ที่จวนเล็กๆ ของสกุลลู่
เพล้ง!
“นี่มันอันใดกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ฮื่ย!” จูลี่หลินถึงกับอาละวาดจนข้าวของแตกหักเสียหาย
เวลานี้เหล่าบ่าวรับใช้ต่างพากันหลบหน้า พวกนางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองหากโผล่หน้าไปตอนที่ผู้เป็นนายกำลังอารมณ์เดือดปุดๆ เช่นนี้
“พากันหายหัวไปไหนหมด เสี่ยวเชียง เสี่ยวเชียง นังบ่าวตัวดีมันหายไปไหน” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายยังคงดังออกมาจากเรือนใหญ่ไม่หยุด หลังจากที่เซิ่นซิงเหยียนได้ย้ายออกไปบัดนี้จูลี่หลินจึงได้เข้ามายึดครองเรือนใหญ่เอาไว้
ลู่เหวินคังส่ายหน้าพลางถอนหายใจเสียงดัง จูลี่หลินนั้นนับวันเปลี่ยนไปอีกคน ก็นับตั้งแต่เซิ่นซิงเหยียนเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือนั่นแหละ เมื่อก่อนภรรยาสุดที่รักของเขานั้นเป็นคนว่าง่าย เป็นสตรีที่ดูอ่อนแอ อ่อนต่อโลก นางเป็นฝ่ายถูกเซิ่นซิงเหยียนกระทำมาโดยตลอด แม้กระนั้นนางก็อดทน ไม่เคยต่อปากต่อคำหรือเอะอะโวยวายเช่นนี้
“เจ้าเป็นอันใดนัก?” ผู้เป็นสามีอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปจึงเดินเข้าไปหาในห้อง ห้องๆ นี้เคยเป็นห้องหอเก่าของเขากับเซิ่นซิงเหยียนนั่นเอง
จูลี่หลินเมื่อเห็นว่าสามีเดินเข้ามาก็ร้องไห้หนักขึ้น พลางคร่ำครวญด่าว่า
“ท่านพี่ เซิ่นซิงเหยียนเที่ยวไปประกาศปาวๆ กลางตลาดไม่เว้นวันว่านับวันรอหย่ากับท่าน แต่เป็นท่านที่ทำเฉยเมย เหตุใดไม่ยอมหย่าขาดจากนางให้จบๆ ไปเสียที ทุกวันนี้เวลาข้าเดินไปทางไหนก็มีแต่คนเรียกอนุจู ข้าไม่อยากเป็นอนุ ได้ยินมั้ยว่าข้าไม่อยากเป็นอนุอีกต่อไปแล้ว”
ลู่เหวินคังถอนหายใจอีกรอบ วันนี้เขาถอนหายใจไปไม่รู้กี่ครั้งจนนับไม่หวาดไม่ไหว ตอนเช้าเขาใช้ให้คนของเขาตามไปสืบเรื่องของเซิ่นซิงเหยียน เขาคาดหวังให้นางเจ๊งไม่เป็นท่า เขารู้จักนางดี นางเป็นคุณหนูในห้องหอที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อย่าว่าแต่เรื่องการทำอาหารเลย ครัวนางยังไม่เคยเข้า หม้อ กระทะ ตะหลิวไม่เคยจับ หรืออาจจะไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ พอคนของเขามารายงานว่านางจะขายอาหารก็ทำให้เขานึกกระหยิ่ม เขาอยากให้นางเจ๊ง นางอวดดี อวดเก่งและไม่ไว้หน้าเขา เขาเกลียดชังนางยิ่งนัก เขาเข้าใจว่าเหตุใดจูลี่หลินจึงมีอาการเช่นนี้ เขาเข้าใจความรู้สึกนางดี แต่เขามิอาจแสดงออกมาเช่นนั้นได้ เขาต้องวางตัวให้ดูเหมาะสม ต้องควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น จูลี่หลินเองก็คงสั่งให้คนของนางตามสืบเรื่องของเซิ่นซิงเหยียน แล้วเห็นว่าการณ์กลับไม่เป็นดังคาดจึงผิดหวังและโมโหเช่นนี้
“ข้าจะหย่านางให้เร็วที่สุด วันนี้นางให้คนมาส่งจดหมาย บอกว่าค่าเลี้ยงดูนางจนกว่าจะได้สามีใหม่ไม่ต้องแล้ว เพราะนางสามารถทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ดีเกินคาด นางขอเพียงสิ่งที่นางเรียกว่าสินสมรส คือเงินรายได้จากเบี้ยหวัดของข้า และเงินค่าเช่าร้านของนางจำนวนสิบเดือน เอาทั้งหมดมารวมกันแล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้ยกให้นาง”
ลู่เหวินคังและเซิ่นซิงเหยียนแต่งงานอยู่กินกันมาได้ราวๆ สิบเดือนก่อนที่เสนาบดีเซิ่นบิดาของนางจะเสียชีวิต เซิ่นซิงเหยียนจึงนับเอารายได้ของทั้งบ้าน นั่นคือ เงินเบี้ยหวัดของลู่เหวินคังเดือนละหกสิบตำลึง ถ้าสิบเดือนก็จะเป็นเงินจำนวนหกร้อยตำลึง เงินค่าเช่าร้านค้าในตลาดของนางจำนวนสองคูหา คูหาละสามสิบตำลึงต่อเดือน ถ้าสิบเดือนก็เท่ากับหกร้อยตำลึง แต่ญาติของลู่เหวินคังที่มาเช่าหนึ่งคูหานั้นไม่เคยจ่ายค่าเช่าเลย สรุปแล้วนางได้ค่าเช่าจากเพียงร้านค้าคูหาเดียวเท่านั้น คือ สามร้อยตำลึง รวมเงินที่นางเรียกว่าสินสมรสทั้งหมดคือเก้าร้อยตำลึง นางต้องการกึ่งหนึ่ง ซึ่งนั้นก็คือสี่ร้อยห้าสิบตำลึง โดยที่มิได้สนใจว่าเงินจำนวนนี้ถูกใช้เป็นค่าอาหารการกินของผู้คนในจวนสกุลลู่ ที่นางทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการกลั่นแกล้งลู่เหวินคังและจูลี่หลินนั่นเอง ถือเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ
‘เงินตั้งสี่ร้อยห้าสิบตำลึงข้าจะหามาจากที่ใดกัน?’ นี่คือสิ่งที่ลู่เหวินคังกลัดกลุ้มใจอยู่ทุกวันนี้ ลำพังเงินเบี้ยหวัดของเขาก็แค่พอค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายจิปาถะของคนในจวนเท่านั้น หากพูดกันตามตรงก็คือ เงินเก็บของเขานั้นอาจจะไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงซะด้วยซ้ำ
วันนี้คนของเขามารายงานว่าเซิ่นซิงเหยียนนั้นขายอาหารอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมารอต่อแถวซื้อจนล้นไปถึงปากทางเข้าตลาด เพียงเท่านี้ก็ทำให้อารมณ์ของเขาเดือดดาลเต็มที่ แต่เขาต้องทำทีเป็นวางเฉย ทำเหมือนมิได้ใส่ใจอันใด ภาพลักษณ์ของเขานั้นสำคัญยิ่ง
“ท่านพี่ แล้วนางต้องการเงินเท่าใดรึเจ้าคะ?”
“สี่ร้อยห้าสิบตำลึง” เขาตอบเสียงเรียบๆ
“ก็ให้นางไปสิเจ้าคะ” จูลี่หลินเผลอทำเสียงดังใส่ผู้เป็นสามี
ลู่เหวินคังถอนหายใจยาว ใบหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ
“ใช่ว่าข้าไม่อยากหย่า แต่เวลานี้ข้าไม่มีเงินมากพอ” ลู่เหวินคังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่งที่ต้องบอกภรรยาสุดรักว่า เขานั้นไม่มีเงิน
“อะ…อะไรนะเจ้าคะ ไม่จริงใช่หรือไม่ ทะ…ท่าน ท่านพี่” จูลี่หลินตกอกตกใจเพราะตั้งตัวไม่ติดกับคำพูดของผู้เป็นสามี นางเห็นเขามีรายได้เป็นเบี้ยหวัดรายเดือนทุกเดือนอยู่มิใช่หรือ
“ข้าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย เบี้ยหวัดที่ได้รับก็แค่พอกินพอใช้เท่านั้น ตอนนี้ข้ามีเงินเหลือเก็บราวๆ หนึ่งร้อยตำลึง หากอยากให้เงินถึงสี่ร้อยห้าสิบตำลึงตามที่เซิ่นซิงเหยียนเรียกร้อง เห็นทีว่าพวกเราคงต้องประหยัดกันหน่อย เจ้าจะว่าอย่างไรล่ะ
ประหยัดกันหน่อยหรือ? ไม่หน่อยล่ะ ทุกวันนี้อาหารการกินของจวนสกุลลู่นั้นล้วนเป็นอาหารที่จวนขุนนางใหญ่ๆ หรือพวกคหบดีไม่กินกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางก็มิได้ตัดใหม่มาหลายเดือน เครื่องประดับต่างๆ นอกจากปิ่นหยกกับกำไลหยกแล้วผู้เป็นสามีก็มิได้ซื้ออะไรให้นางเพิ่ม แต่พอนึกถึงนางปีศาจจิ้งจอกเซิ่นซิงเหยียนนั่นแล้วยิ่งทำให้เจ็บใจ เพราะเป็นคุณหนูสูงศักดิ์มาจากตระกูลใหญ่ เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางล้วนแล้วแต่ตัดเย็บจากผ้าไหมราคาแพงล้ำค่า เครื่องประดับที่มีก็ล้วนแต่มีค่ามีราคาทั้งนั้น ครั้นพอศัตรูหัวใจออกไปทำการค้าขาย กลับขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คิดๆ แล้วมันน่าเจ็บใจนัก สวรรค์ไม่เข้าข้างนางเอาซะเลย
“ท่านพี่ ท่านได้ยินข่าวบ้างหรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เซิ่นซิงเหยียนนั้นเปิดร้านขายอาหารเป็นวันแรก ได้ข่าวว่าขายดิบขายดีเพราะนางไปจ้างนางโลมในหอคณิกามายั่วยวนชวนบุรุษให้มาซื้อของของนาง อย่างนางน่ะไม่เคยเข้าครัว ทำอาหารไม่เป็นสักอย่าง เรื่องรสชาติอาหารคงไม่ได้เรื่อง ที่พวกบุรุษบ้าตัณหาพากันมารุมล้อมซื้อจนหมดเกลี้ยงคงเป็นเพราะนางคณิกาดาวเด่นแห่งหอนางโลมนั่นเป็นแน่ คิดดูสิ เซิ่นซิงเหยียนจะทำมาหากินยังต้องเอาตัวไปเกี่ยวพันกับพวกนางโลม นางช่างไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงมาถึงท่านพี่เอาเสียเลย” จูลี่หลินหาทางยุแยงจนได้
ลู่เหวินคังนิ่งฟังพลางครุ่นคิด สิ่งที่ภรรยาที่รักของเขาได้รับรู้มานั้นก็ไม่ต่างจากเขานัก เรื่องกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงนั้นสำหรับเซิ่นซิงเหยียนในเวลานี้ดูเหมือนจะมองข้ามไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นนางจะใจกล้าหน้าด้านไปประกาศกลางตลาดปาวๆ หรือว่าจะหย่ากับเขา และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาไม่กล้าเดินตลาดไปอีกนาน สำหรับเรื่องที่ว่านางจ้างดาวเด่นแห่งหอคณิกาไปช่วยเรียกลูกค้านั้น แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วเขาจะไม่ใคร่ชอบหน้าภรรยาของตัวเองผู้นี้นัก แต่ลึกๆ แล้วก็อดชื่นชมในความคิดอันลึกล้ำนี้มิได้ โดยสัญชาตญาณบุรุษเพศนั้นย่อมหลงใหลในสตรีที่มีรูปโฉมเลิศล้ำอยู่แล้ว ยิ่งได้ตัวมายากดั่งเช่นอีจี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาเกิดความสนใจมากขึ้น แต่เขาก็หวังว่านางจะไม่โชคดีเช่นนี้เสมอไป
‘หวังว่าวันต่อๆ ไปเจ้าจะขาดทุน เพราะเจ้าทำอาหารไม่ได้เรื่อง’
ทางด้านเซิ่นซิงเหยียน
หญิงสาวต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเพราะนางนั้นดันรับปากคนของหอเหมยฮวาพันราตรีเสียอย่างดิบดีว่าจะส่งข้าวเหนียวหมูฝอยให้ภายในยามโหย่ว (17.00-18.59น.) นี่เวลาก็ล่วงเลยมาถึงกลางยามเซิน (15.00-16.59น.) แล้ว หากข้าวที่จะใช้ในการหุงหาทำอาหารนั้นเป็นข้าวจ้าวก็คงจะไม่เป็นปัญหา แต่นี่เป็นข้าวเหนียว การนึ่งข้าวเหนียวนั้นก่อนนึ่งจะต้องทำการหม่าข้าว ก็คือการนำข้าวเหนียวแช่น้ำเพื่อให้เวลานึ่งแล้วข้าวเหนียวนั้นอ่อนนุ่ม ซึ่งระยะเวลาการหม่าข้าวนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้าวเหนียว หากเป็นข้าวเหนียวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาใหม่ๆ ก็จะใช้เวลาหม่าแค่ประมาณหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) ถ้าเป็นข้าวเหนียวเก่าหรือกลางเก่ากลางใหม่ที่ผ่านพ้นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวมาแล้วหลายเดือนก็อาจจะต้องใช้เวลาหม่าข้าวหลายชั่วยามหรืออาจแช่น้ำไว้ค้างคืน และข้าวสารเหนียวในกระสอบที่เซิ่นซิงเหยียนมีอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นข้าวสารที่มีอายุใกล้จะครบขวบปีแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาหม่าข้าวราวๆ สามชั่วยามหรือหกชั่วโมงเป็นอย่างต่ำจึงจะได้ข้าวเหนียวที่อ่อนนุ่ม น่ากิน หากเวลาที่ใช้ในการหม่าข้าวน้อยเกินไปข้าวเหนียวที่นึ่งได้ก็จะแข็ง กินแล้วไม่อร่อย คราวนี้แอร์โฮสเตสสาวเจองานยากซะแล้ว นางจะทำอย่างไรดี แต่เซิ่นซิงเหยียนก็ยังพยายามปลอบใจและให้กำลังใจตนเอง ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข
“เหมยลี่เจ้าจงไปต้มน้ำร้อนหลายๆ หม้อ จากนั้นนำน้ำร้อนมาเทใส่ข้าวสารที่ข้าล้างเอาไว้ ใส่น้ำร้อนให้เกือบถึงปากชามกระเบื้องใบใหญ่พวกนี้นะ”
“จะ…เจ้า เจ้าค่ะ” เหมยลี่รับปาก ในใจก็นึกสงสัย เมื่อคืนก่อนคุณหนูของนางแช่ข้าวสารเหล่านี้ด้วยน้ำธรรมดา แต่พอมาวันนี้กลับให้ใช้น้ำร้อน แต่ถึงสงสัยอย่างไรก็คงต้องเก็บเอาไว้ก่อนค่อยถามทีหลังเพราะตอนนี้มีงานมากมายก่ายกองรอพวกนางอยู่
เซิ่นซิงเหยียนจัดการนำข้าวสารไปล้างให้สะอาดในชามกระเบื้องใบใหญ่ขนาดเท่าๆ กะละมัง เพื่อที่ว่าจากนั้นเหมยลี่จะได้นำน้ำร้อนมาเทใส่ การหม่าข้าวด้วยน้ำร้อนนี้ใช้เวลาแช่ข้าวเพียงแค่ครึ่งชั่วยามหรือหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็สามารถนำข้าวสารไปนึ่งได้เหมือนกับการแช่ข้าวค้างคืน โชคดีที่เซิ่นซิงเหยียนนึกถึงวิธีนี้ได้ คือตอนนั้นสมัยที่นางเป็นนักศึกษาได้ไปเข้าค่ายอาสาที่เขตชนบท กว่าจะเดินทางไปถึงก็มืดค่ำเสียแล้ว ข้าวสารที่เตรียมไปก็มีแต่ข้าวเหนียวเพราะตอนนั้นข้าวจ้าวขาดตลาด เขาจะนำมาส่งให้วันหลัง ทุกคนที่ไปเข้าค่ายเริ่มหิวกันแล้ว แต่ถ้าต้องให้หม่าข้าวเป็นเวลาหลายชั่วยามพวกนางคงท้องกิ่วกันพอดี หัวหน้าค่ายจึงเสนอความคิดว่าลองเอาข้าวสารแช่น้ำร้อนดู เพราะเขาเคยเห็นทางยูทูป เมื่อลองทำตามก็ปรากฏว่าข้าวเหนียวที่นึ่งออกมาทั้งนุ่มและอร่อย งานนี้ต้องขอบคุณหัวหน้าค่ายอาสาและขอบคุณตัวนางเองที่พาตัวเองไปรับประสบการณ์แปลกใหม่ในครั้งนั้น