1

2999 Words
  ปานทิพย์ก้มมองเนินอกของตัวเอง ที่ถูกดันจนชิดและเบียดกันอยู่ในเดรสสีดำ ล้อแสงระยิบระยับไปทั้งตัว จะขยับก็ต้องระวังระแวงไม่น้อยเพราะเป็นชุดจากห้องเสื้อชื่อดัง กลัวจะขาดไปเสียก่อน แล้วถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้งด้วยความประหม่า “มั่นใจหน่อยยัยปาน น้าบอกแล้วว่าสวยก็ต้องสวยสิ” รัศมีโชติหันหน้ามาบอก แล้วกลับไปทำหน้าที่ขับรถต่อ ปานทิพย์เลยถอนลมหายใจออกมาอีกเฮือก รอบที่เท่าไรแล้วเธอเองก็จำไม่ได้ รถยนต์คันโตพามุ่งหน้าไปยังหน้าโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรุ่นในค่ำคืนนี้ ปานทิพย์เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของน้าเดือน หลานที่ท่านมักบ่นลับหลังเสมอว่าเป็นเสมือนภาระของท่าน เพราะมารดาของปานทิพย์ นำเธอมาฝากที่น้าเดือน ให้ช่วยเลี้ยงดูไปก่อน เพราะท่านจะไปทำงานที่เมืองนอก จากนั้นท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย ยังพอมีดีอยู่บ้าง ที่โอนเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือน แต่ผู้เป็นน้าก็แบ่งออกไปเป็นค่าเหนื่อยมากกว่าครึ่ง เงินที่เหลือเธอต้องทำรายการ ทำบัญชี และมีหลักฐานชัดเจน น้าเดือนจึงจะให้เบิกเอาไปใช้ได้ เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปภายในโรงแรมมีชื่อที่เป็นจุดหมาย ปานทิพย์ที่นิ่งเงียบมาตลอดทาง ก็ให้รู้สึกประหม่าขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก มือของเธอชื้นไปด้วยเหงื่อ แล้วก็เผลอลูบเข้ากับชุด แต่พอนึกได้ว่าชุดที่สวมราคาแพงแสนแพง ก็ผงะ ชะงัก ดึงมือขึ้นอย่างไว สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดอีกที หันไปขอบคุณผู้เป็นน้าแล้วค่อยเปิดประตูลงไป แค่ก้าวแรกที่ส้นเข็มเจ็ดนิ้วไม่ขาดไม่เกินแตะลงพื้น เธอก็พลาดเกือบล้มจนข้อเท้าอาจพลิก คงเพราะเครื่องดื่มที่น้าเดือนยัดเยียดให้ก่อนหน้านี้เป็นแน่ ที่สั่งให้เธอกรอกลงปากไปเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง ก่อนมายังงานเลี้ยงรุ่นคืนนี้ รีบทรงตัวให้กลับมาท่าเดิม ดึงชุดให้เข้าที่เข้าทางอย่างต้องการแก้เขินไปพลาง เพราะตรงนั้นมีคนยืนอยู่ด้วย ลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปด้านในของตัวโรงแรม กำชับสั่งกับตัวเองว่า   มั่นใจ มั่นใจ และมั่นใจ   ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมชื่อดังบนถนนสุขุมวิทถูกจัดให้เข้ากับธีมงานตั้งแต่ประตูทางเข้ายันห้องจัดเลี้ยง ‘Black night party’ ราตรีสีนิลคือชื่อธีมงานเลี้ยงรุ่นในค่ำคืนนี้ ครั้งก่อน ๆ ก็เวียนจัด เธอไปมาแค่ปีแรก ๆ หลัง ๆ มานี้ไม่ได้ไปอีกเลย และครั้งนี้เธอก็จัดมาเต็มที่ เพราะแค่เพียงย่างก้าวเข้างาน สายตาหลายคู่ในนั้นต่างพากันจับจ้องมาที่เธอ จนอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ “แม่เจ้าโว้ย เด็กแว่นหน้าห้องทำไมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้วะ ว่าแต่...น้องสาวมีแฟนหรือยังครับเนี่ย พี่จีบได้ม้า” เป็นจุติที่ส่งเสียงแซวแล้วปราดเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มระรื่นเป็นคนแรก เพื่อนผู้ชายหลาย ๆ คนถึงกับมองเธอปากอ้าตาค้างเลยทีเดียว ทันทีที่ปรากฏกายในลุคใหม่ แบบที่ตัวเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเช่นกัน แล้วจุติก็ยื่นมือออกมาคล้ายรอรับหญิงงามอย่างไรอย่างนั้น เธอจึงยิ้มอย่างผ่อนคลายลง ที่จุติทำ ช่วยให้เธอหายประหม่าไปเล็กน้อย หันมาตื่นเต้นกับการต้อนรับของเขา แล้ววางมือลงบนนั้น ก้าวเดินตามเพื่อนร่วมรุ่นไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ด้านใน พอได้นั่งจุติก็ยิงคำพูดใส่ทันที “ถ้าเจอกันข้างนอก ติไม่กล้าทักปานเลยนะเนี่ย” “ขนาดนั้นเลยหรือติ” ปานทิพย์ท้วงด้วยอาการไม่มั่นใจนิด ๆ แล้วจับ ๆ ปัด ๆ ชายกระโปรงแบบเขิน ๆ หลุดนิสัยอ่อนนุ่มนิ่มออกมาจนได้ พอตั้งสติได้ ก็นิ่งเงียบไปครู่แล้วค่อยส่งยิ้มแบบมาดมั่นออกไป จุติมองเธอด้วยสายตาชื่นชม แล้วยกมือขึ้นเหนือศีรษะคล้ายแสดงตำแหน่งของตัวเองเมื่อเห็นใครอีกคนเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง เป้าหมายของเธอมาแล้ว! ปานทิพย์มองไปยังทางเข้า เขายังคงบุคลิกสุขุม นิ่ง เงียบ แต่ดูดุดันกว่าเก่า อาจเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานที่ได้รับเกินกว่าวัยเบญจเพสของเขาก็เป็นได้ ที่ทำให้ณัฏฐ์เป็นไปในลักษณะนั้น “ดิน ทางนี้” ‘ณัฏฐ์’ หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า ‘ดิน’ เดินตรงมายังโต๊ะที่เธอนั่งเป็นไข่แดงอยู่ ทันทีที่ได้สบสายตาสีดำคมเข้มของเขา ปานทิพย์ก็คล้าย ๆ กับจะถูกสะกดจิตกลาย ๆ ให้เธอสูญเสียความมั่นใจที่พกมาไม่ได้เยอะแยะมากมายเท่าไรนัก หัวใจหญิงสาวเต้นกระหน่ำระรัวเร็วและแรงราวกับวิ่งมาราธอนมาเป็นสิบ ๆ กิโลเมตรเลยทีเดียว “จำได้ไหมดินว่าใคร” จุติถามเขาเป็นคำถามแรกที่ไม่วายต้องวกเข้ามาหาเธอ ปานทิพย์อึ้งไปขณะหนึ่ง ตั้งสติแล้วประดิษฐ์รอยยิ้มท้าทายน้อย ๆ ให้เขา ยิ้มแบบที่ได้รับการฝึกฝนมาหลายเดือน ณัฏฐ์พยักหน้าเพียงนิดแล้วยื่นมือออกไปรับแก้วเครื่องดื่มที่เพื่อนอีกคนส่งให้ ค่อยตอบด้วยกระแสเสียงมั่นคงดูน่าเกรงขามจนปานทิพย์ต้องลอบกลืนน้ำลายเพราะคอแห้งผากด้วยความประหม่า “ปานทิพย์...หรือเปล่า” คำตอบสั้น ๆ เหมือนไม่มั่นใจ แต่แววตาที่มองสบตาเธอดูพราวระยับไม่น้อย แต่ก็เป็นเพียงนิดเดียวเท่านั้น แล้วมันก็มองออกยาก ยากชนิดที่ใครก็จับตามองแทบไม่ทัน คำตอบของณัฏฐ์ทำเอาเจ้าของชื่อยิ้มด้วยความยินดี เธอดีใจที่เขายังจำเธอได้ เพราะสมัยเรียนเธอเป็นพวกเอาแต่เรียน ไม่ชอบทำกิจกรรมใด ๆ เลย ที่สำคัญเธอไม่ใช่คนสวย แล้วก็ไม่เด่นเลยสักนิดในความคิดของตัวเธอเอง แต่ผู้ชายอย่างณัฏฐ์ที่เป็นถึงประธานนักเรียน เป็นกัปตันทีมกีฬาของโรงเรียน แล้วยังเป็นตัวแทนของเขตไปแข่งวิชาการ จนได้เหรียญรางวัลกลับมาทุกครั้ง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรุ่น จนใคร ๆ พากันพูดว่าเขาคงถือตัวน่าดู กลับจำเธอได้ จะไม่ให้ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร “ปานจ๊ะปานจ๋า ติว่าปานเลิกจ้องคุณณัฏฐ์มันเถอะนะ มันไม่โสดแล้วล่ะปาน อีกอย่างคุณณัฏฐ์มันไม่ถูกกับสาวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดแบบปานด้วย...ใช่ไหมวะ” ท้ายประโยคจุติเหมือนจะถามกันท่าว่าคนนี้ข้าจองอะไรประมาณนั้น ณัฏฐ์นิ่งงันไป รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของเขา “ตอนนี้ปานทำอะไร อยู่ที่ไหน แล้ว...สวยขนาดนี้มีแฟนหรือยัง” จุติซักด้วยความอยากรู้ ชนิดที่ดูจริงจังมาก ๆ “โสดจ้ะ งานหรือ ปานไม่มีสังกัดหรอก” ปานทิพย์ตอบปัดเรื่องงาน เธอไม่กล้าตอบ เพราะช่วยงานบัญชีอยู่หลายที่ รวมถึงร้านกาแฟของรัศมีโชติ กับช่วยงานเล็กน้อยที่บริษัทนำเข้าส่งออกของคุณวัฒน์อีกด้วย คุณวัฒน์ที่เป็นบิดาของณัฏฐ์ พ่อลูกสองคนนี้ตัดขาดกันตั้งแต่คนพ่อตัดสินใจเดินออกมาจากครอบครัวเดิม แล้วจดทะเบียนสมรสสร้างครอบครัวใหม่กับรัศมีโชติหรือน้าเดือนของเธอ ปานทิพย์จึงเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องงาน แบบที่ต้องพาดพิงถึงบุคคลที่เป็นบิดาของณัฏฐ์ อีกอย่างคือเธอไม่อยากพูดสะกิดแผลในใจของเขา แล้วแสร้งเปลี่ยนกิริยา ทำตาโตล้อเลียนเขาเปลี่ยนเรื่องไปเสีย “จริงหรือดิน ที่ดินไม่ชอบสาวเปรี้ยวจี๊ดน่ะ ทำไมล่ะ เล่าหน่อยสิ” ถามออกไปด้วยความผิดหวัง เพราะจำได้ว่าสมัยเรียนณัฏฐ์จะควงดาวโรงเรียนที่ทั้งสวยและเปรี้ยว จนเธอมองแกมอิจฉาทุกที แถมก่อนที่จะมีข่าวว่าจะหมั้น เขาก็ยังควงแต่ดาราเปรี้ยวจี๊ดทั้งนั้นเลยนี่นา แล้วทำไมถึงได้เลิกชอบสาวเปรี้ยวจี๊ดขึ้นมาเสียล่ะ แต่ท่าทีนิ่งเงียบของณัฏฐ์ก็เหมือนจะช่วยยืนยันคำตอบว่าจริง และคงเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ เขาถึงไม่ยอมตอบ ทำเอาปานทิพย์ใจเสีย หมดความมาดมั่นในตัวเองไปเลย “ให้สวย เปรี้ยว เฉี่ยวแค่ไหน ดินมันก็ไม่ใจแตกหรอกครับ ขนาดน้องไอวี่ ดาราดังมายืนอ่อยตอนงานเลี้ยงผู้ถือหุ้นรายใหญ่คืนก่อน มันยังยิ้มให้เฉย ๆ เลย เสียดายแทน” เพื่อนในกลุ่มที่เป็นบริษัทลูกของณัฏฐ์ช่วยตอกย้ำอีกคน พร้อมออกปากเล่าอย่างอิจฉา “ไหนเลยจะน่ารักแบบหนูดี ถ้าไม่เรียบร้อยอ่อนหวาน ไอ้ดินมันไม่แลให้เสียสายตาหรอก...ใช่ไหมครับคุณดิน” ณัฏฐ์ยังคงเงียบ ไม่ตอบอะไรเพื่อน เอาแต่ดื่มอย่างเดียว ปานทิพย์มองเก็บรายละเอียดเรื่องของเขาด้วยการเงียบฟังเพื่อนคนอื่น ๆ คุยเช่นกัน แล้วนึกถึงที่ครูฝึกสอนมา เธอแอบพ่นลมหายใจ ทำทีเป็นนั่งเอนหลัง พิงพนัก ก่อนยกขาไขว้ไขว่ห้างจนชายชุดสวยที่สั้นอยู่แล้วถลกสูงขึ้นไปอีก มือของเธอตกแต่งเล็บให้เป็นคอลเล็กชันเดียวกันกับชุดหยิบเครื่องดื่มยกขึ้นจิบ ก่อนถามเขาด้วยท่าทีที่มั่นใจอย่างที่สุด ขัดกับหัวใจที่เอาแต่สั่นไหวราวฟ้ากับเหว “นี่เราไม่เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ยดิน” ‘เจ็ดปี สิบเดือน กับอีกสิบห้าวัน’ ปานทิพย์ตะโกนคำตอบดังก้องอยู่ภายในใจ ใต้ท่าทีที่จงใจคล้ายถามเล่น ไม่ได้สนนัก ว่าเขาจะจำมันได้หรือไม่ แต่ณัฏฐ์มองสบตาเธอด้วยแววตายิ้มได้ ก่อนจะเปล่งเสียงทุ้มนุ่มละมุนหู ตอบกลับมาว่า “เจ็ดปี สิบเดือนกับอีกสิบกว่าวันแล้วไหม” “หูย จำได้ด้วยอะ” ปานทิพย์ร้องออกมาอย่างตกใจ อดใจเต้นโครมครามกับคำตอบของเขาไม่ได้ ย้อนเขาแบบล้อ ๆ แล้วพยายามส่งสายตาท้าทายให้เขาด้วย แต่ณัฏฐ์ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่ครูฝึกบอกเลยสักข้อว่าเขาสนใจเธอ เช่นหูตาแพรวพราว พูดคุยหยอกล้อ หรือถึงเนื้อถึงตัวอะไรเทือกนั้น ณัฏฐ์ไม่ได้แสดงออกแบบนั้นเลยสักนิด ปานทิพย์ยกแก้วค็อกเทลขึ้นดื่มทีละนิด เพื่อให้แอลกอฮอล์ในนั้นสร้างความหน้าหนาเพิ่มให้กับตัวเธอเอง นึกถึงสคริปต์ที่ฝึกฝนมาอย่างดี ค่อยวางแก้วลง แต่ยังคงประคองมันไว้ในอุ้งมือ พร้อมกับโน้มตัวเข้าไปหาเขา จงใจอวดความอวบอิ่มของทรวงอกให้มันล้นออกมาต่อหน้าต่อตาเขาแล้วถามเสียงยั่วนิด ๆ “ท่าทางดินจะรักว่าที่คู่หมั้นน่าดูเลยเนอะ ถามจริง เคยคิดนอกใจบ้างเปล่า” คาดหวังว่าจะได้เห็นสายตาของเขามองลงมาที่ร่องอกอวบ ๆ แต่เปล่าเลย คนโดนยั่วยังคงรักษาระดับสายตาที่มองมา พร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถามเธอ ก่อนจะเบนหน้าไปอีกทางเมื่อมีเพื่อนอีกกลุ่มตะโกนเรียก ปานทิพย์เผลอระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับความคิดที่ว่า งานนี้คงไม่ได้เรื่องแล้วแน่ ๆ ทำไมถึงได้ยากนักนะ แล้วเธอจะจัดการเขาแบบไหนดีล่ะทีนี้   ปานทิพย์ทาบคีย์การ์ดแล้วผลักประตูเข้าไปยังห้องที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเป็นคอนโดมิเนียมสุดหรูของเธอ แกล้งเซหน่อย ๆ ให้คนเดินตามมาช่วยประคับประคอง หลังจากสร้างอุบัติเหตุให้ตัวเอง ด้วยการทำเป็นข้อเท้าพลิก เจ็บขา เดินไม่ไหว ตอนไปดื่มกันต่อที่ผับของจุติ แล้วทำตัวงอแงร่ำร้องจะกลับห้องเอง จุติดื่มหนักไม่น้อยไปกว่าใคร ยกมือ ร้องอาสาจะมาส่งเธอ แต่แล้วก็สะดุดขาโต๊ะจนหน้าคะมำ ณัฏฐ์ผู้ครองสติได้ดีสุดในกลุ่ม เลยลุกขึ้น ดึงจุติให้กลับไปนั่งที่เดิม พร้อมเสนอตัว บอกว่าจะมาส่งเธอที่ห้อง อาการขาเจ็บหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อสามารถพาเขามาถึงในห้องได้ ปานทิพย์เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์ วางกระเป๋าลงแล้วหันไปจัดการเปิดตู้เย็น หยิบอะไรในนั้นออกมาวางที่ชั้น พร้อมกับส่งคำถามถามเขา “ดินดื่มอะไรก่อนไหม โอ๊ย!” แล้วแกล้งส่งเสียงร้องขึ้นมา ณัฏฐ์ที่ยืนนิ่งกลางห้อง รีบตรงมาดูเธอ พอรู้สึกถึงไออุ่นด้านหลัง ปานทิพย์ค่อยหันมาหา พร้อมกับส่งน้ำที่ตระเตรียมไว้อย่างดี กระฉอกหกใส่เสื้อของเขา “อุ๊ย! ขอโทษนะดิน ปานมึน ๆ น่ะ ดินเข้าไปล้างตัวในห้องปานก่อนก็ได้” บอกจบ ชี้มือไปยังห้องนอนด้านใน พอเห็นเขาเดินไปยังทางที่เธอบอก จึงรีบหันกลับมาหยิบผงยาที่เตรียมไว้เปิดออกอย่างระมัดระวัง เทใส่ลงในเครื่องดื่มของเขาทันที พร้อมคะเนปริมาณยาไปด้วย บ่นงึมงำเบา ๆ “ใส่หมดนี่ คงหลับไม่ตื่นยันเที่ยงละมั้ง เอาครึ่งเดียวก็พอ” ยังเทไม่ทันเท่าที่คิดไว้ เสียงณัฏฐ์ร้องเรียกชื่อดังอยู่ในระยะใกล้ ๆ นี่เอง “ปาน” อารามตกใจจึงสะดุ้งลนลาน นึกกังวลกลัวเขาจะเห็น แล้วขยำห่อกระดาษโยนทิ้งแถวนั้นเสีย หันกลับมา ก็พบว่าณัฏฐ์ยืนอยู่ไม่ห่างจากเธอ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า พร้อมกับว่า “ดินกลับก่อนดีกว่า ไม่อยากรบกวนปาน ปานจะได้พักด้วย” ปานทิพย์ทำทีเป็นเกาะขอบโต๊ะ แล้วเดินไปที่ชุดรับแขกพร้อมแก้วในมือ พยักหน้าบอกเขา “ขอบคุณนะที่มาส่ง ดินดื่มน้ำก่อนสิ ค่อยไป” ณัฏฐ์มองเธอนิ่งแล้วยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มแบบที่เป็นมิตรอย่างเมื่อแรกที่พบกันเสียแล้วสิ หรือเธอจะคิดมากไป ณัฏฐ์เดินเข้ามาหา แล้วคว้าแก้วที่เธอส่งให้ จ่อที่ริมฝีปากดื่มน้ำลงไปกว่าครึ่ง ปานทิพย์มองแก้วอย่างลุ้น ๆ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีเสียงดังติ๊ด ๆ ที่ในเคาน์เตอร์ จังหวะที่เธอหันไปมอง ณัฏฐ์ก็หาทางคายของเหลวในปากทิ้งทันที ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเธอ ปานทิพย์เลยไม่รู้ว่าจะจัดการเสียงนั่นอย่างไร ณัฏฐ์เดินผ่านหน้าไปดูและจัดการให้จนเรียบร้อย เธอเห็นเขาเดินไปนั่งที่โซฟา เลยตามไปชวนเขาคุย ไม่ถึงสามประโยคดี ณัฏฐ์ก็คอพับลงบนโซฟาทันที เห็นอย่างนั้นแล้ว ปานทิพย์เข้ามาเขย่าแขนเขาเบา ๆ พร้อมเรียกชื่อเขาไปด้วย “ดิน ดิน” แต่เจ้าของชื่อยังนิ่งเงียบ คล้ายกับคนหมดสติด้วยฤทธิ์ยาไปแล้วจริง ๆ เธอจึงพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก อดบ่นไม่ได้ “นึกว่าจะไม่ได้เรื่องแล้วนะเนี่ย” ปานทิพย์ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ว่าจะต้องทำอะไรต่อแล้วจึงตั้งสติเรียบเรียงขั้นตอนโดยการเข้าไปพยุงร่างหนาหนักอย่างทุลักทุเลตรงไปยังห้องที่มีเตียงนอนขนาดใหญ่ข้างในนั้นแล้วพาณัฏฐ์ลงนอน ก่อนจะนั่งหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เหงื่อที่ซึมออกมาแถวไรผมเริ่มแห้งเมื่อเจอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดทิ้งเอาไว้ มองร่างหนาหนักบนเตียงด้วยสายตาขอลุแก่โทษ ไม่นึกว่าจะง่ายถึงเพียงนี้ เมื่อนึกถึงข้อตกลงที่ยอมทำเรื่องนี้แล้ว จึงเริ่มลงมืออย่างไม่มีทางเลี่ยง ปลายนิ้วของเธอเย็นเฉียบราวกับมีน้ำแข็งฉาบเกาะอยู่ เมื่อเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา แล้วชมตัวเองในใจเมื่อทำจนมาถึงเม็ดสุดท้ายได้ ต่อให้ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ๆ เลยเถอะ สายตาของเธออดมองที่ท่อนล่างของเขาแล้วบ่นเบา ๆ อีกครั้งกับตัวเองไม่ได้ว่า “ไม่ต้องถอดหมดหรอกมั้ง เดี๋ยวใช้มุมกล้องเอา” บอกตัวเองไปแบบนั้นแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อปลดเปลื้องเดรสบนตัวอย่างอิดออด สุดท้ายก็เหลือเพียงชุดชั้นใน แล้วคว้าชุดคลุมสวมทับโดยไว เหมือนกลัวใครเห็น ทั้งที่คนเดียวที่จะเห็นได้ หลับไร้สติบนเตียงไปแล้ว ปานทิพย์เดินมามองเขาที่ปลายเตียง ด้วยแข้งขาสั่น ๆ คิดวกวนไปมาชั่งใจว่าควรเลิกทำเช่นนี้ดีหรือไม่ หากณัฏฐ์คืนสติขึ้นมา เขาต้องเกลียด รังเกียจ สาปแช่งเธอแน่ ๆ แต่แล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด บอกตัวเองว่าต้องทำ ค่อยขึ้นไปนอนเคียงเขาบนเตียงนอน จัดท่าให้ดูแนบแน่นกันมากที่สุดเท่าที่เธอจะกล้าทำ ก่อนลงมือถ่ายภาพ ที่คิดว่าน่าจะพอใช้ได้ จึงวางโทรศัพท์มือถือลง พ่นลมหายใจออกปากอย่างโล่งอก มองคนที่อยู่ในใจมาตลอดด้วยสายตาซุกซน อดใจไม่ไหวหยิกแก้มที่มีไรหนวดขึ้นเล็กน้อยด้วยความมันเขี้ยว “เรียบร้อยสักที” ค่อยหันหลังจะเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบ เมื่ออยู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังแหวกความเงียบภายในห้องขึ้น “เรียบร้อยแน่หรือปานทิพย์”      
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD