บทที่9ฉลอง
สีหน้าพี่ใหญ่กับอาจงดูร้อนรน หรือพวกเขาได้ยินคำข่าวลือเรื่องของนาง หรือไม่พวกเขาหิวมาก ข้ารีบหลบทางให้ทั้งคู่มานั่งกินหมูจุ่มด้วยกัน ส่วนบ่าวไพร่คนอื่น ๆกินรวมที่ห้องครัว ความจริงข้าชวนองครักษ์มู่กับองครักษ์จางมากินด้วยกัน แต่พวกเขาสองคนบอก่าจะกินหมูจุ่มกับท่านพ่อบ้านโจว โชคดีที่หมูในครัวมีมากพอ เพราะแค่สุ่ยปิงซื้อมาคงไม่พอสำหรับทุกคน…
“เร็วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ อาจงด้วย” ข้ากับพี่จิงจิงนำถ้วยกับตะเกียบยื่นให้ แต่ทั้งคู่ทำสีหน้างงงวย ข้าเพิ่งนึกได้พวกเขาสองคนมิเคยกินหมูจุ่มมาก่อน จากนั้นข้าสอนพี่ใหญ่กับท่านจงกินหมูจุ่ม พี่จิงจิงมีหน้าที่ตักหมูใส่ลงไปในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน ๆ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณหน้าระเบียงเรือนของข้า
อากาศเย็น ๆ น้ำจิ้มแจ่วแซ่บ ๆ น้ำซุปร้อน ๆ ช่างเข้ากับรรยากาศยามเย็นเหลือเกิน พี่ใหญ่กับอาจงนำผักกาดขึ้นมาวางหมูจุ่มที่สุกม้วนเป็นก้อน แล้วจุ่มผักกาดแก้ว ที่ข้างในมีหมูนุ่มลงไปในน้ำจิ้ม แล้วนำเข้าปากตามด้วยซุปน้ำกลมกล่อม คำแล้วคำเล่า พวกเขาสองคนบอกว่ามิเคยได้กินเนื้อที่นุ่มเช่นนี้มาก่อน แล้วน้ำจิ้มที่มีหลายรสก็เป็นครั้งแรกด้วย เป็นการกินข้าวที่มิมีข้าวอยู่ด้วย แต่พวกเขากินด้วยความเอร็ดอร่อย
“เฟยเอ๋อร์ แล้วองครักษ์ทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง ยามนี้พวกเขาไปไหนแล้ว” หลี่ฟานพยายามมองหาองครักษ์มู่กับองครักษ์จาง ว่าทั้งคู่อยู่ที่ใด เมื่อนั่งกินหมูจุ่มไปสักพักก็มิเห็นสองคนนั้น
“พวกเขาไปนั่งกินหมูจุ่มกับท่านพ่อบ้านโจวเจ้าค่ะ พี่ใหญ่มีอันใดหรือ”
“มิมีหรอก พี่ขอถามเจ้าตรง ๆ พวกเขาทำอันใดมิพอใจเจ้า บอกพี่ได้นะ…พี่จะให้พวกเขาไปทำงานในร้าน แล้วพี่จะหาใหม่ให้ จนกว่าน้องพี่จะพอใจ”
“พี่ใหญ่…มิได้นะเจ้าคะ…น้องว่าพวกทั้งสองคนนี้ดีแล้ว ดูพวกเขาเว้นระยะห่างกับน้อง ให้เกีรยติน้องด้วย” พี่ชายที่เป็นทาสน้องจะเป็นเช่นนี้ทุกคนไหมนะ…
“พี่ได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจ…คราแรกพี่กังวลว่าน้องพี่อาจอึดอัดไม่ชอบสองคนนั้น” ข้าได้แต่ยิ้มรับแล้วขอบคุณที่พี่ใหญ่เป็นห่วงใส่ใจข้าขนาดนี้
ยามนี้ข้ากับพี่จิงจิงอิ่มแล้ว ทำหน้าที่จุ่มหมูให้พวกเขาสองคน แล้วนางคุยเรื่องที่ท่านป้ามาหานางให้พี่ชายฟัง
“พี่ใหญ่มิต้องทำหน้าเช่นนั้น ข้ามิได้เสียใจ ที่พี่ใหญ่กินหมูจุ่มนี่เป็นการฉลองที่ข้ามิได้เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ…คราแรกที่พี่ได้ยินข่าว เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก พี่รีบกลับมามิได้ซื้อขนมมาให้…เจ้าโตแล้วจริงๆเฟยเอ๋อร์…ท่านพ่อ ท่านแม่มิต้องเป็นห่วงเฟยเอ๋อร์แล้วนะขอรับ” ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดานให้น้องสาวเปลี่ยนใจ หลี่ฟานไม่ได้พูออกไป แต่เขามองดูดาวตกบนท้องฟ้า เชื่อว่าคำขอของเขาเป็นความจริง
“การกินหมูจุ่มพร้อมกับเรื่องราวดี ๆ เป็นสิ่งที่พี่มีความสุขยิ่งนัก เฟยเอ๋อร์ พี่อยากให้ลูกน้องที่ร้านพี่ได้กินบ้าง ต้องทำอย่างไรหรือ”
“พี่ใหญ่ช่างเป็นเจ้านายที่รักลูกน้องยิ่ง…ข้ากับพี่จิงจิงจะไปทำให้ที่ร้านเลย พี่ใหญ่แจ้งวันมาเถอะ แล้วรู้ไว้ด้วย ว่าการกินหมูจุ่มจะเยียวยาทุกสิ่งอย่างเจ้าค่ะ”
“หืมมม…เยียวยาทุกอย่างเลย 5555 ขอบใจมากน้องรัก ความจริงเจ้าชมพี่เกินไปแล้ว คือ ที่ผ่านมาพี่มิเคยเลี้ยงพวกเขาหรอก แต่ที่พี่อยากเลี้ยงพวกเขาเพราะเป็นสูตรอาหารที่น้องสาวพี่คิดขึ้นมาต่างหาก…” ข้ามองบน นี่พี่ใหญ่ท่านจะอวยยศข้าท่านไปถึงไหน…
“แล้วพี่จะฉลองที่มิต้องฝืนใจเป็นสหายใครบางคน” อันนี้อาจงรู้ว่าคุณชายใหญ่หมายถึงใคร
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ต้องฉลองวันที่ข้าไปทำงานที่ร้านนะเจ้าคะ น้องกับพี่จิงจิงจะเป็นคนเตรียมทุกอย่างให้”
“อืม…เอาเช่นนั้นก็ได้…ขอบใจมากเฟยเอ๋อร์” ภายภาคหน้าทุก ๆเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้น พวกเขาจะฉลองกันด้วยการกินหมูจุ่ม…
ไม่นานท่านพ่อบ้านนำสุรามาให้พี่ใหญ่ บอกว่าองครักษ์มู่กับองครักษ์จาง ขอตัวไปพักที่ห้องแล้ว พ่อบ้านพาทั้งคู่ไปที่เรือนนอนก่อนที่จะมาที่นี่ นางกับพี่จิงจิงขอตัวกลับห้อง เพราะกินอิ่มมาสักพักแล้ว อีกอย่างพี่ใหญ่บอกว่านางโดนน้ำค้างนานมิได้ สุดท้ายปล่อยให้บุรุษกินหมูจุ่มต่อไป พ่อบ้านโจวเรียกบ่าวชายอีก 1 คนมาคอยดูแลพี่ใหญ่กับอาจง
หลังจากที่ข้ากับพี่จิงจิงเข้ามาในห้อง คุยกันว่าพรุ่งนี้ที่จะนำชุดไปให้เด็ก ๆ แล้วจะเอาเสี่ยวหลงเปาไปแจกทุกคนด้วย พี่จิงจิงบอกว่ามีร้านหนึ่ง ทำเสี่ยวหลงเปารสชาติดียิ่ง พรุ่งนี้เช้าจะแวะไปที่ร้านนั้น แล้วค่อยไปที่ท้ายตลาด
“คุณหนู ปานนี้เกิดขึ้นเมื่อไรเจ้าคะ” พอน้ำที่ต้มเดือดแล้วพี่จิงจิงผสมน้ำเย็นให้ แล้วถอดชุดให้นาง ยังไม่ทันที่นางจะบอกพี่จิงจิงว่านางจะอาบน้ำคนเดียว พี่จิงจิงดันเห็นปานที่เป็นรูปดอกบัวเสียก่อน
“ข้าตื่นขึ้นมาก็พบว่าอยู่ที่แขนซ้ายแล้วเจ้าค่ะ” สีหน้าพี่จิงจิงจ้องมองปานดอกบัวที่แขนซ้าย แววตาตื่นเต้นดีใจ
“คุณหนู มันช่างงดงามเหมือนชีวิตเลยเจ้าค่ะ หรือที่บึงบัวหลวงจะมีอาถรรพ์เจ้าคะ…แบบว่าผู้ที่ตกลงไปจะมีปานดอกบัวติดตัว”
“หึ…เช่นนั้นพี่จิงจิงลองโดดลงไหมเล่า…” ข้าพูดเล่นแล้วส่งยิ้มให้นาง
”มิเอาเจ้าค่ะ…บุรุษที่ไหนจะลงไปช่วยพี่เจ้าคะ…พูดแล้วก็นึกถึงคุณชายที่ลงไปช่วยคุณหนู…หรือคุณชายที่ใส่หน้ากากเงินจะเป็นเนื้อคู่ของคุณหนูเจ้าคะ”
“คริ คริ คริ เนื้อคู่อันใดกันเล่า…ช่างเถอะพี่จิงจิง…ดู ๆแล้วข้าก็ชอบปานนี้มิน้อย” ชอบมากต่างหาก ฮวาฮวาน้อยน่ารักน่าชัง แถมยังมีอีกกลีบให้ข้าได้ค้นหาพรที่ซ่อนอยู่ในกลีบเหล่านั้น แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว รอประเดี๋ยวนะฮวาฮวาน้อย
“แล้วจะบอกคุณชายใหญ่ไหมเจ้าคะ”
“มิต้องบอกหรอก ประเดี๋ยวพี่ใหญ่จับข้ากินยาอีก พี่จิงจิงรู้คนเดียวก็พอ”
“ตามใจคุณหนูเจ้าค่ะ มาพี่ถอดชุดให้นะเจ้าคะ” ข้ารีบยกมือกอดอก
“คือ…ต่อไปนี้ข้าจะอาบน้ำคนเดียว…พี่จิงจิงก็ไปอาบน้ำเถอะ”
“คุณหนู ที่ผ่านมาพี่สระผม ถูหลังให้ แล้ว…” นางยิ้มให้คนตรงหน้าเหมือนพี่จิงจิงจะน้อยใจที่มิได้ดูแลปรนนิบัตินางอย่างเช่นทุกวัน
“ข้าจะลองทำสิ่งต่าง ๆ เองเจ้าค่ะ…ในเมื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ขอลองทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้ามิได้ ข้าจะเรียกพี่จิงจิงนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นพี่เป็นกำลังใจให้คุณหนู งั้นพี่ไปทำธุระก่อนนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณพี่จิงจิง”
ครอบครัวเหลียง
หลังจากที่นางกลับมาจากจวนหลี่เฟย ฮูหยินเหลียงซิงกลับสงสารหญิงสาว เพราะระหว่างทาง นางได้ยินผู้คนซุบซิบนินทาเฟยเอ๋อร์ตลอดทาง นางสงสัยว่าผู้ใดกันที่ปล่อยข่าวนี้ ทั้ง ๆ ที่นางออกไปมิให้ผู้ใดทราบ นางยิ่งรู้สึกผิด…แล้วเฝ้ารอว่าเมื่อไรบุตรชายจะกลับมาจากที่ทำงาน
“ท่านพี่…แล้วอาเหว่ยมิมาด้วยหรือเจ้าคะ” นางเห็นสามีเดินเข้ามาในจวน แต่มิเห็นบุตรชายที่รอคอย นางตั้งใจจะบอกบุตรชายให้ไปขอโทษเฟยเอ๋อร์ด้วยตัวเขาเอง อย่างน้อยภายภาคหน้าต้องพบเจอกันอีก
“ระหว่างทางเห็นคุณหนูลี่มี่มาซื้อของกับบ่าว อาเหว่ยเลยเดินไปส่งนางที่จวน ฮูหยินมีอันใดหรือ…เหตุใดใบหน้าเจ้าซีดเซียวเช่นนี้เล่า”
“ท่านพี่ข้ามิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกผิด…ท่านพี่ได้ยินข่าวลือแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” สามีนางพยักหน้า เมืองไห่เสิ่นมิได้ใหญ่โต เกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็รู้กันหมด ยิ่งเป็นเรื่องมิดี ยิ่งชาวบ้านชอบพูดคุยกัน
“เฟยเอ๋อร์น่าสงสารมิน้อย แล้วนางว่าอย่างไรบ้าง”
“นางมิได้โวยวายหรือร้องไห้ฟูมฟายเจ้าค่ะ…นางเข้าใจ แล้วบอกว่าจะกลับมารักตัวเอง”
“นางพูดเช่นนี้หรือฮูหยิน” เหลียงเห่อเองก็คิดมิถึง ว่าหญิงสาวจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ โบราณว่าไว้ คนเราจะคิดได้เมื่อความตายเกือบพลาดเอาชีวิตไป เฟยเอ๋อร์คงเป็นหนึ่งคนในนั้นกระมัง
เหลียงเห่อให้อิสระบุตรชายในการเลือกคู่ครองเพราะเขาเคยถูกบิดามารดาบังคับให้แต่งงานกับญาติสนิท ทำให้เขาพาภรรยาหนีมาที่นี่ แล้วสร้างเนื้อสร้างตัว จนกลายเป็นเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชและรับซื้อธัญพืชจากชาวบ้านที่นำมาขายให้ที่ร้านเหลียง…
ทางด้านคนที่มารดารอการกลับมาของเขา
“มี่เอ๋อร์ พี่ได้ยินว่าวันนี้จะมีดาวตก เจ้าสนใจจะไปดูดาวกับพี่ไหม” คุณหนูลี่มี่ให้บ่าวกลับไปก่อน แล้วให้บอกมารดาว่าประเดี๋ยวคุณชายเหว่ยจะไปส่ง แต่ระหว่างทางคุณชายเหว่ยชวนนางแวะทานบะหมี่ที่ร้านโปรดของเขา
ลี่มี่ยิ้มเอียงอาย นี่คุณชายชวนไปดูดาวตกอย่างนั้นหรือ หัวใจนางพองโต แกล้งทำเป็นอยากไป แต่บอกว่ามารดาเป็นห่วงยิ่ง…มิให้กลับจวนดึก
“พี่จะไปส่งเจ้าเอง ที่นี่เจ้าตกลงจะไปดูดาวกับพี่ไหมเล่า” นางค่อย ๆพยักหน้า วันนี้นางมีแต่เรื่องดีเข้ามา ๆ สุ่ยปิงบอกว่ามารดาคุณชายเหว่ยไปยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างหลี่เฟยเฟยกับคุณชายเหว่ย นางได้ยินแล้วถึงกับยิ้มกว้าง แล้วยามนี้คุณชายเหว่ยยังชวนนางไปดูดาวตกอีก สิ่งที่นางพยายามมา 2 ปี วันนี้นางทำสำเร็จแล้ว ปานนี้หลี่เฟยเฟยคงอาละวาดฟวดหัวฟาดหางใส่บ่าวไพร่ไปแล้วกระมัง
“เจ้าค่ะคุณชายเหว่ย” ที่ผ่านมาเหลียงเหว่ยเปรียบเทียบสตรีสองคนที่เข้ามาในชีวิตเขา พวกนางแตกต่างกันมากโข ในสายตาเขา คุณหนูลี่มี่คือสตรีที่เพียบพร้อม แม้ว่ามารดาของนางจะเป็นอนุ แต่กริยามารยาท การวางตัวและเข้าอกเข้าใจดีกว่าหลี่เฟยเฟย สำหรับหลี่เฟยเฟยนางทั้งจุ้นจ้าน เอาแต่ใจ อันใดมิถูกใจ นางไปฟ้องมารดา นานวันเข้า หลี่เฟยเฟยมิได้อยู่ในสายตาเขา มีแต่คุณหนูลี่มี่ที่นับวันอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่เหว่ยเถอะ พวกเรารู้จักกันมา 2 ปีแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้าค่ะพี่เหว่ย” เหลียงเหว่ยยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูลี่มี่คือคนที่เขาอยากฝากชีวิตด้วย กิริยามารยาทนางอ่อนหวาน ดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากเขา นางคือคนที่เข้าใจเขามากที่สุด ยามโพล้เพล้เต็มที ทั้งคู่นั่งบนหลังม้า ขึ้นมาตรงเนินสูงที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนใช้เวลาครึ่งชั่วยามได้
“ตรงนี้หรือเจ้าคะ ข้ามิเห็นดาวตกเลย” บนเนินสูงถ้าเป็นกลางวันมองลงไปจะเห็นเมืองไห่เสิ่นทั้งหมด แต่ยามกลางคืน จะมืดมิด จะมีแค่บางจุดที่ยังมีตะเกียงส่องแสง น่าจะเป็นเหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยม
“พวกเราต้องรอสักครู่มี่เอ๋อร์ หรือเจ้ามิอยากนั่งบนหลังม้าแล้ว” ยามนี้นางอยู่ในอ้อมกอดชายหนุ่มเรียบร้อย ถ้ารออีกนาน นางกลัวว่าชายหนุ่มจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมคราม จึงขอลงไปเดินเล่น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ…พี่เหว่ย” เหลียงเหว่ยอุ้มนางลงมา ยามที่ลมหายใจสัมผัสกัน ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมจากหญิงสาว เขาสูดดมเข้าไปเต็มปอด เกิดความปรารถนาบางอย่างขึ้นมา แล้วเฝ้ารอว่าเมื่อไรนางจะปักปิ่นสักที
“เจ้ารอพี่ประเดี๋ยว” เหลียงเหว่ยนำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ จากนั้นขึ้นมาบนเนิน นำเสื้อคลุมของตัวเองมาปูลงบนทุ่งหญ้า
“มาตรงนี้สิมี่เอ๋อร์ ต้องรออีก 1 เค่อกระมัง ถึงจะเห็นดาวตก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่เหว่ย”
“วันนี้เจ้าขอบคุณพี่หลายรอบแล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นมิได้หรือ” รอยยิ้มที่ชายหนุ่มส่งมาให้ หญิงสาวสบตาแล้วเขินอาย ต้องหลบสายตาที่เหมือนเชิญชวนนางให้เข้าไปหา… แล้วนางต้องสะดุ้ง เมื่อตกอยู่อ้อมกอดเขา
“พี่ว่าลมแรงมิเบา เจ้าขยับมานั่งใกล้ ๆ พี่เถอะ” ท่ามกลางแสงจันทร์ มีหนุ่มสาวนั่งรอดูดาวตกบนเนินสูง ระหว่างรอดูดาว ชายหนุ่มจะคลอเคลียใบหน้านวลเนียนไปด้วย แล้วหญิงสาวเองก็ยินยอมพร้อมใจกัน
“มี่เอ๋อร์ พี่มิได้มีความเกี่ยวข้องกับหลี่เฟยเฟยแล้ว พี่จะขอดูแลเจ้าได้ไหมเล่า”
“พี่เหว่ยแน่ใจหรือเจ้าคะ”
“ยิ่งกว่าแน่ใจอีก…พี่มิมีพันธะกับนางแล้ว พี่ถึงพูดกับเจ้า ว่าอย่างไรคนดี เจ้าจะยอมให้พี่ได้ดูแลเจ้าไหมเล่า”
“ถ้าพี่เหว่ยเห็นว่าข้าคู่ควรกับท่าน ข้ายินดีเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณมี่เอ๋อร์…อีก 3 เดือนเจ้าจะปักปิ่น พี่จะส่งแม่สื่อไปวันนั้นเลยได้ไหม”
“แล้วแต่พี่เหว่ยเจ้าค่ะ…แต่พี่เหว่ยควรไปพบท่านพ่อกับแม่ใหญ่ข้าก่อนนะเจ้าคะ”
“มิมีปัญหาเด็กดี…เช่นนั้นพี่ขอมัดจำรางวัลก่อนที่เราจะแต่งงานกัน…ได้ไหมเล่า”
บนเนินสูงมีบุรุษกับสตรีกำลังกอดจูบกันท่ามกลางแสงจันทร์ หากรู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งยืนมองพวกเขาอยู่…………