ตอนที่ 1ข้าไม่ยอมเป็นหญิงหม้ายสามีหย่า
“ท่านพี่ นางจะยอมหย่าให้ท่านจริงๆ หรือเจ้าคะ นางออกจะคลั่งรักท่านซะขนาดนั้น” เสียงออดอ้อนของสตรีรูปร่างอรชรตรงหน้าทำเอาบุรุษหนุ่มรูปงามอย่างลู่เหวินคังอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ เขากระชับวงแขนที่ตระกองกอดนางแน่น ก่อนที่จะเอ่ยออกมาเสียงแข็ง
“ต้องหย่าสิ นางต้องหย่า”
“แล้ว…ถ้านางไม่ยินยอมเล่าเจ้าคะ เราสองคนจะทำอย่างไร ข้ามิต้องทนเป็นอนุไปตลอดปีตลอดชาติหรอกหรือ” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงอันสั่นเครือ นางทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว
ลู่เหวินคังเป็นบุรุษที่ภายนอกดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่ลึกๆ ข้างในแล้วเขาเป็นคนที่แพ้มารยาและน้ำตาของสตรี โดยเฉพาะสตรีตรงหน้า สตรีที่เขารักปักใจมาตั้งแต่วัยเด็ก สตรีที่เป็นรักแรกและภรรยาคนแรกของเขา
“ลี่หลิน อย่างไรเสียข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอนุไปตลอดหรอก นางขวางเส้นทางรักของพวกเรามานานแรมปี บัดนี้นางไม่มีประโยชน์อันใดกับพวกเราแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเก็บนางไว้”
จูลี่หลินตาโต อ้าปากค้าง
“จริงหรือเจ้าคะท่านพี่”
“จริงสิ ข้าจะหาทางกำจัดนางออกไปจากชีวิตของพวกเราอย่างเร็วที่สุด นางจะต้องยอมหย่าในเร็ววันนี้” เขาพูดพลางจุมพิตหน้าผากของสตรีที่เขามักจะเอ่ยชมนางว่างดงามดั่งจันทราด้วยความเสน่หา
ส่วนนาง…ที่พวกเขาเอ่ยถึงว่าขวางเส้นทางรักของพวกเขานั้นก็คือสตรีที่กำลังนอนซมอยู่บนเตียง ตาทั้งสองข้างของนางบวมเป่งจากการร้องไห้ตลอดทั้งวันทั้งคืน
“ฮูหยิน หักห้ามใจเถิดเจ้าค่ะ ท่านเสนาบดีคงหมดเวรหมดกรรมแล้ว” สาวรับใช้นางหนึ่งเอ่ยปลอบ
“ฮูหยิน ท่านไม่ยอมแตะอาหารเลยมาตลอดทั้งวัน รับข้าวต้มร้อนๆ สักหน่อยนะเจ้าคะ จะได้ไม่แสบท้อง” สาวใช้อีกนางทำท่าทางกระตือรือร้นที่จะไปเอาอาหารมาให้ผู้เป็นนาย
สตรีที่นอนซมอยู่บนเตียงขยับกายเล็กน้อยพลางเอ่ย
“นี่ท่านพี่จะหย่าข้าจริงๆ หรือ ท่านพ่อของข้าก็เพิ่งเสียไม่ทันข้ามวัน ท่านพี่ก็แสดงออกว่าไม่ต้องการข้าแล้ว นี่ท่านพี่ไม่เคยรักไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยหรือ ฮือๆๆๆ ”
“ฮูหยิน” สาวรับใช้รีบเข้ามาประคองนางให้ลุกขึ้นนั่งอย่างห่วงใย ส่วนสาวรับใช้อีกคนเหมือนรู้งาน รีบออกไปข้างนอกเพื่อไปเอาข้าวต้มร้อนๆ มาให้ผู้เป็นนายได้กิน
“ข้าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร เป็นหญิงหม้าย เป็นหญิงที่ถูกสามีหย่า ข้าจะทนมองหน้าผู้คนได้อย่างไร ข้าคงต้องอยู่ในสภาพอยู่ไม่สู้ตายเป็นแน่ มิสู้ตายไปเลยให้มันจบเรื่องจบราวมิดีกว่าหรือ ฮือๆๆๆ ”
“โธ่!ฮูหยินเจ้าคะ มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ อย่างน้อยฮูหยินก็ยังมีบ้านเดิมที่เป็นจวนใหญ่ของท่านเสนาบดี ฮูหยินกลับไปได้ทุกเมื่อนะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก เหมยลี่”
จริงอย่างที่นางว่านั่นแหละ สาวรับใช้น่ะมีหรือจะเข้าใจหัวอกของนาง เซิ่นซิงเหยียนเป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีเซิ่น ขุนนางขั้นสองผู้มีอำนาจบารมีในราชสำนัก แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าเขาถึงห้าส่วน มารดาของเซิ่นซิงเหยียนนั้นเสียตั้งแต่นางยังเล็ก บิดารับเอาสตรีนางอื่นเข้ามาอยู่ในจวน แต่มิได้ยกให้เป็นฮูหยินเอก ให้เป็นเพียงฮูหยินรอง มีหน้าที่ดูแลจวน เซิ่นซิงเหยียนมีพี่น้องต่างมารดาสองคน เป็นชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน
เมื่อพ้นวัยปักปิ่นก็ถึงเวลาออกเรือน บุตรสาวคนโปรดของเสนาบดีเซิ่นมีหรือที่อยากจะได้อะไรแล้วจะไม่ได้ แม้แต่บุรุษที่นางจะแต่งให้ยังสามารถชี้นิ้วเลือกได้เลย และแล้วบุรุษหนุ่มผู้โชคดีที่เป็นที่หมายตาต้องใจของคุณหนูสูงศักดิ์ผู้เอาแต่ใจตนเองก็คือ ลู่เหวินคัง เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เพิ่งเข้ารับราชการในตำแหน่งเล็กๆ บิดาเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อขุนนางใหญ่อย่างท่านเสนาบดีเซิ่นเอ่ยปาก มีหรือที่พวกเขาจะกล้าปฏิเสธ อีกทั้งเสนาบดีผู้มากอำนาจยังเสนอสร้างบ้านให้เป็นเรือนหอบนที่ดินแปลงเล็กๆ ของฝ่ายชาย สินสอดของหมั้นนั้นไม่ต้อง เพราะเสนาบดีเซิ่นนั้นย่อมต้องมั่งคั่งมากกว่าขุนนางชั้นผู้น้อยอยู่แล้ว
“อาคัง เจ้าควรจะดีใจนะ คุณหนูเซิ่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามแห่งเทียนหวง อีกทั้งยังเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ บิดาของนางก็ยิ่งใหญ่ มีอำนาจบารมีล้นเหลือในราชสำนัก แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องไว้หน้าเขาเลย ข้าว่าดีซะอีก มีพ่อตาเช่นใต้เท้าเซิ่น เขาจะได้ช่วยหนุนหลัง สนับสนุนส่งเสริมให้เจ้าก้าวหน้า มีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนักได้ ไม่ต้องเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยทำงานในกรมเล็กๆ กระจอกๆ อย่างข้า” ผู้เป็นบิดาออกจะยินดีด้วยซ้ำที่บุตรชายเพียงคนเดียวของเขานั้นถูกขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักทาบทามไปเป็นลูกเขย เขาเองจะได้พลอยฟ้าพลอยฝนอาศัยเส้นสายพ่อตาของบุตรชายไปด้วย
ที่ลู่เหวินคังมีท่าทางกลัดกลุ้มใจนั่นก็เพราะว่าเขานั้นมีคนรักอยู่แล้ว เขาและนางเป็นรักแรกของกันและกัน เขาสัญญาว่าพอเขาได้เลื่อนขั้นเขาจะรีบมาแต่งนาง และเมื่อวานนี้ตอนที่เขาและนางแอบนัดแนะไปพบกัน ทั้งคู่ก็เผลอตัวเผลอใจได้เสียกันที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง นั่นทำให้ลู่เหวินคังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีนางหนึ่งเป็นทั้งรักแรกและได้เสียกันแล้ว ส่วนอีกนางหนึ่งนั้นบิดาของนางช่างมีอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่ซะเหลือเกิน ยิ่งใหญ่จนเขามิอาจปฏิเสธได้ และที่สำคัญเขายังต้องการอาศัยเส้นสายของพ่อตาผลักดันเขาให้ก้าวขึ้นไปสู่จุดสุงสุดของการเป็นขุนนาง แต่คราวนี้เขาจะบอกกับหญิงคนรักอย่างไรล่ะ
“อะไรนะ! ท่านพี่ นี่ท่านล้อข้าเล่นแล้ว” จูลี่หลินอุทานอย่างตกอกตกใจ เมื่อวานเขากับนางเพิ่งจะ…ได้ร่วมรักร่วมภิรมย์กันมิใช่หรือ นางยังจดจำคืนวสันต์ของพวกเขาได้ไม่ลืมเลือน
“ลี่หลิน เจ้าฟังข้าก่อน คราวนี้ข้าจนปัญญาจริงๆ ข้าได้ปรึกษากับท่านพ่อ ท่านพ่อบอกว่า ข้าต้องแต่งกับนาง แล้วแต่งเจ้าเข้าไปเป็นฮูหยินรอง รอให้พวกเขาใช้เส้นสายส่งเสริมข้าให้เป็นใหญ่ มีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก หลังจากนั้นเราค่อยหาทางกำจัดสองพ่อลูกจอมบงการนั่นออกไปจากชีวิตของพวกเรา และข้าก็จะยกเจ้าขึ้นมาเป็นฮูหยินแทนนางอย่างไรล่ะ” ลู่เหวินคังพยายามโน้มน้าว สตรีผู้นี้คือสตรีที่เขารักปักใจมาเนิ่นนาน เขาจะไม่ทำให้นางชอกช้ำใจไปมากกว่านี้
จูลี่หลินกำมือทั้งสองข้างแน่นพลางกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง
“นางชื่ออันใด เหตุใดจึงไร้ยางอายเช่นนี้ หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ง่อยเปลี้ยเสียขาพิกลพิการหรืออย่างไรจึงไม่มีปัญญาหาสามีเอง ต้องมาแย่งเอาสามีของผู้อื่นไป ฮื่ย!”
จูลี่หลินเองก็ไม่มีทางเลือก นางได้เสียพรหมจรรย์ให้บุรุษตรงหน้าไปแล้วนี่ อย่างไรเสียเขาก็คือคนรักของนาง ไม่ว่านางจะเป็นฮูหยินรอง และสตรีไร้ยางอายผู้นั้นเป็นฮูหยินเอก แต่จูลี่หลินก็เชื่อมั่นว่าลู่เหวินคังไม่มีทางเปลี่ยนใจไปจากนางแน่ เขาทั้งรักและหลงนางซะขนาดนั้น
หลังจากที่เซิ่นซิงเหยียนแต่งงานกับลู่เหวินคังแล้ว นางก็มีฐานะเป็นฮูหยิน และไม่ยอมให้สตรีอีกนางที่สามีรับเข้ามาในจวนในวันถัดมาเป็นฮูหยินรองโดยเด็ดขาด หากจะอยู่ที่นี่ จูลี่หลินจะมีฐานะเป็นเพียงอนุเท่านั้น
จูลี่หลินสุดจะกลั้น นางทั้งโกรธ ทั้งเกลียดและแค้นเคืองสตรีผู้นี้ยิ่งนัก ถือตัวว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ จะบีบบังคับอะไรนางและสามีก็ได้เช่นนั้นหรือ
“หึๆ วันนี้เจ้าไม่มีโอกาสที่จะได้บีบบังคับผู้ใดอีกแล้ว เซิ่นซิงเหยียน เจ้าจะไม่กล้าสู้หน้าผู้คน เจ้าจะกลายเป็นความอัปยศของสกุลเซิ่น สตรีที่ถูกสามีหย่าเป็นเช่นไรก็น่าจะรู้ดี
รัชศก จินป๋อ ปีที่แปด สารทฤดู
แคว้นซิ่ว มีเมืองหลวงชื่อเมืองเทียนหวง เมืองเทียนหวงเป็นเมืองใหญ่ เป็นศูนย์กลางการค้าและที่สำคัญคือเป็นเมืองท่าอีกด้วย ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตอย่างแก่งแย่งแข่งขัน อีกทั้งยังชอบเรื่องสนุก ก็คือ ‘การเผือกเรื่องของชาวบ้านนั่นแหละ’ ค่านิยม ความเชื่อของผู้คนที่นี่ล้วนสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องของสตรีหม้าย
การเป็นสตรีหม้ายจากการที่สามีตายนั้นไม่นับว่าเสียหายมากนัก แต่หากเป็นสตรีหม้ายที่เกิดจากการหย่าร้างกับสามีนั้นถือได้ว่าเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง สตรีที่ถูกสามีหย่าร้างนั้นมักจะ ‘อยู่ไม่สู้ตาย’ แทบทั้งสิ้น
ต้องเป็นสตรีเช่นไรหรือจึงจะถูกสามีหย่า
‘ต้องเป็นสตรีร้ายกาจ อิจฉาริษยา’
‘สวมหมวกเขียวให้สามี’
‘สกปรก โสโครก’
‘ใจแคบ’
‘ใจดำ อำมหิต’
มีอันใดอีกบ้างเล่า?
มิเห็นมีผู้ใดกล่าวเลยว่า สตรีนางนั้นคือสตรีที่หมดประโยชน์กับสามีแล้ว และเขานั้นต้องการที่จะเขี่ยนางทิ้ง
ที่ด้านหน้าห้องของลู่ฮูหยิน
“เอ่อ อนุจูเจ้าคะ เข้าไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินกำลังไม่สบาย ต้องการพักผ่อนเจ้าค่ะ” เหมยลี่สาวรับใช้ข้างกายของเซิ่นซิงเหยียนเอาตัวเข้ามาขวางเมื่อเห็นว่ามีผู้บุกรุกห้องส่วนตัวของผู้เป็นนาย
“ถอยไป” สาวรับใช้ข้างกายของจูลี่หลินนามว่าเสี่ยวเชียงนั้นผลักเหมยลี่จนกระเด็นไปชนกับผนังห้อง
“ข้าบอกว่า….ให้เรียกข้าว่านายหญิงอย่างไรเล่า” จูลี่หลินรู้สึกไม่ชอบในทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า อนุจู ก็นางไม่อยากเป็นอนุนี่ อย่างนางน่ะต้องได้เป็นฮูหยินเท่านั้น นางใช้มือบีบปากของเหมยลี่สาวรับใช้ของศัตรูหัวใจจนอีกฝ่ายต้องร้องออกมา
“อย่า พอแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยอมแล้วเจ้าค่ะนายหญิง”
จูลี่หลินเหยียดปากพลางปรายตามองไปที่เตียงก่อนที่จะก้าวเดินช้าๆ ตรงไปยังร่างบอบบางที่นอนซมอยู่
“ต่อไปทุกคนต้องเรียกข้าว่าลู่ฮูหยิน เพราะหลังจากท่านพี่หย่ากับเซิ่นซิงเหยียนแล้ว เขาจะยกข้าขึ้นเป็นฮูหยินทันที ต่อไปเมื่อท่านพี่ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสูงในราชสำนัก เวลาในวังมีงานเลี้ยงต่างๆ ข้าก็จะได้ออกงานกับท่านพี่ ดีไหมเล่า ฮ่าๆๆๆ ” จูลี่หลินหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“มะ..ไม่ ไม่มีวัน ข้าจะไม่มีวันหย่า อย่างไรเสียข้าก็จะไม่ยอมหย่า” เซิ่นซิงเหยียนเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น น้ำเสียงของนางแหบพร่าไปหมด
“หึ!นังตัวดี เจ้าเป็นก้างขวางคอ ขวางเส้นทางรักของข้ากับท่านพี่มาเป็นแรมปี บัดนี้บิดาของเจ้าไปปรโลกแล้วได้ยินมั้ยว่าเจ้าขุนนางชั่วนั่นมันตายไปแล้ว ไม่มีผู้ใดหนุนหลังเจ้าอีกแล้ว ต่อไปเจ้าก็คือขยะไร้ค่า เลิกถือตนว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์อยู่เหนือผู้อื่นได้แล้ว พรุ่งนี้ท่านพี่ก็จะหย่าเจ้า ต่อไปเจ้าก็คือขยะดีๆ นี่เอง คนเมืองเทียนหวงจะเห็นเจ้าเป็นเพียงขยะ เป็นเพียงสุนัขขี้เรื้อนจนตรอกตัวหนึ่งเท่านั้น ฮ่าๆๆๆๆ ” เสียงหัวเราะนั้นก้องไปถึงข้างนอก
“ไม่ ไม่จริง ข้าไม่ยอมหย่า ข้าไม่มีวันหย่า” เซิ่นซิงเหยียนซบหน้าลงกับหมอน ร้องไห้ฟูมฟาย จะให้นางจากสามีที่นางรักสุดหัวใจไปเช่นนี้นางขอตายซะดีกว่า
“หึ!ดี บอกให้หย่าดีๆ เจ้าไม่ยอมหย่าใช่หรือไม่ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน เจ้าก็เห็นๆ อยู่ ระหว่างข้า กับ เจ้า ท่านพี่เลือกใคร”
พูดจบจูลี่หลินก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกมาจากห้องส่วนตัวของเซิ่นซิงเหยียน ระหว่างทางนางเดินสวนกับเพ่ยจูสาวรับใช้ข้างกายอีกคนของเซิ่นซิงเหยียนซึ่งติดตามมาจากจวนสกุลเซิ่น
จูลี่หลินจ้องเขม็งไปที่ชามข้าวต้มในถาดที่เพ่ยจูถืออยู่ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ พอให้ได้ยินแค่สองคน”
“ลงมือ”