ตอนที่ 2... วิศวกรคนใหม่

4047 Words
"ออม! วันนี้มาแต่เช้าเชียว" เมทินีทักทายเมื่อเห็นอัญญานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน "สวัสดีค่ะพี่เมย์ ออมมาเตรียมตัวสอนวิศวกรที่จะเข้ามาทำงานวันนี้วันแรกค่ะ เมื่อคืนเผลอหลับ เลยยังไม่ได้ทบทวนอะไรเลย กลัวสอนผิดแล้วจะโดนหักเงินเดือน" อัญญาพูดไปก็ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารเพื่อทบทวนไปด้วย "เวอร์ตลอดน้องพี่ จะเก็บเงินไปไว้ขอผู้ชายที่ไหนจ๊ะ" "กำลังเลือกอยู่ค่ะว่าจะขอใครดี" "มีให้เลือกเยอะว่างั้น?" "ใช่ค่ะ ณเดชน์ มาริโอ้ บอย ปกรณ์ หมาก ปริญ เลือกไม่ถูกเลยค่ะ" "งั้นพี่ว่าไปกินข้าวเช้ากันไหม สมองเราจะได้ทำงานอย่างมีสติ" "ไปค่ะ ยังไม่ได้กินเหมือนกัน” “ไปกัน เดี๋ยวไปช้าของอร่อยจะหมด” “จัดไปค่ะ” อัญญาวางมือจากการทบทวนงาน ถูกอย่างที่พี่เมย์บอกนั่นแหละ เธอต้องกินเพื่อให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่เกี่ยวกับการเรียกสติเรื่องมโนถึงผู้ชายหน้าตาดีหรอก "คุยอะไรกัน มีเรื่องตื่นเต้นเหรอ" เมทินีหยุดทักทายลูกน้องที่จับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าโรงอาหารของโรงงาน "หัวหน้าเห็นวิศวกรมาใหม่หรือยังคะ หนูบอกเลยนะคะ ว่าตั้งแต่หนูทำงานที่นี่มา 3 ปี คนนี้หล่อที่สุดแล้วค่ะ อยากให้เครื่องจักรพังบ่อยๆ เวลาเค้ามาซ่อมเครื่องจะได้มีกำลังใจทำงาน" "ถ้ามันพังบ่อย พวกเราก็ได้อู้งานน่ะสิ พี่รู้ทันนะ แล้ววิศวกรเค้าก็ไม่ได้ลงมือซ่อมเองที่ไหน อย่างมากก็แค่มายืนคุม คนซ่อมจริงๆ คือช่างฝ่ายซ่อมบำรุง” “หล่อขนาดนั้นเลยเหรอพี่ๆ” ไม่มีใครสนใจเมทินี รวมทั้งอัญญาเองก็ด้วย “หล่อมากค่ะคุณออม” “ไปๆ แยกย้ายค่ะ เตรียมตัวทำงานกันได้ละ เดี๋ยวพี่กินข้าวแล้วตามไป" เมทินีรีบบอกกับลูกน้องในทีม ก่อนจะหันไปตำหนิอัญญาที่ไม่รู้จักตักเตือนลูกน้องซะเลย "พี่เมย์ว่าหล่อสู้พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ได้ไหมคะ" "นี่ออม เป็นไปกับเค้าด้วยเหรอ" "แหม พี่เมย์กำลังจะมีแฟน พี่เมย์กรี๊ดใครไม่ได้แล้ว แต่ออมยังโสดอยู่ ก็ต้องตื่นเต้นกับคนหล่อบ้าง ถ้าหล่อจริงๆ ออมต้องไม่มีสมาธิอธิบายงานแน่ๆ เลยพี่เมย์" ออมพูดพร้อมกับทำท่าเพ้อฝัน "ตั้งสติ ตั้งสติหน่อย ไป กินข้าวให้อาหารไปเลี้ยงสมอง" "โอเคค่ะ น้องออมจะกินข้าวเยอะๆ จะได้มีสติก่อนเจอคนหล่อ" “หล่อไม่กลัว กลัวจะหล่อไม่จริง” เมทินีพูดปิดท้ายพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของอัญญา นอกเวลางานไม่ต้องซีเรียสหรอก เวลาทำงานเห็นแต่หมูกับผักจนเบื่อ มีเรื่องอะไรให้กระชุ่มกระชวยตอนอยู่ในโรงงานบ้างก็ดี "หมูสับใส่ช่องนี้เลยนะคะ เดี๋ยวเครื่องจะใส่เครื่องปรุงเอง ใส่ตามเวลาที่เครื่องบอกเลยค่ะ" อัญญากำชับลูกน้องซึ่งเป็นทีมงานในการผลิตอาหารแช่แข็ง เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องคอยควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพและปริมาณของวัตถุดิบ การคลุกเคล้าส่วนผสมให้ได้ตามสูตร การใส่อาหารลงในบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการทำให้กลายเป็นอาหารแช่แข็งเพื่อยืดอายุการบริโภคก่อนถึงมือลูกค้าไม่เช่นนั้นโรงงานจะเสียหาย "จ้า หัวหน้า ไม่ต้องห่วง พี่ทำงานตรงนี้มาห้าปีแล้วนะ ย้ำพี่ทุกวันเลย" "ออมก็สั่งตามหน้าที่ค่ะ งานออกมาดี เราจะได้ได้โบนัสเยอะๆ ไงคะ" "จ้า พี่รู้แล้วหัวหน้า" อัญญาไม่ได้อย่างทำตัวเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ หรือทำให้ลูกน้องเบื่อ แต่หากพลาดไปเพียงนิดเดียว กระบวนการผลิตอาจจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด และนั่นหมายความว่าต้องสูญเสียวัตถุดิบทั้งหมดทิ้งไปแกดภทั้งหมดทิ้วไปและยังเสียเวลาอีกด้วย "ค่ะพี่เมย์" อัญญารับสายเมทินีที่โทรศัพท์มาจากห้องทำงานที่ตั้งอยู่ด้านบนของส่วนผลิต "ขึ้นมาที่ห้องทำงานด่วนเลยนะ ฝ่ายบุคคลจะพาวิศวกรคนใหม่มาแนะนำ" "อ๋อ จะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ" อัญญาพูดจบก็หันหลังแล้วเดินก้าวยาวๆ กลับไปที่ห้องทำงาน อยากเจอแล้ว จะหล่อแค่ไหนกันเชียว วิ่งเลยแล้วกัน เผื่อจะได้มีเวลาเช็คความสวยสักหน่อย ตูม! "ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ" อัญญากล่าวขอโทษคนที่เธอวิ่งชนอย่างรู้สึกผิด แต่พอเงยหน้ามาก็ต้องตกใจกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า "คุณ...” "ผมชื่อกฤษ” กฤษนัยเน้นเสียงที่ชื่อของเขาอย่างหนักแน่น ในใจก็โกรธที่ผู้หญิงตรงหน้าไม่ยอมเรียกชื่อเขาสักที ทั้งๆ ที่เธอต้องจำได้อยู่แล้ว กับไอ้แค่เรียกชื่อเขาโดยที่เขาไม่ต้องย้ำ ทำไมทำไม่ได้นะ “ไม่เจอกันวันเดียว คุณลืมชื่อผมแล้วเหรอ" "ค่ะ คุณกฤษ ขอโทษค่ะ” “ไม่เป็นไรครับ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” “วันนี้คุณกฤษมาเซ็นสัญญาเหรอคะ” เธอพูดจบพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเมทินี ซึ่งหมายความว่าเธอเสียเวลายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว “ฉันต้องรีบไปทำงานค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” "นี่คุณออม คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าวันนี้ผมมาทำไม" กฤษนัยรั้งเธอไว้ด้วยคำถามชวนสงสัย "ไม่รู้จริงๆ ค่ะ" "คุณรีบไปทำงานของคุณเถอะ" กฤษนัยปล่อยมือออกจากแขนอัญญาอย่างเบามือ "ขอบคุณค่ะ" อัญญายกมือไหว้กฤษนัยก่อนจะรีบวิ่งออกไป พร้อมกับรับโทรศัพท์ในมืออย่างรวดเร็ว กฤษนัยเห็นท่าทางเร่งรีบของอัญญาก็พลอยสงสัยว่าเธอมีเรื่องด่วนอะไร ถึงต้องรีบวิ่งจนไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนี้ ถ้าเขารับตัวไว้ไม่ทัน ป่านนี้ลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว "วันนี้ผมมีนัดคุยรายละเอียดที่ผมสงสัยกับคุณอัญญาไม่ใช่เหรอครับ ทำไมเค้าทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนั้น" กฤษนัยหันไปถามทรงพล เลขาวัยสี่สิบห้าปีที่เคยทำงานให้กับคุณพ่อเขามาก่อน พอคุณพ่อเสียชีวิต ทรงพลจึงทำหน้าที่เป็นเลขาให้กับกฤษนัยต่อ "ทางโรงงานจะส่งคนอื่นในฝ่ายผลิตมาคุยรายละเอียดแทนครับ เพราะว่าคุณอัญญามีงานที่ต้องรับผิดชอบวันนี้แล้ว ขอโทษด้วยครับที่ไม่ได้แจ้งก่อน ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร" ทรงพลชี้แจงให้กฤษนัยฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ เพราะกลัวว่าเจ้านายจะโกรธที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อน "อ๋อ ไม่เป็นไรครับ" กฤษนัยตอบกลับทรงพลด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ได้โกรธทรงพลที่ไม่แจ้งก่อนว่าวันนี้จะไม่ได้คุยเรื่องงานกับอัญญาอีก แต่เขาโกรธอะไรก็ตามที่ทำให้วันนี้อัญญาติดงาน จนไม่สามารถมาคุยกับเขาได้ ตลอดทั้งคืนกฤษนัยพยายามหาเหตุผลล้านแปด เพื่อให้ตัวเองเชื่อว่าหญิงสาวที่ต้องการจะสานสัมพันธ์ด้วยยังไม่มีครอบครัวจริงๆ คิดไปคิดมาเขาก็ตัดสินใจว่าถามเธอเองเลยดีกว่า นอนคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะไม่คำตอบแล้วยังเสียสุขภาพจิต เพราะฉะนั้นวันนี้เขาจึงตั้งใจจะมาถามเรื่องที่อัญญามีครอบครัวแล้ว แต่เอาเรื่องงานมาอ้างในการมาโรงงานในเท่านั้น "ออม! หลงทางเหรอ" เมทินีโล่งใจที่อัญญามาถึงสักที “เชิญพี่พิมพ์เลยค่ะ” เธอหันไปบอกหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่พาวิศวกรคนใหม่มาแนะนำ “นี่ธีรนนท์นะคะ วิศวกรคนใหม่ของเรา ธีจ๊ะ นี่ออม วันนี้ออมจะพาน้องธีทัวร์ส่วนผลิตนะ” "สวัสดีค่ะ เราชื่ออัญญานะ เรียกออมเฉยๆ ก็ได้" อัญญายิ้มให้กับวิศวกรหนุ่มอย่างเป็นมิตรและรู้สึกคุ้นหน้าวิศวกรใหม่คนนี้มากๆ "สวัสดีครับ ผมธีรนนท์ เรียกธีก็ได้ครับ" ธีรนนท์ยิ้มให้อัญญา เพราะจำได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่อยู่ห้องตรงข้าม แต่ดูเหมือนเธอจะจำเขาไม่ได้ซะแล้ว... "น้องธีก็อายุเท่าน้องออมนะ เป็นเพื่อนกันได้ งั้นถ้าแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว พี่ขอชี้แจงอะไรหน่อยนะคะ ในส่วนงานวิศวกรรมของน้องธีก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก แค่ต้องคอยแก้ปัญหาเครื่องจักรในการผลิตให้กับฝ่ายผลิต พวกเครื่องจักรต่างๆ เดี๋ยวน้องธีไปศึกษาจากพี่ๆ ฝ่ายวิศวะบ่ายนี้นะคะ พี่ให้มาที่นี่ก่อน เพื่อที่จะได้เห็นภาพเครื่องจักรและการทำงานคร่าวๆ ก่อน ซึ่งตรงส่วนนี้น้องออมจะเป็นคนแนะนำ ไปฟังพี่ๆ ทีมวิศวะตอนบ่ายจะได้ไม่งง เพราะขืนให้ยกทีมวิศวะมาสอนกันในฝ่ายผลิตจะวุ่นวายไปกันใหญ่ ที่เหลือฝากเมย์กับออมด้วยนะ” "ได้ค่ะพี่พิมพ์" เมทินีกับอัญญาตอบกันอย่างพร้อมเพรียง "น้องธีไม่ต้องกังวลนะคะ แรกๆ ก็อาจจะงงหน่อย แต่เดี๋ยวสักพักก็ปรับตัวได้" “ขอบคุณครับ” ธีรนนท์ได้ฟังก็อุ่นใจ ที่นี่เป็นสังคมใหม่ หวังว่าตัวเองจะเข้ากับที่ทำงานใหม่ได้โดยเร็ว "งั้นออมพาน้องธีไปดูงานเลยนะ เดี๋ยวพี่จะตามไปจ้ะ" เมทินีบอกพร้อมกับหยิบเอกสารบนโต๊ะมาจัดเรียง "อ้าว วันนี้มีลูกค้าอีกเหรอคะพี่เมย์ เมื่อวานออมเช็คอีเมลจากฝ่ายวางแผนก็ไม่มีนะคะ มีแค่ธีคนเดียว" อัญญาถามด้วยความสงสัย "ก็ลูกค้าคนเมื่อวานนั่นแหละ คุณกฤษนัยแจ้งมาว่า อ่านรายงานเรื่องการผลิตแล้วมีข้อสงสัยอยากจะถาม ตอนแรกฝ่ายวางแผนจะให้ออมไปคุยกับคุณกฤษนัยต่อ แต่เค้าเห็นว่าวันนี้ออมต้องดูแลน้องธีเลยให้พี่คุยแทน" พี่เมย์ตอบให้ออมคลายข้อสงสัย “เมื่อวานเค้าก็ถามออมไปเยอะแล้วนะ ถามละเอียดมากๆ แต่ดีแล้วแหละค่ะ พี่เมย์เก่งที่สุดแล้วในฝ่ายแล้ว จะได้ตอบคำถามคุณกฤษนัยได้ละเอียด" เธอตอบกลับด้วยความดีใจที่ไม่ต้องคุยกับเจ้าของห้างที่แสนเข้มงวด "งั้นออมพาธีไปก่อนนะคะพี่เมย์" "น้องธี พี่เตือนไว้ก่อนเลยนะ ถ้าออมเริ่มพูดมากเมื่อไหร่ เตือนออมทันที เพราะถ้าธีไม่เตือน ธีอาจจะต้องเก็บเสียงออมไปหลอนทั้งคืนแน่ๆ คนอะไร พูดเยอะเป็นบ้า" เมย์เงยหน้าขึ้นมาบอกกับธีรนนท์และยิ้มให้ด้วยความใจดี "ครับ ขอบคุณที่เตือนครับพี่เมย์" ธีรนนท์ยิ้มกับความใจดีของเพื่อนร่วมงานใหม่ทั้งสองคน "ไปกันได้เถอะธี" อัญญาเข้าสู่โหมดการทำงาน เธอพาธีรนนท์เข้ามาในส่วนของการผลิต ซึ่งต้องใส่ชุดคลุม หมวกและผ้าปิดปากเพื่อป้องกันเส้นผมและสิ่งสกปรกจากภายนอกปนเปื้อนลงไปในอาหาร "นี่ธีอย่าไปเชื่อพี่เมย์นะว่าเราพูดเยอะ แต่เราก็ชอบพูดไปเรื่อยแหละ" เธอบอกระหว่างยืนอยู่ในห้องฆ่าเชื้อ บริเวณนี้จะเป็นห้องกระจกเล็กๆ ที่ต้องเชื่อมระหว่างส่วนแต่งตัวและส่วนการผลิต ไอน้ำที่ถูกผสมน้ำยาทำความสะอาดจะพ่นรอบตัวเพื่อความสะอาด "ครับ” เขาพยักหน้าเข้าใจ “เมื่อวานข้าวมันไก่หน้าปากซอยอร่อยดีนะ" "เฮ้ย! ว่าแล้ว เราก็คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน สงสัยเราจะความจำสั้น” “ตอนนั้นมันมืดด้วยละมั้ง” “ก็เป็นไปได้ ข้าวมันไก่อร่อยใช่ไหมละ น้ำซุปก็อร่อยเนอะ" "อร่อยๆ แล้วมีร้านไหนแนะนำอีกไหม ถ้ากินข้าวมันไก่ทุกวัน เบื่อแย่เลย" เขาสัมผัสได้ถึงความสดใสและเป็นกันเองในตัวของผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อคืนและวันนี้ก็เช่นกัน "มีอีกเยอะนะ เอาไว้จะแนะนำร้านที่เราชอบ แต่ธีอาจจะไม่ชอบ” “ขอบคุณครับ” “พร้อมทัวร์หรือยัง” เธอถามเมื่อประตูห้องฆ่าเชื้อเปิดออกโดยอัตโนมัติ “พร้อมครับ” ว่าแล้วเขาก็หยิบสมุดโน้ตกับปากกาขึ้นมาเตรียมจดเลกเชอร์ “นี่” อัญญาชี้ไปปากกาของเขา ก่อนจะหยิบฝาปากกามาถือไว้ “ห้ามใช้ปากกามีฝาปิด เพราะมีโอกาสที่ฝาปากกาจะหล่น หรือตอนปิดใช้จะหลุดลงไปในเครื่องจักร โอเคนะ” “ครับ” เขารู้สึกเหมือนคุณครูยึดของ แต่สุดท้ายคุณครูก็ไม่ได้ใจร้าย ส่งให้คืนแต่กำชับว่าเขาต้องเก็บใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย “เราจะเริ่มแล้วนะ” “ครับ” “บริเวณทั้งหมดนี้ เราจะเรียกว่าไลน์ผลิต เรียกสั้นๆ แบบนี้แหละ จะได้ไม่งง" อัญญาพูดไปเดินไป นี่คือไลน์ผลิตอาหารแช่แข็งแรงของโรงงานเรานะธี โรงงานเราจะผลิตข้าวผัดกะเพราเป็นหลักนะ ส่วนเมนูอื่นๆ ก็เป็นโรงงงานอื่นทำ แต่บางครั้งก็อาจจะต้องทำเมนูอื่นบ้าง แล้วแต่จะได้รับคำสั่ง แต่จะผลิตอะไรก็ต้องขึ้นอยู่กับเครื่องจักรของเราเป็นหลักว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง” “ก่อนจะผลิตก็เริ่มต้นจากฝ่ายวางแผนจะเป็นคนจัดให้เราว่า วันนี้ต้องผลิตอาหารอะไรบ้าง แต่ละอย่างจำนวนกี่กล่อง ขั้นต่ำอย่างน้อยก็วันละหนึ่งแสนกล่อง” “หนึ่งแสน!” “ใช่ แต่เราทำงานมาที่นี่มาสามปี ไม่เคยมีวันไหนเลยผลิตน้อยกว่าหนึ่งแสนกล่อง โดยเฉพาะช่วงเทศกาล บอกเลยว่าเฉียดล้าน” “เยอะมาก เรานึกภาพข้าวหนึ่งแสนกล่องไม่ออกเลย” “เดี๋ยวก็ได้เห็นจนชินตา แต่ที่เยอะเพราะเราส่งให้ลูกค้าหลายราย ทั้งขายในร้านสะดวกซื้อ ขายให้ลูกค้าที่ทำซูเปอร์มาร์เก็ต” “ครับ” “จากนั้นฝ่ายวางแผนก็ส่งข้อมูลให้ฝ่ายคลังตรวจเช็คว่าวัตถุดิบในการทำครบไหม เพียงพอหรือเปล่า ถ้าทุกอย่างโอเค วัตถุดิบก็จะถูกส่งต่อมาให้ฝ่ายผลิต นี่เป็นหม้อต้มนะ หม้อนี้ปัญหาไม่ค่อยมีเท่าไหร่ นอกจากมันชอบรั่ว พอมันรั่วแล้วน้ำก็จะไหลเปียกพื้น เหนื่อยทีมงานเราต้องมาถูอีก แต่อันนี้นานๆ จะเป็นสักที เพราะก้นหม้อผลิตมาหนาผมสมควร เราจะใช้หม้อนี้ทำหมูให้สุก” เธออธิบายถึงหม้อที่ใช้อุตสาหกรรมอาหาร หน้าตาคล้ายกับหมอที่ใช้ทั่วไปในครัวเรือน แต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่าและถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย “ส่วนอันนี้เป็นตัวผัดสำหรับเมนูผัดกะเพรา เครื่องนี้มักจะมีปัญหาเวลาผัดใบพัดมันจะหมุนๆ แล้วพวกเศษข้าวมันจะไปอุดตันตรงแกนข้างล่าง พอมันอุดตันเกินกำลังเครื่องรับไหว เครื่องจะหยุดทำงาน แล้วเวลาที่ตั้งไว้สำหรับผัดก็หยุดไปด้วย ทำให้เราต้องทิ้งผัดกะเพราล็อตนี้ไปเลย เพราะถ้าเอามาผัดต่อ มันก็จะไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ อันนี้เป็นบ่อยนะ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะอุดตันตอนไหน ต้องคอยมานั่งเขี่ยๆ ข้าวออกบ่อยๆ เราว่าน่าจะมีระบบเซนเซอร์คอยเตือน เหมือนตอนเราถอยรถ ที่เวลาจะชนก็มีเสียงเตือน เราเคยแจ้งปัญหากับพี่ๆ วิศวกรคนอื่นไป แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลย ขอโทษที พูดตรงไปหน่อย” “ครับ” “เครื่องต่อไปเลยนะ อันนี้เป็นหม้อหุงข้าว ใหญ่ไหมล่ะ กินได้ทั้งอำเภออะเราว่า หม้อหุงข้าวยักษ์ตัวนี้ชอบมีปัญหาตรงที่ นึกภาพหม้อหุงข้าวที่บ้านนะ ตอนมันใกล้จะสุก ควันมันพ่นออกฟู่ๆ แล้วมันก็ดีด ติ๊ด แล้วมันก็สุก แต่เจ้าหม้อหุงข้าวยักษ์เนี่ย มันจะฟู่ๆ แล้วมันก็ดีด แต่มันยังไม่สุก เราจะยกตัวอย่างสาเหตุของปัญหานะ สมมติว่า เราหุงข้าว 100 กิโลกรัม มันจะต้องสุกในเวลา 30 นาที แต่เหมือนแรงดันไอจากหม้อที่มันฟู่ๆ ออกมามันเยอะเกินไป เลยทำให้มันดีดก่อนสุก” “อาจจะต้องดูตรงตัวควบคุมแรงดันว่าเสื่อมสภาพหรือเปล่า” “เยี่ยม เราก็คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับแรงดัน แต่ถ้าเราซ่อมเองเป็น วิศวกรกับพี่ๆ ช่างซ่อมคงตกงาน จริงไหม” “ครับ” ธีรนนท์หัวเราะเบาๆ ถูกอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ คนหนึ่งคนจะเก่งได้สักกี่อย่างกันเชียว “ไปต่อกันเลย” “ออม...” “หือ?” "ออม ค่อยๆ พูดก็ได้ เราเชื่อพี่เมย์" ธีรนนท์บอกคนตรงหน้าด้วยอารมณ์ขันที่เห็นเธอพูดไม่หยุด มือก็ชี้ไปยังเครื่องมือต่างๆ จนเขากลัวว่าเธอจะเหนื่อย "แค่นี้สบายมาก บางวันเราพูดกับลูกค้าทั้งวัน พูดจนงง คิดว่าตัวเองกำลังเดี่ยวไมโครโฟน แล้วธีฟังเราพูดทันไหม” “ทันครับ” “ธีก็ไม่ต้องจำชื่อทางการของเครื่องตอนนี้หรอกนะ จำหน้าตามันก็พอ เดี๋ยวบ่ายนี้พี่ๆ ทีมวิศวกรก็สอนธีอีกครั้งแหละ มาเห็นก่อน จะได้นึกภาพและปัญหาออก เวลาพี่เค้าอธิบายจะได้ไม่งง เห็นในรูป จะไปเข้าใจเท่าเห็นของจริงได้ไงเนอะ" เธอพูดรัวๆ ให้เขาฟังอีกชุด "เราฟังทันอยู่แล้ว แต่เรากลัวออมจะหายใจไม่ทันน่ะสิ เดินไปพูดไปไม่หยุดเลย" "โอเค งั้นเราจะพูดให้ช้าลงหน่อยแล้วกันนะ มาดูเครื่องนี้ต่อเลย" อัญญายังคงพูดต่อไปด้วยความเร็วที่ไม่ได้ลดระดับลงแบบที่เธอกล่าว แต่ธีรนนท์ก็ฟังด้วยความตั้งใจ และแอบมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกสดชื่นหัวใจ เขาไม่เคยเห็นใครที่พูดเรื่องไม่น่าฟังให้น่าฟังได้เท่าเธอมาก่อน "เรียบร้อย จบ รู้เรื่องไหม มีอะไรสงสัยหรือเปล่า" เธอถามหลังจากอธิบายในสิ่งที่ธีรนนท์ต้องรู้กว่าหนึ่งชั่วโมง "รู้เรื่องครับ เห็นภาพชัดแจ๋วเลย" "จริงอะ เครื่องนั้นมีปัญหาอะไรที่ธีต้องรู้" เธอชี้ไปที่เครื่องผัดกะเพราะ "เครื่องนั้นจะมีข้าวไปอุดตันครับ ออมอยากให้มีเซนเซอร์บอกระดับบริเวณข้าวที่อุดตัน" "ใช้ได้นะเนี่ย นี่ถามเครื่องที่บอกแรกๆ ยังตอบได้เลย สุดยอด" เธอยิ้มให้ธีรนนท์พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ด้วย "เราจำได้แค่อันนี้แหละ" "ไม่ได้นะ เสียชื่อเราหมด รู้เรื่องจริงๆ นะธี" "รู้เรื่องสิ จดเลกเชอร์ไว้ด้วย เหมือนฟังอาจารย์สอนตอนเรียนเลย" "โอเค แล้วนี่พี่พิมพ์พาไปแนะนำให้พี่ๆ ฝ่ายวิศวะรู้จักยังอะ" "ยังเลย พี่พิมพ์บอกว่าเมื่อเช้าพี่ๆ เค้ามีประชุมกัน จะพาไปแนะนำตอนบ่ายทีเดียว" "งั้นเที่ยงนี้ไปกินข้าวกับเรากับพี่เมย์ก่อนแล้วกันเนอะ มาทำงานวันแรก กินข้าวคนเดียวต้องเหงามากแน่นอน เดี๋ยวธีรอเราต้องนี้ก่อนนะ เราไปตรวจงานแป๊บเดียว เดี๋ยวมานะ" ธีรนนท์มองตามหลังอัญญาแล้วเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เขาอยากจะหาน้ำให้เธอดื่มสักแก้ว เพื่อให้คอของเธอชุ่มชื้นขึ้น เธอพูดไม่หยุดกว่าหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องงาน เรื่องเครื่องจักร เขายังไม่เบื่อที่จะฟัง ถ้าได้คุยกับเธอเรื่องอื่น คงจะสนุกมาก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาคมคอยจับตามอง กฤษนัยรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของอัญญาที่ดูเป็นกันเองกับธีรนนท์ รอยยิ้มที่เป็นมิตร แววตาที่สดใสของอัญญา และเสียงหัวเราะในระหว่างที่เธอคุยกับธีรนนท์ ทำให้เขาสงสัยนักว่าสองคนนี้มีความสนิทชิดเชื้อกันมากแค่ไหน ถึงได้ดูมีความสุขในเวลางานกันมากขนาดนี้ "คุณกฤษนัยคะ" เมทินีเรียกเจ้าของห้างที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ฟังเธอพูดสักเท่าไหร่ "...ครับ" กฤษนัยได้สติ หลุดออกจากห้วงความคิดและหันมาคุยกับเมทินีเพื่อนร่วมงานของอัญญา "เมื่อกี้ที่ดิฉันอธิบายไป คุณกฤษนัยโอเคไหมคะ" "ครับ ผมโอเคทุกอย่างแล้วครับ" กฤษนัยตอบสั้นๆ เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร เมื่อวานอัญญาให้คำตอบเขาจนกระจ่างทุกข้อสงสัย "ค่ะ ถ้าคุณกฤษนัยมีคำถามอะไรอีก ถามได้เลยนะคะ" "ครับคุณเมย์ ผมมีคำถาม" กฤษนัยพูดด้วยท่าทางจริงจัง จนเมทินีรู้สึกแปลกใจระคนกังวลอยู่หน่อยๆ "คุณกฤษนัยมีอะไรสงสัยเหรอคะ" "คุณอัญญาเธอมีครอบครัวแล้วเหรอครับ แล้วผู้ชายที่ยืนคุยกับคุณอัญญาเป็นใคร" กฤษนัยมองหน้าเมทินีอย่างรอคำตอบ และด้วยท่าทีกับคำถามที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยิน เมทินีจึงอึ้งไม่น้อย "ออม เอ้ย! อัญญา ยังไม่มีครอบครัวค่ะ” “ยังไม่มี...” เขาพูดเพื่อให้เธอทวนคำตอบอีกครั้ง “ใช่ค่ะ ยังไม่มีครอบครัว ถ้าคุณกฤษนัยหมายถึงครอบครัว แบบที่แต่งงานมีสามีและมีลูก ยังไม่มีค่ะ" เมทินีตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ยังคงสับสนกับคำถามของกฤษนัย "แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะครับ เค้าเป็นใคร" กฤษนัยถามต่อ "น้องธีรนนท์ค่ะ เป็นวิศวกรใหม่ของที่นี่ เพิ่งเข้ามาทำงานวันแรก วันนี้อัญญาเลยต้องแนะนำสิ่งที่น้องธีควรรู้ค่ะ" "ขอบคุณครับ ผมไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เรื่องเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจก็เป็นวันที่เลขาผมแจ้งเอาไว้เหมือนเดิมนะครับ" กฤษนัยตอบเมทินีพร้อมกับรอยยิ้ม อัญญายังไม่มีครอบครัว ที่แท้เธอก็พูดเพื่อตัดรำคาญเขาก็เท่านั้น แต่ปัญหาของเขาตอนนี้คือจะทำยังไงกับธีรนนท์ เพราะจากสายตาที่วิศวกรคนนั้นมองอัญญาแล้ว เขาดูออกทันทีว่าต้องสนใจอัญญาเป็นแน่ "ค่ะคุณกฤษนัย ขอบคุณมากนะคะที่ไว้ใจโรงงานของเรา" "ครับ" "เอ่อ...จะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปไหมคะ ถ้าเมย์จะถามว่าทำไมคุณกฤษนัยถึงถามเรื่องครอบครัวของเพื่อนร่วมงานเมย์" "เมื่อวานเธอบอกผมว่าเธอมีลูกสาวและครอบครัวที่ต้องดูแล ผมเลยสงสัยว่าคุณอัญญามีครอบครัวแล้วจริงหรือเปล่า เพราะเธอดูไม่เหมือนคนมีครอบครัวแล้วเท่าไหร่ครับ" กฤษนัยตอบคำถามเมทินีอย่างสบายๆ "อ๋อ! ลูกสาว ออมมีลูกสาวแล้วจริงๆ แหละค่ะคุณกฤษนัย" เมทินีตอบไปก็หัวเราะไป แต่เมื่อเธอเห็นคนตรงข้ามไม่ขำด้วย แถมยังมีท่าทางจริงจัง เธอจึงหยุดหัวเราะทันที "คุณพูดว่าอะไร ถ้าไม่มีครอบครัวแล้วจะมีลูกสาวได้ยังไง" "ใจเย็นๆ ค่ะคุณกฤษนัย” เมทินีอมยิ้ม ถ้าเดาจากสถานการณ์ไม่ผิด สงสัยเธอจะได้เป็นฝ่ายแซวน้องสาวเรื่องความรักบ้างแล้วสิ “ลูกสาวที่หมายถึงคือแมวค่ะ แมวที่ร้องเหมียวๆ" "แมว?" "ใช่ค่ะ แมวที่ชอบกินปลาทู ออมเค้าเจอแมวตัวนี้ร้องอยู่ข้างถนน กลัวว่ารถจะชนเลยเก็บมาเลี้ยงที่ห้องค่ะ ตอนนี้ก็เลี้ยงได้ปีกว่าแล้ว จากตัวเล็กๆ สกปรกมอมแมม เดินไม่ได้ ก็พาไปหาหมอจนตอนนี้เป็นแมวขนสวยและแข็งแรงแล้วค่ะ เค้ารักของเค้ามาก เรียกกันว่าแม่ลูกตลอด ไม่ใช่ลูกสาวที่เป็นคนค่ะ แฟนก็ยังไม่มี จะไปมีลูกได้ยังไงล่ะคะคุณกฤษ" เมทินีพูดยาวเพื่ออธิบายให้กฤษนัยเข้าใจ ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้ม “ผมเข้าใจชัดเจนแล้วครับ ลูกสาวของอัญญาก็คือแมว และอัญญาก็ยังไม่มีแฟนด้วย ขอบคุณมากครับคุณเมย์" เธอยิ้มตอบอย่างอุ่นใจที่ในที่สุดน้องสาวผู้ร่วมงาน จะมีคนมาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยสักทีและดูท่าทีของกฤษนัยแล้ว เขาก็น่าจะเป็นคนดีในระดับหนึ่ง เว้นแต่เข้มงวดเรื่องงานไปหน่อยก็เท่านั้นเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD