 เหมือนเป็นศึกดวลกันระหว่างผู้รักษาประตู                 เอาเว่ย!...                 ฉันต้องทำมันให้ดี เต็มที่ และทุ่มเทมากที่สุด                 เพราะแพ้ไม่ได้ เสียชื่อเจ้าภาพหมด                 ก่อนจะเข้าประจำตำแหน่ง เพื่อป้องกันประตูจากลูกเตะของทีมตรงข้าม                 ฉันจะเดินไปไหว้เสาทั้งสองข้าง เพื่อเรียกความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับตัวเอง                 เป็นเรื่องน่าแปลก                 หรือความบังเอิญก็ไม่รู้                 ที่ทีมตรงข้ามเตะออกนอกกรอบประตูถึงสามคน                 ฉันเซฟได้หนึ่งลูก                 ทีมเราเตะเข้าไปแล้วหนึ่งโดยฉันเอง เคยมีประสบการณ์แล้ว ตอนกีฬาสี ม.ต้น ฉันเลยไม่เตะไปใกล้ตัวผู้รักษาประตูอีก เลือกที่ว่างด้านข้างเพื่อให้ผู้รักษาประตูตามเซฟลูกบอลได้ยากแทน และแล้วฉันก็เตะเข้าไปและเป็นประตูในที่สุด                 โป๊ะเช๊ะ!                 ฉันยิงลูกขึ้นนำให้ทีมได้แล้ว                 และต่อมาทีมตรงข้ามก็ยิงเข้า ฉันเซฟไม่ได้เพราะเขายิงห่างจากฉันเกินไป พุ่งเซฟไม่ทัน                 ลูกสุดท้าย ถ้าเพื่อนฉันยิงเข้า เราจะได้แชมป์ เพราะเป็นคนสุดท้ายแล้ว                 แต่หากยิงไม่เข้า แต่ละทีมจะได้เลือกคนมายิงใหม่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาผู้ชนะได้                 ฉันยืนอยู่ตรงเส้นหลัง มองเห็นตรงประตูชัดเจน                 ปี๊ดดดดดดด                 เสียงนกหวีดดังก้อง                 เพื่อนฉันวิ่งเข้ามาเตะบอลด้วยท่วงท่าที่มั่นคง                 บอลลอยโด่ง                 ชนคาน...                 แต่...                 เป็นคานด้านล่าง บอลตกข้ามเส้นลงมาในประตู                 เป็นประตู...แต่กรรมการคนแรกมองไม่เห็น เพราะยืนอยู่หลังคนเตะจึงมองไม่ถนัด                 และให้สัญญาณว่าไม่เข้า                 แต่...                 กรรมการกำกับเส้นมองเห็นชัดเจน เพราะยืนอยู่จุดเดียวกันกับฉัน                 กรรมการกำกับเส้นวิ่งเข้าไปคุยกับกรรมการผู้ตัดสินที่อยู่ในสนาม และอธิบายว่าบอลตกข้ามเส้นและเข้าประตูไปแล้ว                 ผู้ตัดสินเป่านกหวีด และให้สัญญาณว่าเป็นประตู ทีมฉันชนะ                 แต่ดราม่าก็เกิด                 เพราะทีมโรงเรียนคู่แข่ง บอกว่าโรงเรียนฉันโกง ซื้อกรรมการ                 แพ้แล้วพาลว่ะ                   พอเคารพกรรมการและเพื่อนคู่แข่งเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินออกไปนอกสนาม                 เห็นป้อนยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น                 ฉันยิ้มกลับ เดินเข้าไปหา                 จะว่าไปก่อนแข่งฉันก็มองหาป้อนอยู่นะ ว่าจะมาเชียร์ฉันมั้ย                 แต่ก็ไม่เจอ                 และพอเกมเริ่ม ฉันก็ไม่ได้สนใจเลย ว่าใครจะมาใครจะไป                 เพราะโดนบุกหนัก และมีสมาธิกับเกมมากกว่าจะสนใจสิ่งรอบตัว                 "บอกแล้วว่าอย่ากินมูมมาม"                 ป้อนหยิบเศษหญ้าออกจากหน้าฉัน                 นี่โดนหลอกด่าอยู่งั้นหรอ                 ฉันยกมือขึ้นลูบหัวป้อน ยิ้ม และหยิกแก้มเบา ๆ เป็นการลงโทษที่กล้าหลอกด่าฉัน                 "ไปเดินตลาดช้าหน่อยนะ นวดให้ก่อน ปวดขามาก"                 "โอ๊ย เบา เบา ๆ"                 "เจ็บตรงไหนเนี่ย เค้าไม่เห็นเจ็บ"                 "ก็เราไม่ได้โดนถีบหนิ"                 "พี่ก็จ๊าบเกินไป วิ่งชนเหมือนกับคู่แข่งนุ่มนิ่มเป็นมาชเมโลงั้นแหละ"                 "ดูเปรียบเข้า"                 "ก็มันจริง"                 "โอ๊ย"                 "เจ็บตรงนี้หรอคะ "                 ป้อนกำข้อเท้าฉันไว้หลวม ๆ                 เป็นแบบนี้ทุกวันที่หลังจากซ้อมแล้ว ฉันจะหาข้ออ้างมาที่ห้องป้อนเป็นประจำ                 โดยการเอายานวด และสารพัดยาทั้งหลายแหล่มาไว้ที่นี่                 คนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬากลับมียาอยู่เต็มห้อง                 หลังซ้อมเสร็จ ฉันมานวดที่ห้องป้อนเป็นประจำ                 แค่นวดนะ ไม่มีนาบ อย่าคิดลึกกันล่ะ                 อย่างเช่นวันนี้ที่พอแข่งเสร็จ แทนที่เราจะไปตลาดตามที่นัดกันไว้ตั้งแต่ทีแรก แต่ฉันก็อยากมาที่นี่ก่อน                 ก็เปื้อนขี้โคลนขนาดนั้นใครจะไปกล้าเดินกันล่ะ                 วันนี้เป็นวันศุกร์ และเพื่อนป้อนกลับบ้านไปแล้ว ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าทางสะดวก                 "พี่ใส่ชุดเค้าก่อนมั้ย อาบน้ำเถอะเปื้อนขนาดนี้"                 "พี่เอาชุดมาเปลี่ยน"                 "นี่วางแผนไว้แล้วหรอ"                 "วาง เวิง อะไรกัน พี่เอามาเปลี่ยนหลังแข่งเสร็จต่างหาก"                 "งั้นไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวเค้ารอ"                 ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมเสื้อผ้าครบชุด และเอาผ้าเช็ดตัวโพกหัวไว้ เพราะรู้สึกเหนียวหัวจะแย่แล้ว เลยสระผมตอนนี้ซะเลย                 "ไม่อาบหรอเรา"                 "ไปชุดนี้แหละ ถ้าอาบตอนนี้ กลับมาก็ต้องอาบใหม่อยู่ดี"                 "เช็ดผมให้แฟนหน่อย"                 ฉันพูดน้ำเสียงอ้อน ๆ ให้น้องเห็นใจและมาเช็ดผมให้                 "เป่าดีกว่าเถอะ เร็วกว่ากันเยอะ"                 "เสียงดัง"                 "บ่น"                 อะ สุดท้ายก็ต้องยอม                 ฉันโดนเครื่องใช้ไฟฟ้าสีดำหน้าตาประหลาด มีท่อยาว ๆ และเป่าลมได้ เสียงดังด้วย จ่ออยู่ที่หัวนานหลายนาที                 และพอผมฉันเริ่มแห้ง ป้อนก็ปิดเครื่องไว้                 หูฉันตอนนี้อื้อไปแล้วล่ะ                 "เสร็จแล้วค่ะ"                 "มานั่งนี่ก่อนมา"                 ฉันตบต้นขาตัวเองเบา ๆ                 ป้อนทำตามอย่างว่าง่าย นั่งลงบนตักของฉัน ยกมือขึ้นลูบแก้มฉันอย่างนุ่มนวล ไม่เคยหวานแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ พอทำแล้วก็รู้สึกเขินเหมือนกัน                 "หายเจ็บรึยังคะ"                 "ดีขึ้นแล้ว"                 "งั้นไปตลาดกัน เดี๋ยวค่ำก่อน"                 ความจริงอยากบอกป้อนว่าวันนี้กลับค่ำได้ เพราะก่อนออกจากบ้านบอกแม่ไว้แล้ว ว่าวันนี้น่าจะกลับค่ำ                 ป้อนกำลังลุก แต่ฉันล็อกเอวคนบนตักไว้ก่อน จากนั้นก็จงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ                 ตั้งใจจ้องตา ให้ป้อนรู้ว่าฉันต้องการอะไร                 ป้อนอมยิ้ม แหงนเงยใบหน้าขึ้น เพื่อเปิดทางให้ฉันทำตามความตั้งใจได้ถนัด                 ฉันจูบ                 เก่งขึ้น                 ราบรื่นขึ้น                 ความรู้สึกตอนได้จูบคือหวานละมุนไปหมด                 จูบจนพอใจ จึงถอนจูบออก กอดคนบนตักไว้และกระซิบชมคนตัวเล็กข้างหูเบา ๆ อย่างเจ้าเล่ห์                 "เห็นมั้ย จูบบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ชินเอง"                 ป้อนทุบไหล่ฉันไปทีนึงแต่ไม่เจ็บหรอกนะ การทุบของป้อนเรียกรอยยิ้มจากฉันได้ดีมาก ๆ                 เขินอะดิน้องป้อน น่ารักเกินไปแล้วนะ                 เราเดินเล่นอยู่ในตลาดสักพักก็หาที่นั่ง และกินข้าวกัน                 ฉันตกลงกับน้องว่า จะกินข้าวที่นี่เลย เพราะถ้าซื้อกลับไปกินที่หออีก เดี๋ยวจะค่ำ และฉันอาจได้กลับบ้านช้า                 "บอกเรื่องของเรากับแม่ดีมั้ย"                 ป้อนเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมามองฉันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง                 "คิดดีแล้วใช่มั้ยคะ"                 "ดีแล้ว แต่ก็กลัว"                 "เค้าว่าถ้าเราบอกแม่พร้อมกัน เราสองคนอาจเจ็บปวดพร้อมกัน แล้วใครจะรักษาความรู้สึกของใคร ถ้าหากว่าต่างฝ่ายต่างเจ็บ"                 คราวนี้เป็นตาฉันบ้างที่วางช้อน                 ป้อนมีความคิดที่รอบคอบเสมอ เรื่องนี้คงเป็นปัญหากวนใจอยู่สินะ                 "บอกใครก่อนดี แม่พี่ หรือแม่เรา"                 "เค้าว่าแม่เค้าคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่แล้วมั้ง เพราะเค้าเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน"                 หึ...                 พูดถึงคนเก่า                 มาศไม่เจ็บหรอก แต่ระคายเคืองผิวหนังตรงหัวใจเท่านั้น เพราะภาพวันไปเลือกเสื้อกีฬาลอยเข้ามาในหัว                 อยากลองงัดกันดูสักตั้ง มีสิทธิ์อะไรมามองคนอื่นด้วยสายตาหยามเหยียดขนาดนั้น ตัวเองตกมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าหรือผุดขึ้นมาจากนรกล่ะ                 "งั้นบอกแม่พี่ก่อน"                 "เค้าอยู่ข้างพี่เสมอนะ และรักพี่เสมอ"                 "เหมือนแช่งเลย"                 "บ้า มาศอะคิดมาก"                 ฉันรู้ว่าที่ป้อนพูดแบบนี้ เพราะกำลังให้กำลังใจฉัน และให้กำลังใจตัวเองอยู่                 ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไร ฉันรู้ว่าป้อนพร้อมจะจับมือฉันและก้าวผ่านไปด้วยกันทุกเรื่อง                 ฉันกลับมาส่งป้อนที่หอ ระหว่างทางกลับ น้องกอดเอวฉันไว้หลวม ๆ และฉันก็นำมือข้างที่ไม่ได้บิดคันเร่งมากุมมือน้องไว้อีกที                 เรียกว่าขับรถมือเดียวมาตลอดทาง                 ไม่กลัวตาย แต่กลัวไม่ได้จับมือมากกว่า                 พอถึงหอ ป้อนลงจากรถ ส่งยิ้มหวาน ๆ ให้ฉัน แล้วยื่นหนามาจุ๊บเบา ๆ ตรงปลายคาง                 จุ๊บที่อื่นไม่ได้ เพราะฉันสวมหมวกกันน็อกอยู่                 แสบจริง ๆ เห็นไฟสลัว ๆ หน่อยไม่ได้เลยนะ "กลับบ้านดี ๆ นะคะ อย่าขับเร็ว"                 ฉันถอดหมวกกันน็อกออก วางมันครอบเอาไว้ตรงกระจกรถ ป้อนมองการกระทำของฉันอย่างสงสัย                 และฉันก็ไม่รอให้น้องสงสัยนาน เอื้อมมือไปดึงเอวคอดเข้ามาประชิดตัว กดจูบลงบนปากนุ่ม ๆ หวาน ๆ นั้นเบา ๆ                 เอ๋...                 วันนี้ทำไมปากน้องรสชาติแปลก                 หวาน                 หอม                 นุ่มลิ้น                 ฉันมัวเมา ลุ่มหลงในโพรงปากน้องอยู่นานสองนาน เพราะกำลังสืบหาสาเหตุของจูบรสชาติหวาน และหอมละมุนอยู่                 "พี่ชอบกินชาเขียว จากปากเรา"                 และฉันก็นึกออก หลังกินข้าวเสร็จ เราสั่งน้ำปั่นกัน                 แน่นอนว่าป้อนกินชาเขียว และฉันกินโกโก้                 ชาเขียวก็ไม่เลว แต่ฉันต้องกินจากในปากป้อน ถึงจะดี                 ป้อนหยิกท้องฉันเบา ๆ แล้วเดินดุ๊กดิ๊กขึ้นห้องไปด้วยใบหน้าอมชมพูน้อย ๆ                 อย่าปล่อยคู่รักไว้กับไฟสลัว คำกล่าวนี้ฉันเชื่ออย่างสนิทใจ                 ถึงเวลาที่ฉันจะกลับบ้านแล้วล่ะ และฉันต้องหาทางบอกแม่ในสักวัน                 ฉันไม่รู้ และไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ตราบใดที่แม่ไม่ไล่ให้ฉันไปตาย ทุกอย่างมันก็จะดีเอง                 เพราะถ้าฉันตาย เรื่องราวของฉันกับป้อนก็จะหายไป แต่ถ้าฉันยังอยู่ ฉันจะพิสูจน์ และต่อสู้ให้แม่ได้เห็น ว่าการรักเพศเดียวกันมันก็คือความรักเหมือนกัน มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต่าง ก็คือความคิดไงล่ะ                 ความคิดของคนที่มองว่าเรื่องแบบนี้ มันเป็นแบบไหน                 ดี                 เลว                 บาป                 อยู่ที่คนจะมอง และฉันพร้อมจะรับฟังทุกคำพูด และความคิดเห็นของแม่มาพิจารณา ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คนทั้งโลกเข้าใจในเรื่องของเรา เพราะมันไร้สาระ แต่ฉันเลือกที่จะอธิบายเรื่องของตัวเองให้แม่เข้าใจ เพราะท่านคือคนที่ฉันรักมากที่สุด

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD