ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของไทยและเช็คอินเข้าพักโรงแรมในตัวเมืองต้องออกมาอีกอำเภอเพื่อมาที่ท่าเรือเท่านั้นไม่พอหล่อนต้องเสียเวลาไปหลายสิบนาทีเพื่อหาเรือข้ามฝั่งเพราะเท่าที่เดินหามานี่ก็เรือลำที่ห้าแล้วที่ปฏิเสธไม่ไปส่งหญิงสาวที่เกาะรังนกที่มีชื่อหวานหยดย้อยว่าเกาะรินจันทร์ของนายหัวอัครินทร์แม้นว่าหล่อนจะให้ค่าจ้างที่สูงลิบแต่ชาวประมงก็ส่ายหัวมันทุกรายจนน่าหัวเสียเป็นที่สุด
หล่อนเดินไปมา มีคนขายทัวร์ชมเกาะรังนกมาขายให้หล่อนเต็มพรืดไปหมด แต่พอบอกว่าจะไปเกาะรินจันทร์ ทุกคนก็ส่ายหน้าเดินหนีหล่อน มีเพียงลุงแก่คนหนึ่งที่แต่งกายราวกับซินแสจีนเท่านั้นที่เดินยิ้มมาหาหล่อน แต่ก็ต้องเสียอารมณ์อีกรอบเมื่อแกแค่มาทักว่า
“ปีนี้ปีชงของหนูนะ... มีเคราะห์ร้ายเสียตัว โดนข่มขืนกระทำชำเรา หากอยู่ใกล้ทะเล”
หญิงสาวถอนใจ กล่าวขอบคุณลุงแก่นั่น แล้วยื่นเงินให้หนึ่งร้อยบาทตัดรำคาญ แล้วเดินหนีมาที่ร้านขายผลไม้แทน
“ฉันถามจริงๆ เถอะป้า ทำไมไม่มีใครอยากไปที่เกาะนั้น”รุ่งอรุณถามแม่ค้าขายผลไม้ที่หล่อนแวะมาซื้อน้ำมะพร้าวดื่มดับกระหายคลายร้อน
“เกาะไหนๆ ก็ไม่มีใครอยากไปหรอกคุณ ขึ้นชื่อว่าเกาะรังนกนะ... เขาไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าใกล้หรอก ไล่ด่า ไล่ยิงให้ออกนอกพื้นที่มาหลายรายแล้ว...”
“อย่างนั้นคนที่จะมาดูความงดงามตามธรรมชาติของท้องทะเลก็ไม่ได้เห็นสิ แถบนั้นปะการังสวย น้ำทะเลใสอย่างนี้... น่าสนับสนุนการท่องเที่ยวจะตาย จะมากีดกันทำไมเนี่ย” รุ่งอรุณบ่นเสียงดัง
“ก็เพราะแยกไม่ออกนะสิว่าพวกไหนไปเที่ยวจริงพวกไหนไปขโมยรังนกแค่เรือท่องเที่ยวเฉียดใกล้นายหัวปืนโหดกับพวกลูกไล่ในเกาะก็ไล่ยิงให้ออกนอกพื้นที่มาหลายรายแล้ว ขนาดผู้ว่าๆ จังหวัดเรียกประชุมขอความร่วมมือไม่ให้ทำแบบนั้นกับนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ผล เลยไม่ค่อยมีคนอยากไปส่งที่เกาะแถวๆ นั้นหรอก ใครก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้นแหล่ะคุณ” แม่ค้าวัยคุณป้าอธิบายยืดยาว มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่หัวดื้ออยากไปในเขตที่ไม่ควรจะไปแบบหล่อนหลายคน เพราะเหตุที่ว่าท้องทะเลเขตแถบเกาะรังนกสวยและใสสะอาดนั่นเอง
“ทะเล ทราย ชายหาดที่ไหนมันก็สวยเหมือนกันหมดแหล่ะคุณ ลองไปที่ที่เขาเปิดให้เที่ยวดีกว่า สวยเหมือนกัน น้ำทะเลงี้สีฟ้าใส มีร้านอาหาร มีนักท่องเที่ยวมากมาย ปลอดภัยกว่าเยอะ”
“โธ่ป้า... ฉันต้องไปเกาะรินจันทร์ เพราะต้องไปหานายหัวอัครินทร์เป็นการส่วนตัว ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่มีเรือไหนไปที่เกาะนั้นเลย... ท่าเรือนี้ไปเกาะรินจันทร์ได้ไม่ใช่หรือไง”
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก นึกว่าจะไปเที่ยว รู้จักนายหัวเค้ารึไง” แม่ค้าถามอย่างประเมิน หญิงสาวสวยงามที่แต่งตัวหรูหราตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าโฉบเฉี่ยวทันสมัยคลุมด้วยผ้าพันคอหลุยส์วิตตองสีน้ำตาลตัดกับผิวขาวจัดของแก้มที่มีจุดแดงเรื่อๆ ด้วยต้องแดดต้องลมเป็นเวลานาน นางมองเลยมาที่กระเป๋าหนังยี่ห้อเดียวกับผ้าพันคอคล้องไหล่เจ้าตัวอยู่เลยลงมาจนถึงรองเท้าบู๊ตส้นสูงปรี๊ดสีน้ำตาลเข้มหุ้มถึงข้อเท้า... ทำให้นึกหวาดเสียวว่าย่ำบนพื้นทรายแล้วจะทำให้หัวคะมำทิ่มทรายหงายท้องขึ้นฟ้า...
สวยจัดอย่างนี้บอกว่าเป็นสาวๆ ที่มาหานายหัวอัครินทร์ก็พอฟัง ถ้าไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวที่อยากไปป้วนเปี้ยนในเกาะอย่างนี้ก็ว่ากันง่ายขึ้นมาหน่อย
“ขาวๆ อย่างนี้คงไม่เคยมาทะเลล่ะสิ”
“ไม่ค่อยได้ไปไหนร้อนๆ หรอกป้า พอเจอแดดเจอลมหนักๆ ก็ไม่ค่อยสบาย ถ้าไม่มีธุระกับนายหัวก็ไม่มาเหมือนกันหรอกร้อนขนาดนี้” หญิงสาวตอบ
ตอนสมัยเด็กหล่อนเป็นเด็กที่ไอคิวสูงจึงถูกจับเข้าเรียนหนังสือและเข้าคอร์สเรียนวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ของเด็กอัจฉริยะโตมาก็เรียนแพทย์และคร่ำเคร่งอยู่กับวิชาการเหล่านั้นไม่ได้สนใจโลกภายนอก จนเมื่อวันหนึ่งเหตุการณ์บางอย่างทำให้ชีวิตหล่อนพลิกผันให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หล่อนหันหลังให้เรื่องการรักษาและวิชาการมาใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง จึงได้เปิดตนเองสู่โลกภายนอกมากขึ้น แต่ไม่นับการมาที่เกาะรังนกนี้เพราะการมาที่นี่จุดมุ่งหวังคือเอาตัวของนายหัวอัครินทร์ไปรับผิดชอบน้องสาวของหล่อนกับลูกในท้องให้ได้ ไม่ใช่การมาเที่ยวแต่อย่างใด
“ว่ายังไง ป้าบอกได้ไหม ถ้าจะไปหานายหัวจะต้องไปยังไง ป้าหาให้ฉันได้ไหม ฉันให้เงิน”
“ไม่ต้องหรอก” แม่ค้าโบกมือปัดๆ “ไม่ต้องใช้เงินว่าจ้างหรอก คนใต้ใจดีมีน้ำใจ... ถ้ามีธุระที่เกาะนั้นก็จะพาไปถามดูที่ท่าเรือโน้น... มีเรือจากเกาะรินจันทร์รับส่งคนเข้าออกเกาะอยู่ ตามป้ามาป้าจะพาไปถาม”
“ขอบคุณมากค่ะป้า”
ณ ท่าเรือที่ห่างจากท่าเรือโดยสาร มีเรือที่เตรียมพร้อมไปเกาะรินจันทร์สองลำ อีกลำหนึ่งคือเรือไม้ลำใหญ่แลคล้ายเรือประมงแต่ไม่ใช่เพราะมันเป็นเรือโดยสารที่ขนส่งชาวบ้านบนเกาะกับบนฝั่งและยังใช้ในการบรรทุกของอีกด้วย อีกลำหนึ่งคือเรือสปีดโบ๊ทขนาดบรรทุกไม่เกินยี่สิบคนลำสีขาวใหญ่ใหม่เอี่ยม เรือทั้งสองมีธงชาติไทยปักอยู่ตรงหัวเรือ ข้างลำเรือมีตราสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ดวงกลมโตสีเหลืองที่มีเงาของเสือพาดผ่านแลดูน่าครั่นคร้าม เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญมากกว่างดงาม
รุ่งอรุณคิดในใจว่าหล่อนต้องยัดเงินสักเท่าไหร่กันหนอถึงจะได้นั่งเรือลำเล็กที่น่าจะรวดเร็วและสะดวกสบายกว่าเรือลำใหญ่ที่วิ่งด้วยความเร็วอืดอาดนั่น
“ไปหน๊าย” เสียงหนุ่มร่างดำคล้ำที่ดูแลเรือสปีดโบ๊ทอยู่ถามเป็นภาษาใต้
หญิงสาวผู้ยืนมองเรือขนาดย่อมสีขาวอยู่ ฟังไม่ทันจึงได้ทำหน้าเรียบเช่นเดิมเพื่อรอเขาพูดซ้ำ
“แหลงด้วยก็ไม่แหลงกลั๊บ พรั่นพรือได้หยิ่งแบ๊บหนี๊” คนขับประจำเรือสปีดโบ๊ทเกาหัว ผมทรงเดทร็อคที่ทำตั้งแต่ตอนที่ไปปล่อยเจ็ทสกีตามหาดเมืองท่องเที่ยวไม่ได้สระมาสามวันคันเป็นอย่างมาก เขาเกาๆ ไปพลางบ่นไป
รุ่งอรุณฟังไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาพูดภาษาใต้ เพราะพูดรัวเร็วปรื๋อ จากสภาพของคนขับเรือสปีดโบทตัวดำ ปากหนาสีแดงแปร๊ด ดวงตาคมโต และจมูกโด่ง หรือว่าจะเป็นพวกต่างชาติ แล้วชาติไหนล่ะ ตัวดำอย่างนี้ด้วยอาจจะเป็นพวกประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน หญิงสาวจึงลองพูดกับเขาสักภาษา
“บะ บ่ง ชูว์” หล่อนพยายามจะบอกสวัสดีเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ดันตะกุกตะกักและพูดไม่ออกเพราะอีกฝ่ายยิ้มแฉ่งอวดฟันขาวหมดปากจนน่าตกใจ มือดำยื่นมารับกระเป๋าจากหล่อน
“อัยย๊ะ เมียนายหัวเป็นฝาหรั่งแต่ไม่รู้หรั่งประเทศหน๊าย... แหล่งไม่รู้เรื่องหลาว... เจ๊บหัวจริงๆ” คนขับเรื่องเริ่มจะปวดหัว เขาถูกนายหัวไทเกอร์ที่เพิ่งกับมาจากกรุงเทพๆ ให้เอาเรืออกมารับเพื่อนผู้หญิงบอกแต่ว่าเป็นชาวต่างชาติคนอื่นๆ ก็เลยพร้อมใจให้เขาขับเรือมารับเพราะบรรดาคนในเกาะที่ขับเรือเป็นมีเขาพูดภาษาอังกฤษได้อยู่คนเดียวไอ้ภาษาอังกฤษเขาก็พอพูดได้ แต่ภาษาอื่นนอกจากจะพูดไม่ได้ก็ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน เข้มจึงตัดสินใจพูดภาษาอังกฤษลองดูเพราะคิดว่าอีกฝ่ายต้องพูดได้แน่นอนไม่เช่นนั้นนายหัวคงไม่ส่งเขามารับ
“คุณจะไปไหน ไปหาคุณไทเกอร์ที่เกาะรินจันทร์หรือเปล่า” เข้มถามด้วยภาษาสากลน้ำเสียงสุภาพ เขาเคยขับเรือสปีดโบ๊ทส่งชาวต่างชาติไปฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพะงันมาหลายปี หากว่างก็ไปปล่อยเช่าเจ็ทสกีตามหาดหารายได้เสริมให้ครอบครัวนอกนั้นยังเคยเดินขายของที่ระลึกตามริมหาดเมืองท่องเที่ยวมาระยะหนึ่งจึงพูดภาษาเหล่านี้ได้ดี
“อ้อ ใช่ค่ะใช่ ฉันจะไปหามิสเตอร์อัครินทร์ คุณไปส่งฉันได้ไหม” รุ่งอรุณใจชื้นขึ้นมาเมื่อคนขับเรือพูดภาษาอังกฤษได้เพราะหลังจากลองภาษาฝรั่งเศสแล้วไม่ได้ผล คาดเด่าเอาใหม่ว่าคนขับเรือคงเป็นชาวพม่า เพราะเคยได้ยินเหมือนกันว่าบางคนที่เข้ามาทำงานที่เมืองไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองท่องเที่ยวนั้นจะพูดได้สองภาษาคืออังกฤษกับพม่าและภาษาไทยนั้นจะได้มากได้น้อยแล้วแต่ว่าคนนั้นจะอยู่มานานแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นส่งกระเป๋ามาเลยครับ” เข้มรับประเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมแต่หนาหนักจากหล่อน แล้วเชิญลงเรือไป... เรือลำนี้เป็นเรือพิเศษที่ส่งมารับผู้หญิงของนายหัวโดยเฉพาะไม่ต้องรอรับคนอื่นอีก จึงออกเรือได้เลย...
รุ่งอรุณสวมเสื้อชูชีพและแว่นกันแดดสีชานั่งที่ด้านหลังของเรือ ดวงตาหล่อนทอดมองท้องทะเลยามบ่ายที่มีแสงแดดร้อนแรงสาดส่องน้ำทะเลสีฟ้าพราวระยับ... ภาพฟองคลื่นสวยงามตามเส้นทางที่เรือวิ่งผ่านนั้นน่าพิศ ยามที่ได้เห็นโลกกว้างสวยงามเช่นนี้... หล่อนคิดอยู่เสมอว่าการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองใหม่ เลิกขังตัวเองอยู่หลังม่านวิชาการ คร่ำเคร่งกับงานจนไม่ได้กินไม่ได้นอนไม่ได้พักผ่อน มาอยู่กับความเสรีไร้ซึ่งกังวลใดๆ มันคือการเลือกที่ถูกต้องแล้ว...
เรือสปีดโบ๊ทออกไปแล้ว หญิงงามรูปร่างเย้ายวนจนคนต้องมองตลอดยามหล่อนเยื้องย่างผ่านนั้นเดินเข้ามาที่ท่าเรือไปเกาะรินจันทร์อย่างคุ้นเคยเพราะเจ้าตัวมาที่นี่หลายครั้ง... เคเธอรีน่าขมวดคิ้วมุ่นเมื่อไม่พบเรือที่ควรจะมารับตน... โปรแกรมเมอร์สาวหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นทันสมัยออกมากดโทรหาคนที่รอหล่อนอยู่ที่เกาะ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ...
หล่อนอารมณ์เสียเล็กน้อยที่ตนเองนั้นไม่ได้มาเกาะนี้พร้อมกันกับอัครินทร์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้
เมื่อเช้านี้หล่อนได้รับข้อความจากเขาว่าจะส่งเรือมารับที่ท่าเรือให้หล่อนมาได้เลยเขาจะรอที่เกาะ แต่พอหล่อนมาตามเวลานัด กลับไม่มีเรือรอรับหล่อน ซ้ำยังติดต่อเจ้าของเกาะไม่ได้อีก จากที่อารมณ์ร้อนๆ เพราะแสงแดดแผดเผาก็ต้องกรุ่นโกรธกว่าเก่าที่ไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่าง หล่อนหายใจเข้าออกแรงๆ เพื่อระงับอารมณ์ พยายามบอกตัวเองว่าหล่อนจำเป็นต้องไปที่นั่น...
เคเธอรีน่าพยายามข่มอารมณ์โกรธของตนเองเอาไว้อย่างยิ่งยวด... พอนึกถึงสิ่งที่จะได้รับหากได้ใช้ช่วงเวลาอยู่กับเขาที่กระท่อมหลังงามท่ามกลางแสงจันทร์อย่างแนบชิดกับชายผู้เปี่ยมเสน่ห์และมอบบทรักที่เร่าร้อนให้หล่อนอย่างไม่รู้จักอิ่มเอมเกือบเดือนก็ทำให้หล่อนใจเย็นลงได้บ้าง