ครึ่งชั่วโมงแป๊ะ! ไม่ขาดไม่เกิน
รถจี๊ปสีเขียวหลังคาผ้าใบคันใหญ่ก็มาจอดเทียบเคียงรถกระบะที่จอดสนิทอยู่ข้างทาง คนขับเปิดประตูออกแล้วพาหน้าตาอันเคร่งครึมก้าวลงจากรถด้วยท่าทางที่บ่งบอกชัดว่ากำลังอยู่ในอารมณ์กรุ่นๆ ญาณิศาที่รอความช่วยเหลือเตรียมฉีกยิ้มกว้าง สร้างความประทับใจแรกพบ แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่ายจริงๆกลับนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกซะงั้น
“มีปัญหาอะไรกับหน้าของผมอย่างงั้นเหรอครับคุณหมอ”
เสียงทุ้มหนักจนเกือบจะกลายเป็นเข้มห้วนเอ่ยถาม ทำให้คนตรงหน้าที่เผลอจ้องใบหน้าหล่อเหลาสะดุ้งสุดตัวก่อนที่จะรู้สึกเสียววาบไปถึงสันหลังโดยไม่รู้ตัวจนหัวใจดวงน้อยแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“เอ่อ…ปะ…เปล่ามีปัญหาค่ะ ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ”
ญาณิศาเอ่ยขอโทษเสียงหลงก่อนที่จะรีบตั้งสติให้กลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สูญเสียความเป็นตัวเองไปชั่วขณะเมื่อได้พบกับตัวจริงเสียงจริงของบุรุษหนุ่มที่ได้ยินวีรกรรมของเขามานาน
‘คุณพระ…ตัวจริงหล่ออย่างที่แป๋วว่าไว้จริงๆด้วย มิน่าล่ะแป๋วถึงได้คลั่งไคล้นัก’
แม้จะกล่าวขอโทษไปแล้ว แต่ก็มิวายแอบสำรวจร่างสูงสง่าผ่าเผยในชุดเสื้อแขนยาวสีเลือดหมู กางเกงตัวยาวสีดำ รองเท้าหนังหุ้มข้อชนิดร้อยเชือกสีดำสนิท มีเข็มขัดตรากระทรวงคาดอยู่ที่เอว แลดูภูมิฐานสมชายชาตรีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มสะกดดวงตาคู่สวยให้เผลอจ้องอย่างไม่ตั้งใจ ญาณิศาเดาว่าชุดที่เขากำลังสวมใส่คือชุดของเจ้าหน้าที่เสือไฟ เพราะมีโลโก้ติดอยู่ที่บ่าแบบเดียวกับที่หมอกมี แต่ความสง่าและความเท่นั้นหมอกเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งทรงผมสกินเฮดสั้นเกรียนติดหนังศีรษะด้วยแล้วก็ยิ่งดูดีแถมยังดูเด็กจนไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเดียวกับหัวหน้าเจ้าของวีรกรรมมากมายที่เธอเคยได้ฟังมาก่อนหน้านี้ และจังหวะนั้นเองจู่ๆหัวใจดวงน้อยของหญิงสาวเกิดเต้นแรงผิดจังหวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้จะพยายามตั้งสติเต็มที่แล้ว แต่ก็มิวายแอบฟุ้งซ่านอยู่ดีหรือถ้าจะพูดให้ถูกคือมันเลิกฟุ้งซ่านไม่ได้ต่างหาก เพราะบุรุษหนุ่มรูปงามปานเทพบุตรตรงหน้ามีเสน่ห์ดึงดูดรุนแรงชนิดที่ไม่สามารถถอนสายตาไปจากเขาได้ เป็นครั้งแรกที่ญาณิศารู้สึกแบบนี้กับเพศตรงข้าม และเป็นความรู้สึกที่เธออยากจะกลั้นใจตายเสียให้ได้เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชายแท้หากแต่เป็นเกย์
‘สวรรค์ต้องการเล่นตลกอะไรกับเรากันแน่! เจอผู้ชายมาเป็นหมื่นเป็นแสน แต่กลับให้เราหัวใจเต้นแรงกับเกย์เนี่ยนะ ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!’
“เสือไฟถูกฝึกให้ทำงานไวก็จริง แต่ในความไวก็ต้องรอบคอบเสมอ ข้อนี้เจ้าหน้าที่ทุกนายทราบกันดี หรือว่านายฝึกหนักจนความจำเสื่อมถึงได้สะเพร่าแบบนี้ ถ้าเกิดฉันไม่ได้ออกลาดตระเวนไฟป่าแถวนี้ นายไม่ต้องติดหงิกอยู่กลางเขาทั้งคืนเลยเหรอ แล้วนี่อย่าได้ไปพูดให้ใครเขารู้เชียวนะว่าฉันเป็นครูฝึกนาย เพราะฉันเชื่อว่าฉันไม่ได้สอนเสือให้กลายเป็นสัตว์สี่ขาอย่างอื่นแน่ๆ”คราวนี้ภูมินทร์หันมาต่อว่าลูกน้องยาวเหยียด
‘เอาแล้วไงไอ้หมอก บทเทศนาเริ่มมาตามที่คาด แต่แสบทรวงกว่าที่คิด’
คนเป็นลูกน้องพึมพำในใจพลางทำหน้าแหยๆ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกหัวหน้าสวด แต่ครั้งนี้มาเป็นชุดแถมแรงเสียจนเขารู้สึกว่าตนเองได้กลายร่างจากเสือมาเป็นเจ้าทุยทึ้มๆอยู่กลางทุ่งนาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“น้ำมันอยู่หลังรถเอาไปเติมแล้วกลับฐานให้เร็วที่สุด”
เมื่อบ่นอีกฝ่ายจนพอใจแล้วก็ออกคำสั่งกับลูกน้องด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด! เปลี่ยนอารมณ์เร็วจนคุณหมอที่ยืนฟังถึงกับทำหน้าเหวอไปชั่วขณะ
“ครับหัวหน้า”
คนถูกออกคำสั่งรีบรับคำก่อนจะวิ่งไปเอาน้ำมันรถในแกลอนหลังรถจิ๊ปไปเติมอย่างว่องไว
“ส่วนคุณหมอ ไปกับผม”
“เอ่อ…ฉันไปกับพี่หมอกก็ได้ค่ะ…ไม่รบกวนหัว…”
พูดยังไม่ทันจบเสียงห้วนดุก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ตอนนี้มืดแล้ว ผมไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับคุณหรอกนะ ขึ้นรถ!”
คำสั่งแข็งๆในตอนท้าย พร้อมใบหน้าขรึมสนิททำให้คนที่กำลังจะพูดต่อต้องหุบปากแทบไม่ทัน แล้วจำใจต้องเดินตามเขาต้อยๆขึ้นรถจิ๊ปไปในที่สุด
พอคุณหมอสาวสวยขึ้นมานั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รถจี๊ปก็เคลื่อนกระชากออกจากที่ตรงนั้นด้วยความเร็วและแรง จนคนที่ยังไม่ทันจะตั้งตัวดีถึงกับหน้าขมำ ยังดีที่ยันมือไว้กับหน้ารถได้ทัน ไม่งั้นใบหน้าสวยๆของเธอก็คงกระแทกไปกับขอบเหล็กตรงหน้าอย่างแน่นอน แต่กระนั้นญาณิศาก็ไม่กล้าโวยวาย ทำได้เพียงบีบมือบนตักไว้แน่น ขณะที่หัวใจเต้นตึกๆ ตักๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวเขาหรือเป็นเพราะความรู้สึกอะไรกันแน่
“แล้วคุณหมอชื่ออะไรล่ะ”
เสียงแข็งกระด้างในทีแรกอ่อนลงเล็กน้อย เมื่อได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในรถ แม้จะทราบชื่อจริงชื่อเล่นรวมทั้งประวัติอย่างละเอียดของเธอหมดแล้ว แต่ภูมินทร์ก็อยากจะถามกับเธอ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเริ่มทำความรู้จักและหาเรื่องคุยกับเธอนั่นเอง
“ณิศา…ญาณิศาค่ะ”
เธอไม่ได้ตั้งใจจะบอกชื่อเล่น หากแต่เป็นเพราะตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง เลยกลายเป็นว่าเธอหลุดพูดชื่อเล่นไปแบบไม่ตั้งใจ และคนเจ้าแผนการก็เล่นตามน้ำไป
“ชื่อเล่นณิศาว่างั้น”
“ค่ะ”
“แน่ใจแล้วเหรอที่จะมาร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้”
คนถูกถามถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ถึงแม้น้ำเสียงจะไม่แข็งกร้าวและแววตาจะไม่ดุดันเหมือนตอนคุยกับลูกน้อง แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยความจริงจังไม่ได้บ่งบอกถึงการล้อเล่นใดใดทั้งสิ้น สังเกตจากใบหน้าหล่อเหลาที่ปราศจากร้อยยิ้ม แลดูเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม
‘จะไม่แน่ใจก็ตอนเห็นหน้าดุๆของหัวหน้านี่แหละ คนอะไรแข็งเป็นหิน ยิ้มไม่เป็นหรือไงกันนะ’
คุณหมอสาวแอบพึมพำบ่นในใจ แต่กระนั้นก็ต้องฝืนฉีกยิ้ม พร้อมกับตอบอีกฝ่ายเสียงเบาหวิวราวกับไม่มั่นใจ
“ค่ะ”
“แล้วก่อนมาทราบหรือเปล่าว่าฐานของเราตั้งอยู่บนดอยสูง ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก”
“ทราบค่ะ ผอ.ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าแล้วค่ะ แม้จะแจ้งล่วงก่อนมาแค่วันเดียวก็เถอะ”ประโยคท้ายญาณิศาแอบต่อเองในใจ
“แล้วคิดว่าจะอยู่ได้หรือเปล่า”
ชายหนุ่มยังคงชวนคุย โดยการหันมามองเธอเป็นพักๆสลับกับมองถนนที่สลับคดโค้งไปมา
“ได้ค่ะ”
ตอบสั้นๆราวกับไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะถึงจะอยู่ไม่ได้ หากเป็นคำสั่งของผู้อำนวยการแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี
“แล้วทางบ้านไม่ติดปัญหาอะไรเหรอ ที่ให้คุณมาทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้”
“ฉันเป็นเด็กกำพร้าค่ะ ไม่มีทางบ้านให้ห่วง”
“แล้วแฟนล่ะ ไม่ว่าอะไรเหรอ”
‘แล้วทำไมต้องถามละเอียดยิบขนาดนี้ด้วยละเนี่ย!’
ญาณิศาเริ่มค่อนแคะในใจ พลางหันมาจ้องหน้าคนถามอย่างข้องใจ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นการชวนคุย หรือการสอบสัมภาษณ์งานกันแน่ หากแต่ดวงตาคมกริบที่กำลังจ้องมองถนนนิ่ง พร้อมท่าทางเงียบขรึมราวกับกำลังรอฟังคำตอบอยู่ ทำให้หญิงสาวจำใจต้องเอ่ยตอบออกไป
“ไม่มีค่ะ ฉันยังไม่มีแฟน หัวหน้ายังอยากรู้อะไรอีกไหมคะ”
เสียงหวานขุ่นน้อยๆบ่งบอกถึงอารมณ์กรุ่นๆของตนตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มปรายตามองเสี้ยวใบหน้างามแว๊บหนึ่ง ก่อนจะหันมามองถนนพลางกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกเหน็บแนม
‘ร้ายเหมือนกันแฮะ!’
ภูมินทร์คิดในใจ จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามหรือโต้ตอบอะไรอีก เพราะเขาต้องตั้งใจขับรถเนื่องจากเริ่มเลี้ยวเข้าสู่ถนนลูกรังและค่อนข้างแคบนั่นเอง
……………..………………………….