หลังกลับมาถึงฐาน ภูมินทร์ก็ออกคำสั่งนำทีมกำลังอาสาสมัครดับไฟป่าเก้านายเตรียมตัวเดินเข้าป่าด้วยการเดินเท้าเพื่อไปสมทบกำลังพลที่ปฏิบัติงานดับไฟป่าหลายวัน รวมทั้งญาณิศาก็ต้องร่วมเดินทางกับทีมในครั้งนี้ด้วย
“เดี๋ยวก่อนค่ะหัวหน้า”
เสียงหวานทักไว้เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังถือกระเป๋าสะพายลายพรางใบใหญ่เตรียมเหวี่ยงขึ้นหลัง แตกต่างจากเธอที่มีเพียงกระเป๋าสะพายหลังใบเล็กที่มีเสื้อผ้าสองชุดกับของใช้จำเป็นเล็กน้อยไว้ในยามจำเป็นต้องนอนค้างอ้างแรมกลางป่า ส่วนกระเป๋ายาภูมินทร์อาสาเป็นคนแบกไปให้
“มีอะไร?”
“กระเป๋านั่นหัวหน้าจะแบกไปเหรอคะ”
“ไม่แบกแล้วจะให้ลากไปหรือไง”
ภูมินทร์ไม่ตอบ หากแต่ย้อนถามด้วยประโยคสุดกวน ทำเอาเจ้าของคำถามถึงกับต้องเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรงพยายามควบคุมอารมณ์กรุ่นๆให้เย็นลง ญาณิศายอมรับว่าการพูดคุยกับเขานั้นต้องใช้สติและความใจเย็นเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนกวนประสาทเมื่อไหร่ พอตั้งสติได้ก็บอกกับเขาไป
“แต่ที่หลังยังเป็นแผลไม่หายเลยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ นี่คิดว่าเราจะไปเดินแฟชั่นในเมืองหรือไงถึงได้ใส่รองเท้าคัทชูส้นสูงแบบนั้น ถ้าไม่กลับไปเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบสาบานได้ว่าผมจะจับคุณไปเปลี่ยนมันเอง”
ชายหนุ่มว่าพลางกวาดสายตามาที่รองเท้าคัดชูของเธออย่างขัดอารมณ์ นี่แม่คุณคิดว่าตัวเองจะไปเดินในพื้นราบที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรือยังไง ถึงได้ใส่ส้นสูงขนาดนั้น ตอนเดินขึ้นเขาคราวก่อนยังไม่ได้รับประสบการณ์อีกเหรอ ยิ่งคิดภูมินทร์ก็ยิ่งหงุดหงิด และดูเหมือนหญิงสาวจะทราบชะตากรรมของตัวเองดีเลยต้องรีบเอ่ย
“ฉันจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
พูดจบญาณิศาก็หมุนตัวกลับไปที่พักอีกครั้ง แต่กระนั้นก็มิวายบ่นพึมพำไม่หยุด
“ผู้ชายอะไรปากจัด บ้าอำนาจที่สุด”
นัยน์ตาคมกริบมองตามหลังบางไวไวพลางส่ายหน้าเบาๆแล้วถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ จากนั้นก็หันมาหาลูกน้องคนสนิทที่รอรับคำสั่งอยู่
“ไอ้หมอก นายกับหนุ่มน้อยบ้านเนินผาสองคนรออยู่ที่ฐานเป็นกำลังเสริมให้กับทีมหัวหน้าดนัยอีกแรงก็แล้วกัน เจ้าหน้าที่จากศูนย์ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ผาตะวัน หากเกิดไฟป่าที่จุดอื่นนายจะได้ช่วยเหลือพวกเขาได้”
“ครับหัวหน้า”
หมอกรับคำอย่างแข็งขัน พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
………………………………………..
การเดินทางเข้าถึงจุดเกิดไฟป่าต้องเดินด้วยเท้าเข้าป่าในระยะทางหลายกิโลเมตรเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนไม่มีทางเดินรถ ทำให้อาสาสมัครบางต้องขอหยุดพักระหว่างทางเป็นระยะๆ รวมทั้งญาณิศาด้วย ส่วนคนนำทางก็ไม่ได้ใจร้ายจนเกินไป เพราะเข้าใจภาพร่างกายของแต่ละคนบวกกับสภาพอากาศในช่วงเดือนเมษายนที่ร้อนตับแตกทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและเสียเหงื่อได้มากกว่าปกติโดยเฉพาะหญิงสาวร่างน้อยเอวบางที่เขาต้องคอยเดินประกบไม่ห่าง
เมื่อเดินมาถึงริมลำธารที่ตอนนี้น้ำลดลงจากฤดูก่อนหน้านี้มาก จนก้อนหินขนาดใหญ่ในลำธารเริ่มโผล่มาให้เห็น
“เราต้องข้ามน้ำนี้ไป”
เสียงทุ้มหันมาบอกกับทุกคน ทำให้ญาณิศาที่ยืนอยู่ใกล้เขามากที่สุดกวาดมองไปรอบๆเพื่อหาทางที่ทำให้เท้าตัวเองไม่เปียกน้ำ และไม่ต้องถอดรองเท้าผ้าใบออก
“แล้วสะพานอยู่ตรงไหนคะหัวหน้า”เสียงหวานเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งที่ดวงตาคู่สวยยังกวาดหาสิ่งที่เธอกำลังถามถึง
“ไม่มีสะพาน เราต้องเดินข้ามน้ำไป”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้างดงามก็ยับยุ่งเพราะเธอไม่อยากถอดรองเท้าผ้าใบที่มัดเชือกไว้อย่างแน่นหนาเดินข้ามน้ำไป ถึงแม้น้ำจะลึกแค่หัวเข่าก็เถอะ แต่ถ้าจะให้ใส่รองเท้าข้ามน้ำก็เกรงจะเปียกเดินไม่สะดวกอีก และในระหว่างที่อาสาสมัครแต่ละคนเดินข้ามน้ำไปเสียงทุ้มเข้มก็หันมาถามเมื่อเห็นว่าเธอยังลังเลที่จะข้ามไป
“ต้องการตัวช่วยไหม”
ญาณิศาพยักหน้าอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ใบหน้างดงามระบายยิ้มอย่างมีความหวัง ใครกันล่ะจะไม่ต้องการตัวช่วย ถ้ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เธอก็ยินดีทั้งนั้น แต่แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ…หัวใจดวงน้อยเต้นแรง เมื่อทุกอย่างผิดคาดไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดไว้
“ว้ายยยย! หัวหน้าทำอะไรคะเนี่ย!”
ญาณิศาโวยวายด้วยความตกใจ เมื่อมือใหญ่ตวัดช้อนสะโพกงอนงามของเธอขึ้นมาอยู่ในท่าหันหน้าประกบแนบเข้าหากัน จนเธอรีบโอบรัดรอบลำคอแข็งแรงของเขาไว้อย่างอัตโนมัติเพราะไม่อยากตกลงไปกองอยู่กับพื้นระหว่างที่ถูกอุ้มเหมือนเด็กสี่ขวบไร้น้ำหนักราวกับปุยนุ่น โดยที่มีสายตาของอาสาสมัครแต่ละคนที่ยืนมองอยู่อีกฝั่ง
“อ้าวก็ไม่อยากให้เท้าเปียกไม่ใช่เหรอ ผมก็จะช่วยอุ้มข้ามน้ำไปไง”
“ใครที่ไหนเขาอุ้มกันแบบนี้ละคะ ทำไมไม่ให้ขี่หลังไปอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกันล่ะ”
“ก็หลังผมไม่ว่างแบกกระเป๋าอยู่ไม่เห็นหรือไง”
คำตอบที่เต็มไปด้วยความจริงนั้นทำให้ญาณิศาได้แต่อยู่นิ่งๆเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเถียงหรือต่อว่าเขาดี ทั้งที่ในใจนั้นเชื่อเหลือเกินว่ายังมีท่าอุ้มที่ดีกว่าท่าที่เขากำลังอุ้มอยู่อีกมาก โดยเฉพาะท่าเจ้าหญิงในนิทานที่เจ้าชายมักจะช้อนแผนหลังและข้อพับเข่าขึ้นอุ้ม ไม่ใช่ท่าแนบหน้าเข้าหากันอย่างที่เขากำลังทำ ภูมินทร์คลี่ยิ้มบางๆเมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นๆผ่านความเงียบของคนตัวเล็กที่เขากำลังพาเธอข้ามน้ำอยู่ พลางนึกในใจอย่างอารมณ์ดี
‘ช่วยไม่ได้ ก็อยากหาเรื่องใส่ตัวก่อน ในเมื่อผมเลือกใช้วิธีนี้คุณจะมาโกรธผมไม่ได้นะ’
ส่วนญาณิศาดูเหมือนตัวเองเพิ่งรู้ว่าตัดสินใจผิด แต่เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ก็เลยปล่อยให้เขาอุ้มเธอข้ามน้ำเหมือนเด็กน้อยโดยไม่ดิ้นรนขัดขืนอะไร
สามชั่วโมงผ่านไป…
ในที่สุดทุกคนก็เดินมาถึงที่พักแรม โดยการเลือกที่พักแรมนั้นจะมีเจ้าหน้าที่เดินสำรวจรอบๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่ใช่แหล่ง อสรพิษ จำพวก งูพิษ ตะขาบ แมลงป่อง และต่อหลุม ที่จะเป็นอันตรายกับเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า จึงจะมีการออกคำสั่งให้ตั้งเป็นที่พักแรมได้
“นี่คุณหมอญาณิศา มาแทนไอ้เจษ ส่วนนี่ผู้กองอิท เป็นหน่วยเสริมที่จะช่วยเราดับไฟด้วยเฮลิคอปเตอร์”
ภูมินทร์เอ่ยแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน หลังจากที่อิทธิฤทธิ์นำกำลังเสริมมาถึงค่ายพักแรม
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหมอ”
“ยินดีเช่นกันค่ะ”
ทั้งสองทักทายกันก่อนที่จะหาเรื่องพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่ จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันกางเต็นท์ เตรียมที่พักที่จะมาถึงในค่ำคืนนี้ โดยที่หญิงสาวนั่งรออยู่เฉยๆเพราะมีหนุ่มหล่อหุ่นล่ำทั้งสองคนช่วยกันกางเต็นท์ที่พักให้เธอแล้ว
‘เป็นผู้หญิงคนเดียวในดงเสือก็ดีแบบนี้นี่เอง นอกจากจะได้แลหนุ่มหุ่นล่ำที่รายล้อมเป็นอาหารตาแล้วยังได้รับการปรนนิบัติราวเจ้าหญิงอีก ถ้ายายแป๋วมาเห็นแบบนี้คงไม่อยากกลับกรุงเทพฯ แน่เลย’
ญาณิศาคิดพลางหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าใบเล็กมาทำการบันทึกภาพหนุ่มๆไว้ เผื่อกลับกรุงเทพฯ เอาไปฝากพยาบาลสาวรุ่นน้อง และไม่ลืมที่จะเก็บภาพชายหนุ่มที่อีกฝ่ายคลั่งไคล้นักหนาไว้ให้ด้วย