บทที่8เยี่ยหลาง
“ทั้งสองคนกลายเป็นคนของคุณหนูเฟยเฟยเรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน” ติงเล่อหันหลังไปบอกบุรุษใส่หน้ากากเงิน ที่นั่งหลังม่านฟังทั้งคู่สนทนากัน
“อืม…ดีแล้ว มะรืนนี้ข้าต้องเดินไปทางเหนือ คงต้องฝากทางนี้ไว้กับเจ้าด้วย”
“ขอรับ นายท่านมิต้องห่วง…แล้วมิต้องห่วงคุณหนูเฟยเฟยอีกแล้ว”
“เจ้าคิดไปเอง…ข้ามิได้ห่วงนาง…แค่ทำตามคำของขอผู้มีพระคุณข้าเท่านั้น……” ถึงจะพูดไปอย่างนั้น ภายใต้หน้ากากสีเงินเยี่ยหลางกลับยกยิ้มมุมปาก
ติงเล่อยิ้ม ไม่ห่วงแต่ยามที่นายท่านกลับมา นายท่านรีบตามไปแอบดูนาง ไม่ห่วง แต่ยามที่นางตกลงไปในบึง นายท่านรีบโดดลงไปช่วยก่อนผู้อื่น…
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เยี่ยหลางเดินทางมาที่เมืองไห่เสิ่นเพื่อมาสำรวจที่สร้างสำนักชางยงสาขาที่ 3 แล้วสามพี่น้องร่วมแรงร่วมใจ มีสำนักชางยงถึง 3 สาขา ทุกคนที่เข้ามาต้องขายตัวเองให้สำนักชางยงจะมีตั้งแต่เด็กอายุ 5-6 ไปจนถึง ชายหนุ่มอายุ 15-20 บางคนมีพื้นฐานการต่อสู้มาแล้ว เมื่อฝึกฝนสำเร็จตามหลักสูตรที่ตั้งไว้ จะมีคนมาขอซื้อตัวไปทำงาน บวกกับความสามารถที่มีอยู่ พวกเขาทุกคนจะได้ได้เบี้ยเลี้ยงต่างหาก ต่างกับทาสทั่วไป มีบางคนที่เก่งกาจได้กลายเป็นคนสนิทบุคคลสำคัญก็มีมาแล้ว
สาขาที่นี่พี่ใหญ่ให้เขาดูแล แต่เนื่องจากสำนักชางยงทางเหนือแคว้นต่งไห่ที่พี่ใหญ่ดูแล มีสมาชิก300-500 คน เขาต้องเดินทางไปช่วยพี่ใหญ่ที่นั่นบ่อย ๆ ที่นี่มีคนของเขาฝึกอบรมทุกคนอยู่แล้ว อีกอย่างสมาชิกมีแค่ 100 คน
คิดถึงวันที่เขาเดินทางที่นี่มาครั้งแรกนั้น เขามิได้พาคนสนิทมาด้วย อีกอย่างติงเล่อที่เคยทำงานให้พี่ใหญ่ที่สำนักสาขาใหญ่ ได้เดินทางมาล่วงหน้าแล้ว เขาตามทีหลังเพราะพี่สะใภ้เกิดลูก พี่ใหญ่อยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อน ความเห่อลูกของพี่ใหญ่ไม่มีผู้ใดเกินท่าน
เมื่อเยี่ยหลางได้เห็นหน้าหลานชายแล้ว เขารีบเดินทางกับขบวนสินค้าที่เดินทางไปซื้อของกลับมาที่เมืองไห่เสิ่น ในขบวนนั้น เขารู้จักท่านน้าหลี่ฟู่กับฮูหยินหลี่เยว์ ทั้งคู่ดีกับเขามาก
การเดินทางจากทางเหนือของแคว้นต่งไห่ลงมายังเมืองไห่เสิ่นที่อยู่ติดชายแดนใช้เวลาเกือบเดือน แล้วระหว่างกึ่งกลางของแคว้นต่งไห่กับเมืองไห่เสิ่นเกวียนที่บรรทุกสินค้ากลับมีปัญหา เขาเริ่มรู้แล้วว่ายามนี้ขบวนสินค้าถูกล้อมไว้ ซึ่งจำนวนโจรมีมากกว่าผู้คุ้มกันที่มาด้วยกันแน่นอน รวมพ่อค้าและเขาอีกประมาณ 30 กว่าชีวิตได้ แต่โจรมีมากกว่านั้น
“ท่านน้าหลี่ ท่านน้าเยว์ พวกท่านมิต้องกลัว ข้าจะไปช่วยผู้คุ้มกันสินค้า”
“อาเยี่ยเจ้าระวังตัวด้วย“ ยามที่เขาเดินทางมา ทั้งสองคนใจดี แบ่งอาหารและน้ำให้เขาทุกวัน ความจริงที่เขามิได้นำอันใดมาคิดว่าระหว่างพักโรงเตี๊ยมหรือนอนพักในป่า เขาจะหาผลไม้หรือซื้อกินเอง แต่ท่านน้าบอกว่าของกินที่เอามากินระหว่างทางเหลือเฟือ มิจำเป็นต้องออกไปหากินที่อื่น
แล้วสิ่งที่เขาคิดไว้เป็นความจริง โจรมี มี 50 กว่าคน เยี่ยหลางมิรอช้า เข้าร่วมกับผู้คุ้มกันทันที จากนั้นเกิดการต่อสู้ พวกมันใส่ชุดดำอำพรางใบหน้า เสียงดาบฟาดฟันกันอย่างดุเดือด
สิ่งมีชีวิตแถวนั้นต่างหลบไปเพราะเสียงต่อสู้กัน เยี่ยหลางคนเดียวรับมือพวกมัน 4 คน เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามได้ เหตุใดพวกมันมีจำนวนเพิ่มขึ้นเล่า ยามนี้ผู้คุ้มกันเหลือไม่ถึง 10 คนกระมัง โจรชุดดำบางส่วนเริ่มไปค้นเกวียนที่ขนสินค้า ผู้ร่วมเดินทางทุกคนที่อยู่ในเกวียน
เยี่ยหลางรู้ว่าท่านน้ากับภรรยาอยู่ขบวนหน้าสุด เขารีบวิ่งกลับไป เพื่อที่จะให้พวกท่านหนีไป
“ท่านน้า พวกท่านลงมาเถอะขอรับ พวกเราต้องหนีไป พวกโจรมีจำนวนมากเกินไป”
“เจ้าหนีไปเถอะอาเยี่ย น้าต้องนำสินค้าไปลงที่ร้าน น้าจะเฝ้าขบวนสินค้าไว้” หลี่ฟู่นำสินค้าดี ๆ เพื่อมาลงในร้าน ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
“ท่านน้าหลี่ เวลานี่ท่านน้าต้องเลือกระหว่างชีวิตกับสินค้าพวกนี้ ท่านน้าเยว์ช่วยพูดกับท่านน้าทีเถอะ”
“ท่านพี่พวกเรารักษาชีวิตก่อนนะเจ้าคะ ไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยากมีชีวิตกลับไปหาลูก ๆ” หลี่ฟู่เห็นแววตาภรรยาแล้ว เขาตัดสินใจวิ่งเข้าป่าตามที่ชายหนุ่มชี้ทางให้
“ท่านน้าหลี่พาท่านน้าเยว์หนีไปขอรับ ข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้”
“ขอบใจมากอาเยี่ย เจ้ารีบตามน้ามาเล่า…ต้องต้องมิเป็นอันใด”
“ขอรับ ท่านน้ามิต้องห่วง” พอดีโจร 5 คนตามมาถึง เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดอีกครั้ง เสียงดาบฟาดฟันกันดังลั่นป่า พวกมันถูกดาบของเยี่ยหลางฟันไปทีละคน ทีละคน สองคนสองผัวเมียที่วิ่งไปได้มิไกล พวกเขาเป็นห่วงชายหนุ่มที่นั่งเกวียนด้วยกันมาครึ่งเดือน ทั้งคู่ปรึกษากันว่ากลับไปดูอาเยี่ย อีกอย่างเสียงการต่อสู้เงียบไปแล้ว
เยี่ยหลางรับมือพวกมัน 5 คนได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ยามนี้กำลังเขาเหลือน้อยเต็มที หวังว่าท่านน้าจะไปไกลแล้ว เขาจะใช้วิชาตัวเบาตามไป พอหันกลับมา เห็นท่านน้าทั้งสองเดินกลับมาหา สีหน้าดีใจที่เห็นเขาจัดการโจร 5 คนนั้นได้ แต่ทันใดนั้น…
“อาเยี่ย ระวัง…ฉับ” มีดบินตรงมาที่ศีรษะเขา แต่ท่านน้าหลี่รับมีดเล่มนั้นแทนเขา แล้วล้มลงทับร่างเขาไว้
“ท่านพี่……กรี๊ดดดดดด…ฉับ” ท่านน้าเยว์วิ่งมาดูท่านน้าหลี่ แล้วล้มลงข้างเขาอีกคน เขารีบดันร่างท่านน้าออกมา
“ท่านน้า พวกท่านใจเย็น ๆไว้ ข้าขอไปจัดการพวกมันก่อน” โจรที่ปามีดมากันสองคน พวกเขาคงมาตามเพื่อนที่หายไป ดาบที่ข้าฟันพวกมันตายก่อนหน้านั้น ถูกยกขึ้นมาจัดการฟันคอพวกมันสองคนในพริบตาเดียว แล้วรีบกลับมาดูท่านน้า
“ท่านน้าข้าจะไปหาสมุนไพรห้ามเลือด พวกท่านรอสักครู่” มีดปักลงไปโดนเส้นเลือดใหญ่ซึ่งเลือดไหลมิหยุด แต่ท่านน้าหลี่จับมือเขาไว้
“อย่าไปเลยอาเยี่ย ข้ากับภรรยาคงมิได้กลับไปหาลูก ๆ ถ้ามิเหลือบ่ากว่าแรง ข้าฝากเจ้าดูแลเป็นหูเป็นตาพวกเขาแทนข้าด้วย ที่เมืองนี้พวกเรามิมีญาติ แต่ที่แคว้นต่งไห่ข้ามีพี่ชายอยู่ที่นั่น…เจ้าช่วยแจ้งพี่ชายข้าด้วย…ขอบใจสำหรับทุกอย่าง เจ้าเป็นคนดี…ขอบ…คุณ…น้องหญิง พี่ขอโทษที่พาเจ้ากลับไปหาลูกไม่ได้”
“ท่านพี่…วาสนาพวกเรามีแค่นี้ ข้าก็ดีใจมากแล้ว ข้าดีใจที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต…อาเยี่ย เจ้ามิต้องบอกลูก ๆ ของน้าว่าพวกเราโดนอะไรมา น้าขอบคุณที่เจ้าพยายามช่วยน้าสองคน สิ่งที่สามีน้าขอถ้ามันมากเกินไป เจ้าแค่แจ้งให้พี่ใหญ่พวกเราทราบเรื่องก็พอ แต่ยามนี้…เจ้ารีบหนี…ไปเถอะ…อึก”
ท่านน้าเยว์กระอัดเลือดออกมาก้อนใหญ่ ตามด้วยท่านน้าหลี่ มินานพวกท่านสิ้นใจในอ้อมกอดของกันและกัน…
“ท่านน้า พวกท่านหลับให้สบาย ข้ารับปากจะช่วยพวกเขาด้วยวิธีของข้า…ลาก่อนนะขอรับ” ที่เขาต้องรีบไปเพราะเสียงฝีเท้าพวกโจรมันตรงมาที่เขาอยู่
ถ้าท่านน้ามิกลับมาหาเขา อาจจะได้กลับไปหาครอบครัว ถ้าท่านน้าไม่รับมีดแทน คนที่ตายอาจเป็นเขา สิ่งที่เขาทำได้คือติดต่อพี่ชายท่านน้าหลี่ที่อยู่แคว้นต่งไห่ จากนั้นคอยดูแลสองพี่น้องอยู่ห่าง ๆ
เขารู้มาว่าพี่ชายท่านน้าหลี่ได้ขายที่ดิน ซึ่งเป็นของท่านน้าหลี่ที่อยู่ในแคว้นต่งไห่นำเงินมาให้หลาน ๆ เป็นเงินทุนเติมสินค้าในร้าน แล้วนำคนสนิทมาช่วงานที่ร้านหลี่เฟย 1 ปี เมื่อเห็นว่าหลานชายทำได้แล้ว ก็ปล่อยมือนาน ๆ จะติดกัน
ปีที่จะเริ่มสร้างสำนักชางยงที่เมืองไห่เสิ่น เยี่ยหลางสั่งท่านติงเล่อไว้ ของทุกอย่างในสำนักชางยง ให้ไปซื้อที่ร้านหลี่เฟย บางอย่างของไม่มี ก็ให้ทางร้านไปหามา ติงเล่อเข้าใจว่านายท่านอยากช่วยเหลือทายาทผู้มีพระคุณ ท่านบอกคุณชายหลี่ฟานว่า ตัวท่านไม่อยาไปซื้อหลายร้าน มีใบรายการเยอะ ยิ่งปวดหัว ขอให้ร้านหลี่ฟานหาของที่ต้องการมา เขาจะซื้อที่นี่ จึงกลายเป็นร้านที่ขายของทุกอย่าง เช่นทุกวันนี้
ทุกครั้งที่เยี่ยหลางกลับมา เขามักจะแวะไปดูหน้าบุตรสาวของผู้มีพระคุณ นางเป็นตัวของตัวเอง ข่าวลือที่ถูกเล่าขวัญนางมิได้ใส่ใจ เพราะนางมิได้เป็นเช่นที่ถูกล่าวหา แล้วนางหลงรักบุรุษที่ชื่อเหลียงเหว่ย เขาเฝ้ามองดูนางห่าง ๆ ขอให้นางปลอดภัย มีความสุข เขาก็ดีใจแล้ว เยี่ยหลางคิดถึงวันที่ลงไปช่วยนางตกลงไปในบึงบัว
เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เพราะสายตาเขามองแค่นางคนเดียว ก่อนที่นางจะตกลงไป มีคนดีดก้อนหินใส่ขานางอย่างแรง เยี่ยหลางจำหน้าสตรีคนนั้นได้ดี คิดว่าถ้าบุตรสาวผู้มีพระคุณมีอันเป็นไป เขาจะจับนางโยนบึงบัวด้วยตัวเอง
ที่เยี่ยหลางคิดมิถึง คือบุรุษที่หญิงสาวบอกว่ารักนักรักหนา มิโดดลงไปช่วยนางนี่สิ เขาลงไปหางมร่างบางทันที ระหว่างนั้นก็ภาวนาขอให้หานางเจอ เพราะน้ำเย็นเหลือเกิน…สวรรค์ยังเข้าข้างเขา
ระหว่างที่อุ้มนางมา เยี่ยหลางใช้วิชาตัวเบาแล้วสะบัดมือ ชุดที่เปียกกลับแห้ง “หลี่เฟยเฟย เจ้าปลอดภัยแล้ว…” นี่คำพูดที่เขากระซิบบอกนางก่อนที่จะกลับมา จากนั้นห่มผ้าให้นาง แล้วกระโดดออกมาทางหน้าต่าง
ความจริงข้าเตรียมองครักษ์ให้นางนานแล้ว แล้วพยายามให้คนของข้าสอดส่องว่าเมื่อไรคุณชายหลี่จะมาซื้อตัวองครักษ์ ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง มู่ชงกับจางเว่ยเป็นคนของข้า มีพวกเขาอยู่ข้างนาง ข้ามิต้องห่วงสิ่งใดแล้ว…
ยามเย็นที่ตลาด
“หืมมม…จริงหรือ…คุณหนูหลี่เฟยเฟยช่างน่าสงสารยิ่ง…” แม้ค้าคนที่ 1
“นางทำตัวของนางเองทั้งนั้น…มิเห็นจะน่าสงสารนางเลย” แม่ค้าคนที่ 2
“ก็นางเพิ่มเจอเรื่องหนักหนามา พอฟื้นไข้ถูกคุณช่วยเหว่ยบอกยกเลิกการหมั้นหมายที่จะถึงนี้…มันเกินไปสำหรับลูกผู้หญิงคนหนึ่งเลยนะ” คนที่ 1
“คุณชายเหลียงเหว่ยคงเหลืออดแล้วกระมัง” คนที่ 2 ชื่อนางกิงลั้งที่ปิดร้านเดินมาสมทบด้วยคน
“เป็นข้านะ ถ้าถูกยกเลิกการหมั้นหมายเช่นนี้ ข้ามิกล้าออกจากบ้านหรอกมิกล้ามองหน้าผู้คนด้วย”
“มิแน่นะ ยามนี้คุณหนูหลี่เฟยเฟยอาจอาละวาดใส่บ่าวไพร่อยู่ก็เป็นได้” นางฉวี๋เดินตามหลังนางกิงลั้ง พวกนางเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่มีข่าวคุณหนูหลี่เฟยเฟยถูกคุณชายเหลียงเหว่ยปฎิเสธการหมั้นหมายที่จะเกิดขึ้นหลังปักปิ่นซึ่งอีกไม่กี่เดือนนี้
ทุกวันยามเย็นพวกนางจะรีบกลับบ้าน แต่วันนี้เหมือนมีเรื่องเล่าสนุก แต่ละคนลืมกลับบ้านกลับช่องเพราะมัวแต่พูดถึงเรื่องที่คุณหนูผู้เอาแต่ใจ ถูกคู่หมายยกเลิกการหมั้นหมาย สีหน้าแม่ค้าทุกคนเหมือนดีใจ ที่นางถูกปฏิเสธ…หากรู้ไม่ว่าคนที่พวกนางพูดถึงกำลังอยู่ในครัว ทำน้ำจิ้มกับบ่าวไพร่อย่างสนุกสนาน……
คราแรกที่นางเดินมาบอกว่าขอใช้ครัว ป้าฮวากับพ่อครัวต่างทำหน้าเลิกลั่ก คุณหนูมิเคยเข้าครัวเอง แต่จะมาตรวจโรงครัวเดือนละครั้ง ของแห้งอันใดที่หมดไปจะจดไว้ ให้เงินพ่อครัวไปซื้อมา แต่วันนี้มาบอกว่าจะกินหมูจุ่มแล้วจะทำด้วยเอง จะทำเผื่อให้ทุกคนด้วย เกิดอะไรขึ้น…ทุกคนในจวนยังมิรู้เรื่องที่นางเหลียงซิงมาขอยกเลิกการหมั้นหมาย มีแค่นาง พี่จิงจิงและอีกคนคือสุ่ยปิง ที่ออกไปปล่อยข่าว…
“มาแล้วเจ้าค่ะ…เอ๊ะ…คุณหนูเข้าครัวเองหรือเจ้าคะ” สุ่ยปิงหิ้วหมูเนื้อแดงมา 6 ชั่งได้มั้ง พอนางเข้ามาในโรงครัวเจอคุณหนูกับสาวใช้ข้างกายนำข้าวสารมาคั่ว ข้าง ๆ มีมะขามแช่น้ำไว้ แลัวยังมีวัตถุดิบแปลกตาอีกหลายอย่าง ยามนี้นางอารมณ์ยิ่งเพราะเรื่องที่นางไปเล่าเรื่องที่คุณหนูถูยเลิกการหมั้นหมายในตลาด มีแต่ผู้คนสนใจมายืนฟังนาง
“หรือเจ้าคิดว่าข้ามาอาละวาดในครัว” สุ่ยปิงรีบหลบสายตา เหตุใดคุณหนูเดาความคิดนางได้เล่า
“ปะ เปล่าเจ้าคะ…ข้าขอตัวนะเจ้าคะ” นางกับจิงจิงมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นให้บ่าวชายนำเนื้อหมูไปล้าง แล้วให้หั่นตามที่นางสอนพวกเขา ส่วนนางเตรียมส่วนผสมหมูหมัก ส่วนผสมน้ำซุปและน้ำจิ้มแจ่วมะขามเปียก คนอื่นก็เตรียมผักสดมาล้างให้สะอาด โชคดีที่วัตถุดิบมีครบ
“พวกเจ้าทุกคนดูไว้ วันหลังอาจได้กินหมู่จุ่มบ่อยขึ้น” ก็เป็นของโปรดของนางนี่นา นางไปตลาดสังเกตเห็นผักแต่ละอย่างอุดมสมบูรณ์ นางมั่นใจ 100% ว่าที่นี่ไม่ใช้สารพิษในการเพาะปลูก
วันนี้หลังจากที่แยกจากกับน้องสาว หลี่ฟานไปหาท่านติงเกอแล้วกลับมาที่ร้าน วันนี้มีสินค้ามาลง เขาจัดของเข้าร้านและขายของไปด้วยจนมืดค่ำ ระหว่างทางกลับจวน
“อาจงข้าจะแวะซื้อขนมที่เฟยเอ๋อร์ชอบ เจ้าจะเอาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ขอรับ ข้าขอไปกินข้าวฝีมือท่านป้าฮวาดีกว่า ให้ข้าลงไปซื้อให้ไหมขอรับคุณชาย”
“มิต้อง เจ้าดูม้าของข้าไว้” อาจงพูดไปอย่างนั้นแหละ อันใดที่ทำเพื่อคุณหนู ถ้ามิจำเป็นคุณชายจะทำเอง หลี่ฟานลงจากหลังม้า เดินไปที่รถลากขายขนมพันชั้น(ขนมเครปเค้ก)เป็นขนมที่น้องสาวชอบกิน แต่สตรีที่ยืนก่อนหน้าเขาสามคนคุยเรื่องที่น้องสาวถูกครอบครัวฝ่ายคุณชายเหลียงเหว่ยมายกเลิกการหมั้นหมายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี่
หลี่ฟานเดินหันกลับไปขี่ม้า แม้น้องสาวพูดว่าจะตัดใจและเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เขาก็อดเป็นห่วงนางมิได้ ชายหนุ่มหวังว่าน้องสาวจะไม่ร้องไห้ฟูมฟาย เขามิอยากให้นางเสียน้ำตาให้บุรุษผู้นั้นอีกแล้ว
อาจงได้ยินที่ชาววบ้านคุยกัน เขาก็อดเป็นห่วงคุณหนูมิได้ แม้นางจะทำตัวเข้มแข็ง แต่ภายในใจอาจปวดร้าวก็ได้ พวกเขาควบม้ารีบกลับจวน
“พี่ใหญ่ อาจง รีบมานั่งนี่ หมูจุ่มอร่อยยิ่งเจ้าค่ะ” ทันทีที่เก็บม้าพวกเขารีบมาที่เรือนน้องสาว แต่ที่หน้าระเบียงกลับมีหม้อตั้งบนเตา กลิ่นหอมจนพวกเขาต้องกลืนน้ำลาย ที่สำคัญใบหน้างดงามกำลังมีความสุขกับการกิน…