“ให้อาสาสมัครดับไฟป่าทุกนายตรวจเช็กเครื่องแต่งกายให้พร้อม เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าหนังหุ้มข้อชนิดร้อยเชือกเท่านั้น ห้ามใช้ชนิดมีซิปเป็นอันขาด! เพราะโลหะจะร้อนจัดเมื่อย่ำลงไปบนพื้นที่ไฟไหม้ ส่วนผ้าพันคอสามเหลี่ยมให้มีติดตัวไว้ทุกนาย ใครขาดเหลืออะไรให้แจ้งหัวหน้าชุดด่วน!”
ภูมินทร์ที่ยืนอยู่หน้าแถว เน้นย้ำเรื่องเครื่องแต่งกายพร้อมกับออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด!
การเตรียมความพร้อมทั้งเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ดับไฟเป็นไปด้วยความรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสามนาที จากนั้นทุกคนก็ขึ้นรถกระบะคันใหญ่ โดยหมอกทำหน้าที่เป็นคนขับนำไปยังจุดหมาย
เมื่อมาถึงจุดหมาย อาสาสมัครดับไฟป่าทุกนายก็กระโดดลงจากรถ พร้อมกับถืออุปกรณ์กับไฟป่าไว้ในมือ เพื่อรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าชุดดับไฟอีกที
“จำเอาไว้ว่าในขณะดับไฟให้เกาะกลุ่มกันไว้อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าสามนาย ขณะดับไฟให้เดินเป็นแถวตอนโดยคนนำจะใช้ถังน้ำพ่นน้ำลดความร้อนเพิ่มความชื้น คนต่อไปเป็นไม้ตบไฟ อย่าตบแรงเดี๋ยวเชื้อเพลิงจะกระเด็นใส่ได้รับบาดเจ็บ ให้ตบเพียงเบาๆแล้วดันไปข้างหน้า จากนั้นก็จะตามด้วยลาโค่ที่จะคอยทำแนวกันไฟตามหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลามข้ามมาอีกฝั่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนมาตามบริบทและเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้”
“รับทราบ!!”
อาสาสมัครดับไฟทุกนายรับทราบคำสั่งพร้อมกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันปฏิบัติงานดับไฟจริง
ภูมินทร์กวาดสายตาไปรอบๆมองสำรวจพื้นที่เสียหายจากสายตา พร้อมกับจดบันทึกใส่สมุดเล่มเล็ก ไม่ว่าจะเป็นพิกัดเกิดไฟ เวลาเข้าทำการดับไฟ รวมทั้งจำนวนความเสียหายที่เกิดก่อนและหลังดับไฟป่าอย่างละเอียด เพื่อทำการรายงานใหกับทางศูนย์ได้ทราบต่อไป
…………………………………………..
สองวันต่อมา…
“ทางศูนย์ส่งเราให้มาช่วยเคลียร์ hotspot ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในพื้นที่ผาตะวัน หวังว่าหัวหน้าภูจะไม่ขัดการทำงานในแบบฉบับของเรานะครับ”
“พูดแบบนี้ คุณกำลังกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่เราไม่ทำงานอย่างนั้นเหรอหัวหน้าดนัย”
ภูมินทร์จ้องตาอีกฝ่ายเขม่นเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ดับไฟที่ศูนย์ส่งมาช่วยงาน ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนทั้งสองคนเคยเข้าค่ายฝึกด้วยกันและเจอกันในสนามดับไฟป่าอยู่หลายครั้ง เรียกได้ว่าประสบการณ์ในการควบคุมไฟป่าของทั้งสองคนนั้นสูสีกันมาก แต่ด้วยทัศนคติการทำงานที่ไม่ค่อยตรงกันมักจะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆ ทางผู้ใหญ่เลยจำต้องจับแยกทั้งสองคนโดยอีกคนให้อยู่ประจำการที่ศูนย์ส่วนอีกคนอยู่ภาคสนาม และภูมินทร์ก็เป็นคนที่เลือกอยู่ภาคสนามนั่นเอง
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ หัวหน้าภูก็ร้อนตัวไปได้”
ดนัยยักไหล่พลางเอนหลังกับเก้าอี้ด้วยท่าทางกวนๆ ภูมินทร์กำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้สวนหมัดใส่ใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ
“ผมจะบอกอะไรให้คุณอย่างนะหัวหน้าดนัย ผาตะวันเป็นพื้นที่พิเศษไม่เหมือนจังหวัดอื่นๆ ที่คุณเคยผ่านมา ฉะนั้นจุดที่เสี่ยงอันตรายมากเกินไปผมจะไม่ยอมให้ลูกน้องเข้าไปเสี่ยงชีวิตเป็นอันขาด!”
“แล้วคุณจะปล่อยให้จุดความร้อนเกิดขึ้นซ้ำๆอย่างนั้นเหรอครับ สำหรับหัวหน้าภูอาจจะปล่อยไปได้ แต่สำหรับผมคงไม่ปล่อยไปแน่ๆ”
ดนัยที่คุมทีมเจ้าหน้าที่ดับไฟของกำลังเสริมจากศูนย์ประกาศเจตนารมอย่างชัดเจนตามแบบฉบับของคนที่ไม่กลัวความเสี่ยง เพราะมั่นใจในประสบการณ์ของตัวเองที่เผชิญกับเหตุการณ์คับขันมานักต่อนักแล้ว
“ผมก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย แต่สิ่งที่เราได้ขอให้ศูนย์เข้ามาสมทบและให้การสนับสนุนได้รับการเมินเฉย และล่าช้าจะให้เราทำยังไง”
ภูมินทร์สวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นกัน เมื่อสิ่งที่เขาได้ขอจากทางศูนย์และสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการอย่างสิ้นเชิง
“ทางศูนย์ก็ส่งพวกผมมาแล้วไง ถ้าทีมคุณทำงานไม่ได้ทีมเราจะลุยเอง”
“การเอาคนเข้าไปที่นั่นไม่ต่างจากการส่งคนไปตาย ทฤษฎีที่คุณเคยเรียนในตำราหรือประสบการณ์ที่คุณเคยผ่านมาใช้ไม่ได้กับไฟป่าที่รุนแรงเกินต้านในพื้นที่ผาตะวัน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชันแบบนั้นหรอก”
ด้วยประสบการณ์ดับไฟป่าในพื้นที่ผาตะวันที่มีมาหลายปี รวมทั้งการเดินเท้าสำรวจพื้นที่เสี่ยงในจุดต่างๆทำให้ภูมินทร์พบเห็นปัญหาที่ต้องแก้เฉพาะทาง ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องไม่ใช้กำลังคน แต่ดนัยไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะเขายังเชื้อมั่นในฝีมือของตัวเองว่าสามารถทำได้ และมองว่าภูมินทร์นั้นปอดแหกเกินไป
“ได้ไม่ได้ก็ต้องลอง ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆให้ไฟป่าขยายเป็นวงกว้าง และเกิดจุดความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้”
“ผมเตือนคุณแล้วนะหัวหน้าดนัย ว่าการเอาเจ้าหน้าที่ต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ผาตะวันเข้าไปดับไฟนั้นอันตรายเกินไป ทางที่ดีรอทางการส่งเฮลิคอปเตอร์มาสมทบจะดีกว่า”
ภูมินทร์เตือนด้วยเสียงลอดไรฟัน เมื่ออีกฝ่ายดื้อดึงไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“คุณก็อย่าคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญจนไม่ฟังใครสิครับ การที่ผาตะวันเป็นพื้นที่รับผิดชอบของคุณก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะขู่ผมยังไงก็ได้ เอาจริงๆ ผมก็ผ่านประสบการณ์ดับไฟป่ามาไม่ต่ำกว่าคุณ เรื่องแค่นี้ผมประเมินสถานการณ์และตัดสินใจเองได้ ส่วนคุณถ้าจะรอทางการก็รอไป”
“โถ่เว้ย!”
ภูมินทร์สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อคุยกับอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง เขาลุกขึ้นยืนตรงดิ่งไปหาไอ้หน้ากวนหมายจะเสยหมัดใส่คางเชิดๆนั่นสักที แต่ก็โดนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆดึงแขนปรามเอาไว้ก่อน
“เฮ้ย! ไอ้ภู ใจเย็นๆก่อนสิวะ”
เมื่อเป็นคนชอบกวนโอ้ยคนอื่นแล้วมาเจอคนประเภทเดียวกัน ห้องประชุมที่ต้องการมาปรึกษาหารือกันก็แทบจะเดือดเป็นไฟ จนนายอำเภอหนุ่มพร้อมกับเพื่อสนิทอย่างผู้กองต้องรีบลุกขึ้นมาปรามเหตุแล้วแยกทั้งสองออกจากกันทันที ส่งผลให้การประชุมวันนั้นสิ้นสุดลงก่อนเวลาอันควร
“ให้ตายสิไอ้ภู! ทำไมนายถึงได้ใจร้อนแบบนี้วะ!”
ศรัณต่อว่าเพื่อนสนิทหลังจากที่เขากับอิทธิฤทธิ์ลากเพื่อนมาสงบสติอารมณ์ที่ห้องทำงานส่วนตัวของนายอำเภอได้
“นี่พยายามเย็นที่สุดแล้วนะ ถ้าฉันอยู่กับมันสองคนมันไม่รอดหมัดฉันแน่”
“แบบนี้หรือเปล่าที่เขาว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”
อิทธิฤทธิ์ว่าพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองเสือมีปากเสียงกัน หากแต่เป็นเกือบทุกครั้งที่จับทั้งสองคนมาคุยกัน อีกคนก็หัวดื้อ อีกคนก็ใจร้อน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครจนการประชุมมักจะจบลงกลางคันบ่อยๆ
“ว่าแต่นายจะเข้าป่าเลยไหมวะ”
ศรัณเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อคลี่คลายบรรยากาศตึงเครียดให้ผ่อนคลายลง ภูมินทร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เย็นลงได้ก็พยักหน้าพลางเอ่ยเบาๆ
“อืม เดี๋ยวกลับจากอำเภอฉันจะนำทีมอาสาสมัครบางส่วนเข้าไปสมทบกำลังพลที่เริ่มอ่อนแรง ส่วนไอ้ดนัยฝากนายดูแลทีนะไอ้ศรัณ บอกให้มันรอสแตนบายอยู่ที่ฐาน ห้ามให้มันนำทีมเข้าไปในจุดเสี่ยงเด็ดขาด! ไว้ฉันจะให้ไอ้หมอกช่วยดูมันอีกแรง”
“อืมได้ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันดูแลเอง”ศรัณรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ส่วนนาย ไอ้อิท ช่วยเตรียมเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวที่เรามีนำไปที่จุดตั้งแคมป์ด้วย เราจะเอาไว้ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ดับไฟ”
“ไม่มีปัญหา เรื่องนั้นฉันจัดการเอง”อิทธิฤทธิ์พยักหน้าให้เพื่อนพร้อมช่วยอีกแรง
“ขอบใจพวกนายมาก งั้นวันนี้ฉันไปก่อนล่ะ ไว้เจอกันที่จุดตั้งแคมป์นะไอ้อิท”
ภูมินทร์ลาสองสหายพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวยาวๆออกจากห้อง เพราะต้องไปปฏิบัติภาระกิจอื่นต่อ
………………………………………….