ตอนที่5
เช้านี้ทั้งสามีภรรยาเดินลงมาจากห้องนอนด้วยท่าทางอิดโรย แม่ ๆ ที่ยืนรออยู่ข้างล่างก็มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก
“หน้าตาอย่างกับคนไม่ได้นอน เมื่อคืนทำอะไรกันอยู่จ๊ะ” รตรีถามลูกชายด้วยท่าทีเคอะเขินทำให้ร่างบางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สามีก็หน้าแดงขึ้นมา
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นอ่ะแม่” ภูวดลตอบปัดแม่ไปก่อนคนข้าง ๆ จะเขินตายลงตรงนี้
“จริงเหรอ” คราวนี้เป็นแม่ของรสรินเองที่ทำท่าถามมาอีกคน
“จริง ๆ นะคะแม่” รสรินมองหน้าแม่แล้วตอบเสียงดัง สาเหตุที่พวกเขาเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าทั้งสองนอนไม่หลับเพราะมั่วแต่คิดเรื่องของกันและกัน ภูวดลก็คิดว่าภรรยาไม่มีผ้าห่มจะหนาวหรือเปล่า รสรินเองก็คิดเรื่องที่สามีปฎิเสธที่จะนอนร่วมกับตนเองเพราะรังเกียจหรือเปล่า
“อยู่กันข้าวกับแม่ก่อนไหม” แม่ขำเสร็จก็กลับมาถามลูกสาวสุดที่รัก
“เอ่อ..” รสรินอ้ำอึ้งพร้อมมองหน้าของสามี
“กินครับ” ภูวดลหันไปมองหน้าภรรยาที่กำลังมองมาที่ตนอยู่ แล้วเอ่ยตอบแม่ยายไป
“ดีเลยจ๊ะวันนี้พวกแม่ ๆ ทำอาหารเยอะแยะเลย” รตรีเดินนำไปที่ครัวแล้วเอ่ยเสนอเมนูที่ตนทำวันนี้ให้ลูก ๆ ดูว่าพวกเธอทำอะไรไว้บ้าง
“อันนี้ตาพีทออกไปช่วยน้องนะลูก” รตรีบอกลูกชายที่ยืนดูภรรยายกอาหารออกไปโดยไม่แม้แต่จะช่วย
“ผมเหรอ” เขาถามอย่างงงวย นี่ไม่ใช่หน้าที่เขาสักหน่อย
“ใช่ ทำไม หรือแกจะขัดคำสั่งฉัน” น้ำเสียงของแม่จริงจังขึ้นทำให้ภูวดลต้องทำตาม ชายหนุ่มยกถ้วยแกงสองถ้วยพร้อมกันเดินมาที่โต๊ะอาหาร รสรินที่เห็นว่าสามีเดินมาพร้อมถ้วยสองถ้วยจึงอาสาจะเข้าไปช่วย ทว่ามือเล็กกำลังจะเอื้อมเอาถ้วยแกง ภูวดลก็เบี่ยงถ้วยหนีไม่ให้ร่างบางจับ รสรินที่เห็นสามีปฎิบัติแบบนั้นกับตนเองก็หน้าเสียไม่น้อย
“อะไร” ระหว่างที่นั่งรอมารดาของท้้งสองที่โต๊ะรสริตแอบเหลือบมองสามีอยู่หลายครั้งจนภูวดลต้องถามขึ้นมา
“ปะ..เปล่าค่ะ” ร่างบางปฎิเสธแล้วรีบก้มหน้ากลัวว่าอีกคนจะต่อว่าเอา
“มาแล้วจ๊ะ” รตรีผู้เป็นแม่ของภูวดลถือจานไข่เจียวหมูสับมาแล้ววางลงโต๊ะตรงหน้าของร่างสูง รสรินแปลกใจที่รตรีวางไข่เจียวตรงนั้นเพราะภูวดลเคยบอกเธอว่าไม่ชอบไข่เจียว
“หนูโรสรู้ไหมจ๊ะ ตาพีทนี่ชอบไข่เจียวหมูสับมากเลยนะ”
“ไม่ค่ะ..” รสรินตอบเสียงแผ่วตามความจริง เพราะเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสามีเลย จะถามก็กลัวจะโดนต่อว่าอีก
ทุกคนนั่งที่ของตนเองเรียบร้อย แต่ยังไม่มีใครตักอาหารเข้าปากสักคำ ราตรีจึงเป็นคนเริ่มตักอาหารแจกจ่ายให้ทุกคน แต่ไม่ทันที่ภูวดลจะตักอาหารเข้าปากก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องหรูชะก่อน
“ฮัลโหล” ใบหน้าที่นิ่งขรึมของภูวดลมองมาที่รสรินก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ที่นั่งกินข้าวอยู่เดินไปข้างนอก
“อย่าบอกนะว่าลูกชายแกจะมีงานด่วน” มารดาของรสรินหันไปหาราตรีแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าเซ็ง ๆ
“ไม่หรอกน่า เธออย่าว่าไปสิ” รตรีตอบกลับไปด้วยความกังวล ในใจเธอก็กลัวว่าลูกชายจะมีงานด่วนอย่างที่เพื่อนว่าจริง ๆ
“ใช่ครับ เขาคงไม่มีหรอก” ร่างบางที่นั่งข้าง ๆ แม่ว่าเสริม
“โอเคร ไม่มีก็ไม่มี” แม่ของรสรินว่าแล้วก็กลับมาสนใจอาหารจรงหน้าต่อ เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีภูวดลก็เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งพร้อมใบหน้าที่คิ้วขมวดเข้าหากันใกล้จะเป็นโบว์
“ใครโทรมาตาพีท” รตรีถามลูกชายด้วยความห่วงใยป่นกังวลว่าลูกชายจะมีงาน
“เลขาครับแม่ พอดีว่ามีงานด่วนต้องไปทำ คงไม่ได้กินข้าวด้วยแล้ว ขอโทษด้วยครับ” ว่าแล้วก็เดินออกไปไม่รอให้คนเป็นแม่ได้พูดอะไนด้วย
“อะ..อ่าวคุณรอโรสด้วยสิ” ร่างบางที่เห็นสามีไม่รอก็รีบวิ่งตามไป ทำเอามารดาทั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก พ่อ นั่งเงียบตั้งแต่เริ่มต้นเพราะเขาทั้งคู่ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งวานครั้งนี้เป็นภรรยาทั้งสองที่จัดแจง หัวหน้าครอบครัวแบบเขาทั้งคู่มีแค่หน้าที่ทำตาม
“เธอจะตามออกมาทำไม” ภูวดลถามภรรยาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก็บอกอยู่ว่าเขามีงานยังจะตามมาอีก
“โรสขอไปด้วยนะคะ” รสรินก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาสามี รวีที่เห็นก็เห็นใจจึงยอมให้ภรรยาในนามติดตามด้วยคน
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้ามาในบริษัท พนักงานงานรอบข้างก็ต่างพากันมองตามไป ภูวดลไม่ได้สนสายตาใครที่มองมา เขามุ่งหน้าไปหาสิ่งที่เขาต้องการทันที แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคนที่เดินมาด้วยกันหยุดอยู่ไม่ยอมตามมา
“ฉันว่าคุณมารียาเหมาะกับคุณภูวดลสุด ๆ ไปเลยแกว่าไหม” เหตุผลที่ทำให้รสรินหยุดอยู่ตรงนั้นคือเสียงใสของสาวพนักงานสองคนกำลังคุยกันถึงสามีของตนกับผู้หญิงคนที่ไปกินข้าวกับภูวดลวันนั้นที่ห้าง
“ใช่ ๆ เหมาะกันสุด ๆ คุณภูวดลหล่อคุณมารียาก็สวย” หญิงที่ยืนอยู่ด้วยกันว่าเสริม รสรินที่ได้ยินแบบนั้นก็ใจสั่นขึ้นมาทันที
“จะหยุดทำไม ฉันรีบ” ไม่ใช่ภูวดลไม่ได้ยินที่สองสาวพูดคุยกันในเรื่องของเขา แต่เขาตั้งใจให้มันเป็นไปแบบนั้นตั้งหาก ส่วนรสรินเองนั้นแทบอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนี้ ภูวดลไม่คิดจะแก้ข่าว และไม่คิดจะบอกใครว่ารสรินคือภรรยา แม้ตัวเขาจะเห็นสายตาที่เเสนเศร้าของรสรินแต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้ร่างบางรู้สึกดีขึ้นมาแม้แต่น้อย