“ใช่ ฉันชื่อกล้าตะวันไม่ใช่ไอ้หน้าโง่ที่ไหนหรอก บอกมา เธอรับเงินจากแม่ฉันมาแล้วใช่ไหม ยัยผู้หญิงหน้าเงิน”
“คะ คุณรู้แล้ว”
“เออ ฉันรู้แล้ว ฉันหลงคิดว่าเธอชอบฉัน เหมือนที่ฉันชอบเธอ ที่ไหนได้ เธอตั้งใจมาหลอกฉันตั้งแต่แรก แล้วทำไมไม่บอกฉันละ ฉันให้เธอได้มากกว่าที่เอาไปจากแม่ฉันอีก”
“คุณเข้าใจถูกแล้วค่ะ ฉันมันแค่คนหิวเงินเท่านั้น”
มัดมุกตอบเสียงแหบ พลางเชิดหน้าขึ้น ประสานสายตากับกล้าตะวัน
“ฮ่าๆ ผู้หญิงอย่างเธอ มีอะไรดีอะไรนะ คนอย่างฉันถึงต้องลดตัวลงไปเกลือกกลั้วด้วย!!” เสียงที่แฝงไว้ด้วยความทระนงกับแววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังพุ่งตรงมาที่เธอ
มัดมุกฝืนยิ้ม “นั่นสิคะ ทำไมละคะ” เสียงของเธอแหบแห้ง แต่ความเสียใจทั้งหมดถูกซ่อนไว้ภายในใจ เธอฝืนเชิดหน้ายิ้มหยันให้ตัวเอง
“อะไรทำให้ฉันโง่ มองเธอเป็นนางฟ้าได้วะ” กล้าตะวันพึมพำ
เขาหมุนตัวกลับ “ต่อไปนี้ หากเจอกัน ไม่ต้องยิ้มให้ หรือทำเหมือนว่าเราสองคนเคยรู้จักกันเลยนะ ฉันไม่อยากเลวมากไปกว่านี้ในสายตาเธอ” เสียงของเขาห่างเหินเย็นชาจนมัดมุกหนาวไปทั้งไขสันหลัง
“ค่ะ” เธอตอบสั่นๆ มองแผ่นหลังเหยียดตรงที่ขยับห่างไปทุกทีผ่านม่านน้ำตาที่ไหลเออ “ลาก่อนค่ะ รักแรกของมุก”
หนทางของเธอกับเขาไม่ควรเป็นเส้นทางเดียวกันตั้งแต่แรก เธอเดาตอนจบได้ตั้งแต่วันแรกที่ยอมรับความรักจากเขา และวันที่ต้องแยกจาก....ก็มาถึงเร็วกว่าที่คิด
กล้าตะวันโมโหจนหน้ามืด แต่เพราะวันนี้บิดา มารดามองอยู่ เขาเลยไม่อยากอาละวาดให้ท่านทั้งสองคนตกใจ กล้าตะวันเดินกระแทกเท้ากลับเข้าห้องนอน เขาปิดประตูดังโครม แรงกระแทกนั่นสะเทือนไปถึงหลังคา
“ฉันไม่ได้โง่โว้ย!!” หลังหยิบหมอนมาปิดหน้า กล้าตะวันก็ตะโกนสุดเสียง แต่เสียงที่ผ่านหมอนขนเป็ดออกมาดังแค่อู้ๆ อี้ๆ เท่านั้นคนทั้งบ้านวรรธนะภูดิษฐ์เลยไม่ตื่นตกใจมากนัก
พอเวลาผ่านไปสักพัก อารมณ์ที่ปะทุค่อยๆ ลดลง กล้าตะวันกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน เขาเดินไปที่หน้าต่าง แย้มชายผ้าม่านมองลงไปที่บ้านหลังเล็กของป้าพะยอมกับมัดมุก
มีรถบรรทุกสี่ล้อคันเล็กจอดอยู่ ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรงกำลังช่วยมัดมุกยกเก้าอี้ขึ้นไปไว้หลังรถยนต์ กล้าตะวันมองเลยเข้าไปในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ถูกขนขึ้นไปบนรถบรรทุกแล้ว ที่เหลือด้านล่างก็มีแค่กล่องกระดาษสีน้ำตาลไหม้
“เธอต้องการจะไปสินะ” กล้าตะวันพึมพำ
เขารู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในใจ
ความรักของเขาพังทลายลงแล้ว เพราะว่ามัดมุก เห็นแก่เงินมากกว่าความรู้สึกดีๆ ที่เขามอบให้
“ตามใจ นับจากวันนี้ ฉันจะไม่รักใครอีกแล้ว” กล้าตะวันพึมพำแล้วก็ถอยหลังกลับไปนั่งที่เดิม
มัดมุกแหงนมองบานหน้าต่าง จุดที่เป็นห้องนอนของลูกชายของบ้านหลังนี้ เธอยกมือปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว ความรักของเธอจบลงแล้วสินะ ความรักในวัยสิบแปดปีจบลงแบบพังทลายไม่เหลือแม้แต่เศษซากความรู้สึกดีๆ
“ลาก่อนค่ะ” มัดมุกยิ้มเซียวๆ ใช้หลังมือปากคราบน้ำตาครั้งสุดท้าย
พะยอมทิ้งตัวนั่งด้านข้าง “ออกรถเถอะ เราควรไปได้แล้ว” มือหยาบๆ วางทับหลังมือมัดมุกและบีบเบาๆ “เธอทำดีแล้ว ตอนที่เธอโตกว่านี้ เธอคงหายเศร้าไปแล้วละ” เป็นคำปลอบใจที่ตรงที่สุด วันนี้เธออาจฟูมฟาย แต่ในอนาคตความเจ็บปวดเช่นนี้จะหายไป
“มุกขอโทษนะคะป้า” มัดมุกพึมพำ
พะยอมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หันมายิ้มเซียวๆ ให้หลานสาวอาภัพ “เธอไม่ได้ผิดอะไรนี่ การที่เธอตัดสินใจแบบนี้ ก็แสดงว่าสิ่งที่ฉันเคยสอนเธอจำได้”
มัดมุกก้มหน้าลงสะอื้นเงียบๆ
“จากนี้ไป ลืมซะให้หมด ยังไงเขากับเธอ ก็ไม่เหมาะกันตั้งแต่แรก” พะยอมพูดย้ำ แม้จะรู้ว่าตนเองกำลังราดน้ำเกลือลงบนแผลสดๆ และทำให้หลานสาวเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว
สองป้าหลานนั่งนิ่งๆ ไปตลอดทาง ไม่มีใครปริปากพูด ยิ่งรถบรรทุกเคลื่อนที่ห่างบ้านวรรธนะภูดิษฐ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนคนหัวใจสลายมากขึ้น
เกือบสี่ชั่วโมงสำหรับการเดินทางออกจากเมืองใหญ่
ถนนค่อนข้างโล่ง คงเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุดการจราจรเลยไม่ติดขัด แม้คนขับจะใช้ความเร็วปานกลาง ในที่สุดสองป้าหลานก็มาถึงที่หมายตอนเกือบห้าทุ่ม
“ผมคิดว่าจะมาถึงดึกกว่านี้เสียอีก” คนขับชวนคุยระหว่างที่ช่วยกันยกของหลังรถลงวางที่พื้น
“แล้วจะกลับเลยเหรอ ไม่ดึกเกินไปเรอะ ยังไง ค้างที่นี่ก่อนก็ได้นะ” พะยอมเปรย เวลาค่อนข้างดึก การขับรถกลับคนเดียวอาจมีอันตรายเกิดขึ้น อีกอย่างพะยอมรู้จักกับคนขับรถเป็นอย่างดี เคยเห็นหน้ากันมาเกือบสิบปี รู้จักบ้านของเขา รวมทั้งภรรยาของเขาด้วย
“ไม่ดีกว่า แม่อีหนูจะเป็นห่วงหนักกว่าเก่านะสิ อีกอย่างนะแม่ยอม ถนนโล่งๆ ตอนดึกแบบนี้ ฉันขับรถแปบเดียวก็ถึงกรุงเทพฯ แล้ว”
“มุก ขึ้นไปเปิดในบ่ายสิ กุญแจนี่ ป้าจะช่วยตาเพิ่มยกของก่อน” พะยอมส่งกุญแจบ้านให้หลานสาว ความมืดรอบตัวทำให้มองเห็นไม่ชัดอย่างน้องมีแสงไฟสักนิดก็น่าจะสะดวกขึ้น
“ทำไมย้ายมาไกลขนาดนี้ละแม่ยอม”
พะยอมฝืนยิ้ม “มุกมันสอบติดวิทยาลัย’ ที่นี่น่ะสิ”
มหาวิทยาลัยนเรศวรแม้จะอยู่ไกลเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ แต่ก็มีชื่อเสียงไม่น้อย
“อ้าว งั้นเรอะ ดีจัง หลานสาวแม่ยอมขยันแล้วก็เรียนเก่งอีกสักสองสามปี แม่ยอมก็สบายแล้ว”
พะยอมไม่ได้ตอบ หากมัดมุกไม่มีเรื่องให้สะดุด อนาคตของมัดมุกคงสดใสเหมือนที่เพิ่มพูด พะยอมผ่อนลมหายใจ มัดมุกเป็นเด็กเข้มแข็ง อีกไม่นานมัดมุกก็คงทำใจได้
“ป้าคะ นี่บ้านใครเหรอคะ” มัดมุกกระซิบถาม
“มุก บ้านหลังนี้ป้าซื้อไว้นานแล้ว ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่” เงินเก็บก้อนใหญ่ที่พะยอมเจียดไว้ซื้อที่อาศัยสำหรับตัวเอง แม้จะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะได้มาใช้ชีวิตหลังเลิกทำงานรับใช้เพียงออได้ตอนไหน แต่นี่ก็เป็นสมบัติที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของนาง
“ดีจังเลยค่ะป้า พรุ่งนี้เช้ามุกจะรีบตื่น มุกจะได้วางแผนว่า เราสองคนควรทำอะไรกับบ้านหลังนี้ดี”
แววตามัดมุกเป็นประกาย พะยอมเลยพลอยยิ้มตาไปด้วย
บ้านชั้นเดียวหลังเล็ก มีเนื้อที่แค่70ตารางวา ไม่ได้กว้างนัก แต่ก็พอเหลือเนื้อที่ให้ใช้สอย อยู่ไม่ไกลตลาดเท่าใดนัก นับว่านางตัดสินใจถูก ตอนที่กัดฟันซื้อบ้านหลังนี้ไว้
“ป้าคะ มุกขอห้องที่อยู่ด้านหลังนะคะ” มัดมุกชวนคุย ระหว่างที่พยายามลากโซฟาไม้เข้ามาด้านใน
“มันใกล้ห้องน้ำนะ จะดีเหรอ” พะยอมติง
“ดีสิคะ เวลามุกไปเข้าห้องน้ำจะได้ไม่รบกวนการนอนของป้า”
พะยอมไม่ได้คัดค้าน กว่าสองป้าหลานจะได้พักตา ก็เกือบจะเช้าแล้ว
ตอนที่5.อนาคตใหม่ของมัดมุก
มัดมุกตื่นแต่เช้าเธอสำรวจรอบบ้านด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับวางแผนในใจคร่าวๆ เนื้อที่บ้านเธอจะใช้ให้คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว
“ป้าคะ สวัสดีค่ะมุกเพิ่งย้ายมา มุกอยากไปตลาด ต้องไปทางไหนคะ” มัดมุกเป็นคนเข้ากับคนง่าย แถมยังเป็นคนที่มีแววตาสดใส เธอสร้างความประทับใจให้กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกได้ทุกครั้ง
“ป้าก็ว่าอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว ไปอยู่ที่ไหนกันมาละ ทำไมเพิ่งย้ายมา”
“ป้าทำงานที่กรุงเทพฯ ค่ะ พอดีมุกสอบติดวิทยาลัย’ ที่นี่ เลยถือโอกาสกลับมาอยู่ที่นี่เสียเลย”
“บะ เรียนเก่งสินะแม่หนูน่ะ”
“พอได้ค่ะ ว่าแต่ มุกต้องไปตลาดทางไหนคะ มีของหลายอย่างที่มุกต้องซื้อค่ะป้า”
“แหม ฉันก็ชวนคุยจนเสียเรื่อง ว่าแต่ไม่มีรถใช้กันใช่ไหมล่ะ ที่นี่ไม่มีรถประจำทางหรอกนะ ถ้าจะไปตลาด ไปกับลูกชายป้าก็ได้ ขานั้นต้องไปรับเมียทุกเช้าน่ะ”
“อ้อค่ะ” มัดมุกพยักหน้ารับ
พอดีกับรถมอเตอร์ไซค์ที่พวงข้างขับตรงมาพอดี “หยู๊ด หยุดก่อนได้คล้าว แม่หนูนี่อยู่ข้างบ้านเรา เขาอยากอาศัยรถไปตลาดด้วย”
มัดมุกยกมือไว้แบบอัตโนมัติ “ขึ้นมาเลย เดี๋ยวอีพามันบ่น สายป่านนี้ตลาดวายแล้วจะไปซื้ออะไร”