บทที่ 4

2169 Words
รอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏบนใบหน้างามจางหายไปในฉับพลัน ถ้อยคำที่เหลือขาดหายไปในลำคอ เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นสองคนมายืนขวางประตูไว้เสียมิด             “เอ่อ...มาหาใครคะ” จิลลาดาเอ่ยถามเสียงสั่น จู่ๆ อาการหวาดกลัวก็จู่โจมเข้าหัวใจในทันควัน             “มาตามหาผู้หญิงที่เป็นงูพิษ” ผู้พันจาฮัสด์ตอบเสียงเย็นยะเยือก เท้าใหญ่ในรองเท้าหนังแท้ก้าวเท้าช้าๆ เข้าไปในห้อง จนจิลลาดาต้องถอยร่นเข้าไปภายในห้องอย่างไม่มีทางเลือก ส่วนผู้กองคาฮานก็ยืนคุมเชิงให้ผู้บังคับบัญชาอยู่ตรงช่องประตู “คุณ...คุณ มาตามหาใครคะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ถ้ายังไงค่อยมาพรุ่งนี้แล้วกันนะคะ” จิลลาดาเหลือบสายตามองหมวกกันน็อคของตัวเอง แล้วรีบคว้ามากอดไว้มั่น กะว่าหากจวนตัวก็จะใช้หมวกกันน็อคนี่แหละเป็นอาวุธป้องกันตัวเอง ผู้พันจาฮัสด์ก้าวเท้าช้าๆ อย่างมั่นคงเข้าไปใกล้ร่างบางระหง กวาดสาตาคมกริบจ้องมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าจะแต่งหน้าไม่จัดเท่ากับภาพถ่ายที่เชษฐาให้มา แต่กระนั้นเขาก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ทำให้เชษฐาเขาต้องเสียพระทัยและเสียพระพักตร์ที่สุด “ชุดไพลินล้อมเพชรที่เจ้าขโมยมาอยู่ที่ไหน จิลลาภา” ผู้พันหนุ่มเค้นเสียงถามราบเรียบ พร้อมกับเดินต้อนหญิงสาวสาวให้ไปจนมุมอยู่ตรงมุมห้อง แม้น้ำเสียงที่อีกฝ่ายเอ่ยถามค่อนข้างราบเรียบ แต่จิลลาดาก็เกิดอาการขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว รู้สึกราวกับว่ายมทูตกำลังมายืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่ปาน “คุณพูดเรื่องอะไรกันคะ ดิฉันไม่เข้าใจ แล้วดิฉันไม่ได้ชื่อจิลลาภานะคะ ดิฉันชื่อจิลลาดา คุณกำลังตามหาคนผิดนะคะ” “ไม่ได้ชื่อจิลลาภา ถ้างั้นคุณก็คงไม่ได้มีชื่อเล่นว่าใยไหมนะสิ” ผู้พันจาฮัสด์ถามอย่างประชดประชัด ส่วนจิลลาดาไม่รู้ว่ากำลังถูกประชดอยู่ก็รับคำอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้ชื่อใยไหม ฉันชื่อแพรไหม คุณตามหาคุณผิดแล้วนะคะ ถ้ายังไงช่วยหลบออกไปหน่อยได้ไหมคะ ดิฉันจะกลับบ้านนะคะ” จิลลาดาขอร้องเสียงสั่น ใจไม่ดีเมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับบุรุษหนุ่มนัยต์ตาคมเข้มดุกร้าวแค่เพียงลำพังคนเดียว “ไม่ได้ชื่อจิลลาภา ไม่ได้ชื่อใยไหม คนในภาพเหล่านี้ก็ไม่ใช่คุณนะสิ” เค้นเสียงถากถางแล้ว ผู้พันจาฮัสด์ก็โยนภาพถ่ายปึกใหญ่ที่ถืออยู่ในมือใส่หน้าของหญิงสาว ซึ่งเผลอตัวปล่อยให้หมวกกันน็อคตกลงพื้นแล้วยื่นมือมาคว้าภาพถ่ายได้บางส่วน จิลลาดาไม่รู้ว่าภาพเหล่านี้เป็นภาพของใคร พอคนตัวใหญ่โยนภาพถ่ายปึกใหญ่ใส่หน้า ก็รีบคว้าไว้ แต่พอเหลือบสายตามองเห็นภาพถ่ายซึ่งล้วนแต่เป็นภาพเปลือยกายอยู่ในท่าร่วมรักในอิริยาบถต่างๆ อย่างเร่าร้อนเผ็ดเดือด ก็ถึงกับตกใจหน้าถอดสีซีด เพราะผู้หญิงที่อยู่ในภาพเหล่านั้นมีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับเธอ! “ไม่! นี่ไม่ใช่ฉัน” จิลลาดาไม่กล้ามองภาพที่เหลือต่อ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละภาพเป็นภาพการร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนในทุกภาพ หญิงสาวโยนภาพไปให้ชายหนุ่นผู้นี้คืน พลางถอยกรูดไปจนชิดกำแพงด้วยความหวาดหวั่น เมื่ออีกฝ่ายสืบเท้าเข้าหาเธออย่างช้าๆ ผู้พันจาฮัสด์คว้าภาพถ่ายที่ตกลงพื้นหลายใบมาถือไว้ แล้วกระโจนเข้าไปตะครุบร่างเล็กจับยึดบีบบ่าเล็กไว้แน่น ก่อนจะเอาภาพถ่ายภาพหนึ่งซึ่งเห็นใบหน้าของฝ่ายหญิงอย่างชัดเจนมายื่นเข้าไปประชิดกับใบหน้าของหญิงสาว ก่อนจะเค้นเสียงด่า “เจ้าจะบอกว่านี่ไม่ใช่ภาพของเจ้ายังงั้นหรือ ในเมื่อใบหน้าของผู้หญิงในภาพ กับใบหน้าของเจ้าเป็นพิมพ์เดียวกันจนแยกไม่ออก” “ไม่ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ฉัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” จิลลาดาตวาดลั่น ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจับกุม เจ็บน้ำตาแทบร่วงตอนอีกฝ่ายบีบบ่าเล็กของเธอเต็มแรง และก็ต้องน้ำตาคลอเบ้า เมื่อปลายนิ้วแข็งแกร่งเลื่อนมาบีบตรงพวงแก้มทั้งสองของเธอขณะตะคอกเสียงดังลั่น “ไม่ใช่ภาพของเจ้าแล้วจะเป็นภาพของใคร ในเมื่อเห็นกันแน่ชัดแล้วว่าเจ้ากำลังแก้ผ้าเล่นรักกับท่านพี่ของเราอยู่ และท่านพี่เป็นคนบอกว่าเจ้านั่นแหละ เป็นคนขอให้ถ่ายภาพเร่าร้อนพวกนี้เก็บไว้ แล้วเจ้าจะปฏิเสธว่าผู้หญิงในภาพไม่ใช่เจ้าได้อย่างไร” “ปล่อยฉันนะ ฉันไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักท่านพี่บ้าบอคอแตกที่คุณกำลังพูดถึง และผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่ฉันแน่นอน ปล่อย! ได้ยินไหม บอกให้ปล่อย!” จิลลาดาแผดเสียงตะโกนลั่น พยายามเบือนหน้าหนีให้พ้นจากมือใหญ่ที่บีบแก้มเธอแน่นจนน้ำตาร่วง “เจ้าเป็นผู้ร้ายปากแข็งซะจริงๆ มีภาพแก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังปฏิเสธว่าไม่ใช่ภาพของตัวเอง แต่ก็เอาเถอะ พักเรื่องรูปแก้ผ้าของเจ้าไว้ก่อน สิ่งที่เราต้องการรู้ตอนนี้คือเจ้าเอาชุดไพลินล้อมเพชรของท่านแม่ไปขายให้ใคร” ผู้พันจาฮัสด์เค้นถามเสียงห้วน มือใหญ่ยังคงบีบพวงแก้มทั้งสองไว้แน่น โดยไม่สนใจอาการน้ำตาคลอเบ้าของอีกฝ่าย สำหรับเขาไม่มีคำว่าปราณีให้กับคนเลวที่ทำให้เชษฐาต้องเสียพระทัย จิลลาดาไม่อาจหักห้ามน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป หยาดน้ำตาอุ่นร่วงเผาะลงมาตามพวงแก้มพร้อมกับการครางตอบเสียงแผ่วเบา “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ฉันไม่รู้จักพวกคุณ ไม่รู้ว่าใครคือท่านพี่ ท่านแม่ที่คุณกำลังพูดถึง ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะค่ะ” ผู้พันจาฮัสด์เบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า งุนงงกับตัวเองว่าทำไมถึงเกิดอาการใจสั่น เมื่อเห็นหยาดน้ำตาอุ่นของหญิงสาวผู้นี้ เขาหันไปมองผู้กองคาฮานพร้อมกับสั่งงานด้วยภาษาของตนเอง “เก็บรูปภาพให้หมด แล้วตามไปที่รถ” “ครับผู้พัน” ผู้กองคาฮานรับคำแล้วรีบเข้าไปเก็บภาพถ่ายที่ตกอยู่เกลื่อนห้อง จิลลาดาฟังไม่ออกว่าชายผู้นี้กำลังพูดว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอแน่ เพราะอีกฝ่ายเลื่อนมากุมมือเธอไว้แน่นแล้วลากออกจากห้องในทันที “ปล่อย! ฉันไม่ไปกับคุณ ใครก็ได้ช่วยด้วย!” “หยุดตะโกนเดี๋ยวนี้” ผู้พันจาฮัสด์สั่งเสียงเข้ม “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย” จิลลาดายังคงตะโกนร้องลั่น พยายามจับยึดบานประตูไว้แน่ไม่ยอมเดินตามแรงฉุดกระชากของอีกฝ่าย “บอกให้หยุดตะโกน” ผู้พันหนุ่มเค้นเสียงสั่ง แต่จิลลาดาก็ยังคงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเหมือนเดิม “ช่วยด้วย” เผียะ!!! ใบหน้างามหันไปตามแรงตบของฝ่ามือใหญ่ แม้อีกฝ่ายจะตบไม่เต็มเรี่ยวแรงที่มีอยู่ ทว่าน้ำหนักของแรงตบที่ลอยมาปะทะกับใบหน้างามทำเอาจิลลาดาถึงกับหน้าหัน พวงแก้มเนียนปรากฏรอยนิ้วมือแดงๆ ขึ้นมาในทันที “บ้าฉิบ!” แทนที่จะเป็นจิลลาดาที่ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ กลับกลายเป็นผู้พันจาฮัสด์เองที่สบถลั่นด้วยความโกรธจัดทันทีที่เห็นใบหน้างามเกิดรอยแดงเถือกไปทั้งพวงแก้ม แม้จะได้รับภารกิจฆ่าศัตรู ฆ่าคนร้ายมามากทั้งที่เป็นผู้หญิงและผู้ชาย แต่เขาไม่เคยตบหน้าผู้หญิงแม้แต่ครั้งเดียว จิลลาดาหายจากอาการตกตะลึง เมื่อได้ยินคำสบถของอีกฝ่าย และใช่ว่าจะให้อีกฝ่ายตบเธอแค่ฝ่ายเดียว หญิงสาวกระโจนเข้าหาร่างใหญ่ล่ำสันอย่างไม่กลัว ทั้งมือเล็ก ทั้งเท้าประเคนเข้าหาเจ้าของนัยน์ตาสีนิล ที่เธอยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เท้าเล็กเตะไปตามต้นขาของอีกฝ่าย มือเล็กทั้งสองเอื้อมไปข้างหน้าข่วนเข้าไปตรงลำคอของอีกฝ่ายเต็มแรงเรียกเสียงร้องตะโกนได้จากอีกฝ่ายทันที “อ๊าก! เจ็บนะโว๊ย!” ผู้พันจาฮัสด์ร้องตะโกนลั่น แสบไปทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ เมื่อเจอเล็บแหลมคมจิกลงมาแล้วครูดไปตามผิวหนังของเขาเต็มแรง “ตบหน้าฉันใช่ไหม ฉันจะตบหน้าแกคืน” จิลลาดาแผดเสียงจนเจ็บลำคอไปหมด นาทีนี้ไม่กลัวตาย ไม่กลัวดวงตาคมกริบที่กำลังจ้องมองเธอเขม็ง “เอาสิใยไหม ตบสิ!” ผู้พันหนุ่มท้าอีกฝ่าย คิดว่าหญิงสาวคงไม่กล้าตบเขาอย่างแน่นอน ทว่าเขาคิดผิดถนัดใจ!             เผียะ!!!             จิลลาดาไม่ยอมให้ผู้พันจาฮัสด์ต้องท้าให้เสียเปล่า พอสิ้นคำท้าของอีกฝ่าย เธอก็ตบใบหน้าหล่อๆ เต็มแรง สร้างความตกตะลึงให้กับตัวผู้พันเอง รวมทั้งผู้กองคาฮานด้วย ที่เพิ่งเคยเห็นผู้บังคับบัญชาของตนเองถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ตบหน้าเข้าเต็มแรงเกิด  “เจ้าบังอาจมากนะใยไหม” ผู้พันจาฮัสด์เค้นเสียงลอดไรฟัน โกรธเจียนคลั่ง ใบหน้าร้อนผ่าวไปทั้งแถบ             “บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ได้ชื่อใยไหม สมองเสื่อมหรือยังไง” จิลลาดากำลังถูกพายุบ้าเข้าสิง นอกจากจะไม่กลัวคนที่เผยอาการเกรี้ยวกราดให้เห็นแล้ว หญิงสาวยังกล้าจ้องมองเขม็งไปในดวงตาสีนิล กล้าตบใบหน้าหล่อๆ ตามคำท้าทายของอีกฝ่าย แถมยังกล้าตะคอกใส่อีกฝ่ายโดยไม่หวั่นเกรงด้วย             “ใยไหม จำรู้ไหมว่าคนที่บังอาจตบหน้าเราจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร” ผู้พันจาฮัสด์ถามเสียงเย็น ดึงร่างบางมาปะทะกับอกกว้าง โดยไม่สนใจอาการร้องประท้วงของหญิงสาว             “แพรไหม ฉันชื่อแพรไหม ได้ยินไหม” หญิงสาวย้ำเสียงเข้ม ก่อนจะเค้นเสียงตอบต่อ “ฉันไม่กลัวคุณแล้ว เอาสิ เก่งนักใช่ไหม คุณตบหน้าฉันได้ ฉันก็จะตบหน้าคุณคืนเหมือนกัน”             “ยังงั้นหรือ ตาต่อตา ฟันต่อฟันว่างั้นเถอะ” ผู้พันจาฮัสด์ลดริมฝีปากลงต่ำจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน             “ใช่! ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” จิลลาดาเชิดหน้าตะคอกสวนกลับ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังหลงกลของผู้พันหนุ่มเข้าให้แล้ว             “เราตบหน้าเจ้าและเจ้าก็ตบหน้าเรา”             “ใช่”             “ถ้างั้นเราจูบเจ้า...เจ้าก็คงจูบเรากลับคืน”             จิลลาดาไม่มีโอกาสโต้ตอบ หญิงสาวอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พันจาฮัสด์ ซึ่งกดกระแทกริมฝีปากร้อนผะผ่าวลงมาอย่างหนักหน่วงดุดัน แทรกปลายลิ้นร้อนผ่าวเข้าไปในโพรงปากจุมพิตอย่างจาบจ้วงหนักหน่วงราวกับต้องการสั่งสอนคนปากจัดอย่างหญิงสาว               ทว่าเมื่อได้สัมผัสกับความหวานฉ่ำติดปลายลิ้น อีกทั้งสัมผัสได้ว่าเรียวปากคู่นี้หวานล้ำราวกับไม่เคยต้องภุมรินมาก่อน ผู้พันจาฮัสด์ก็เลิกคิ้วขึ้นสูงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองกำลังค้นพบอยู่ในขณะนี้ เมื่อรู้แล้วว่าเรียวปากอิ่มสีกุหลาบคู่นี้หวานล้ำปานใด จุมพิตที่กดกระแทกจาบจ้วงในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลมอบความหวานฉ่ำชักชวนให้หญิงสาวเพลิดเพลินไปรับรสจุมพิตในครั้งนี้             จิลลาดารู้สึกราวกับกว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ความวาบหวาม ความเสียวซ่านที่มาพร้อมกับการถูก บดจุมพิตอย่างหนักหน่วงเร่าร้อน ทำเอาคนไร้ประสบการณ์ในเรื่องรักอย่างเธอถึงกับตัวอ่อนปวกเปียก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองถูกผู้พันหนุ่มอุ้มไว้ในอ้อมแขนตั้งแต่เมื่อไรกัน อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าตนเองกำลังถูกอุ้มมายังรถยนต์คันใหญ่ เพราะตลอดเวลาที่ผู้พันจาฮัสด์ก้าวเดินออกมาจากห้อง เขาไม่ยอมผละริมฝีปากออกให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว ริมฝีปากร้อนรุ่มยังคงประทับจุมพิตแนบแน่น ผนึกจุมพิต ตักตวงความหวานฉ่ำราวกับจะสูบวิญญาณออกจากตัวของเธอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD