[ Evolution Stage ]
แสงสว่างเปล่งประกายล้อมรอบร่างของผินอิน ปรากฏกลายเป็นว่า ผินอินได้สวมชุดสีชมพูเข้ม เครื่องประดับแตกต่างไปจากที่เคยสวม อีกทั้งเมื่อก้าวข้ามอุโมงค์กลีบดอกท้อ เธอก็ได้เข้ามาอยู่ยังสถานที่ที่ไม่คุ้นตา
“ที่นี่มันที่ไหนอีกล่ะ?”
เสียงกระพรวนดังขึ้น พร้อมตุ๊กตาหน้าจีนเดินเข้ามาหลังจากอากาศรอบกายหยุดค้าง
[ แจ้งท่านผู้เข้าแข่งขัน ยินดีกับสกอร์สูงสุดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว ]
สกอร์คะแนนสะสม และแต้มชีวิตของผินอินมีปรอทตั้งขึ้นมาบนศีรษะ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองจึงเห็นชัดเจนว่าเกือบเต็มทั้งสองปรอท
ปรอทคะแนนชีวิตเหลืออีกเพียงสิบขีดจะเต็มหลอด ซึ่งขึ้นอยู่ในระดับสีเขียวเข้ม
“นั่น แต้มชีวิตของฉัน กำลังจะเต็มนี่นา”
[ หากคะแนนชีวิต มีค่าสูงเกินสามในห้า จะสามารถนำมาเรียกใช้เป็นไอเทมประจำตัวได้ แต่มีเงื่อนไข คือ ต้องแลกด้วยแต้มครั้งละสิบแต้ม ]
“หนก่อนก็ทีหนึ่งล่ะ เรื่องอะไร จะยอมแลกง่าย ๆ รู้ทันแล้วไม่มีทางจะเอาไปแลกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว”
[ หากไม่ทำการแลกคะแนนชีวิต เมื่อคะแนนใกล้เต็มจะถูกทดลงไปในแถบสกอร์ชีวิตต่อไปโดยอัตโนมัติ ]
“อ้าว... ตกลงมีกี่แถบ กี่สกอร์กันแน่ล่ะ”
ตุ๊กตาหน้าจีนยกมือขึ้น เสียงปลดล็อคดังขึ้นกลางอากาศ ทั้งที่หาที่มาไม่เจอ
ปรากฏแถบสกอร์ชีวิตมีด้วยกันถึงสามสกอร์ แถบแรกเป็นสีเขียว ซึ่งกำลังใกล้จะเต็ม แถบที่สองเป็นสีคราม แถบสุดท้ายเป็นสีขาวแทบจะโปร่งแสง
[ เมื่อสะสมคะแนนชีวิตจนถึงแถบสุดท้ายกระทั่งเต็ม นั่นหมายถึง จะได้กลับคืนสู่โลกเดิมของผู้เข้าแข่งขันค่ะ ]
บนมอนิเตอร์ที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ปรากฏตัวผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ มากมาย ทำให้ผินอินตกตะลึง เพราะเพิ่งทราบว่าตนเองไม่ได้เป็นเพียงคนเดียว ที่เข้ามาติดอยู่ในโลกแห่งเกมนี้
“นี่หมายความว่า ยังมีคนอื่นที่ไม่ใช่แค่ฉันอยู่ด้วยสินะ ร้ายกาจมาก!”
[ โลกแห่งนี้ เกิดจากกระแสไฟฟ้า และความคิดที่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง จะเรียกได้ว่าเป็นแมพที่เสนอและสนองความต้องการของแต่ละฝ่ายก็ไม่ผิด ]
“แล้วแบบนี้มันต้องเล่นเกมกันจนตายไปข้างหนึ่งเลยหรือยังไง ถึงจะได้กลับไปโลกแห่งความจริงได้”
[ กติกาย่อมเป็นกติกา หากเล่นตามกติกา ก็สามารถไปถึงเส้นชัยได้อย่างแน่นอนค่ะ ]
ผินอินสะบัดหน้าเดินไปยังทางออก
“ที่นี่คือที่ไหน ทำไมมันไม่เหมือนกับทุกที่ที่เคยไป” เธอมองไปรอบ ๆ หัวใจกระตุก
[ จากนี้ไปคือสเตจ ด่านท้าวัดใจกับโคมไฟร้อยดวง ]
“แหม... ชื่อนะอย่างกับเดอะมูฟวี่เด็กแว้น”
[ ผู้เข้าร่วมแข่งขัน ต้องประชันการทายปริศนาบนโคมไฟ ให้ครบตามที่กำหนด หากทำได้ก่อนผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ถือว่าเข้ารอบ หากทำได้มากกว่าสิบดวง จะได้คะแนนเพิ่มคูณสอง ]
ผินอินทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องใช้แรงข้าไม่ว่า แต่เรื่องเหลาปัญญาข้าไม่ไหว
แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เรียนมากระทั่งเป็นเด็กมหาวิทยาลัย วิชาที่ต้องใช้สมองมากกว่าแรงานกับฝีมือ ตนมักตายเรียบ
“ตายแน่เรา ไม่ถนัดเสียด้วยงานนี้ เอาไงดี?”
[ ปุ่มเอฟ สามารถกดได้ ในสถานะที่ต้องการคำปรึกษา หากเรียกใช้เกมมาสเตอร์มากกว่าสามครั้ง คะแนนชีวิตจะถูกลดลงหนึ่งขีดโดยอัตโนมัติ ]
“แบบนี้ก็มีด้วยหรือ เฮ้อ...”
แสงสลัวเริ่มต้นด้วยสีครามเข้มตัดสีส้ม ดูละลานตา ก่อนฉากจะเริ่มต้นด้วยแสงสีเทาเข้มกระทั่งไล่ไปในความมืดมิด
ด้านหน้าคือประตูที่กำลังจะเปิดสู่เทศกาลโคมไฟ
ผินอินเดินข้ามประตูเข้าไป
เสียงไล่มาจากทางด้านหลัง
[ Stage Start! ]
ด้านหน้าคือผู้คนจอแจมากมาย ผินอินในชุดสีขาวงดงามถูกห่อคลุมด้วยผ้าคลุมไหล่ สีเดียวกับหยกเนื้อดีเขียวมรกต
ท่ามกลางผู้คนมากมาย งานเทศกาลถูกจัดขึ้นตั้งแต่ถนนสายหลักทั้งสามของเมือง ทอดตัวยาวไปกระทั่งถึงใจกลางเมือง ซึ่งเป็นลานกว้าง
“โอ้โห?”
“เร่เข้ามา เร่เข้ามา วันนี้ร้านของเรามีเกมสนุก ๆ แจกโคมพร้อมทายคำใบ้ หากผู้ใดทำได้ จะได้รับโคมอิงเหลา ที่ทำมาจากฝีมือช่างทำโคมไฟที่เก่งที่สุด”
ผินอินมองไปยังบนหัวของเจ้าของร้าน ไม่พบแถบวัดค่าพลัง จึงไม่เข้าใจ ปกติเมื่อเดินมาพบผู้เปิดสเตจ ย่อมจะเห็นแถบวัดพลังของผู้สั่งการ
“แปลว่า ไม่ใช่ร้านนี้ แล้วร้านที่เราต้องไปร่วมเล่นเกมมันอยู่ที่ไหนกันละนี่?”
เดินไปเรื่อย ๆ เธอสังเกตตามร้านต่าง ๆ แต่สุดท้ายแม้จะเดินจนรอบแต่กลับไม่พบกรรมการตัวจริง
“โอ้ย! แบบนี้เมื่อยขาเปล่า ๆ เมื่อยแล้วนะ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ แถมไม่มีกำหนดเวลาแบบนี้ ก็เท่ากับหลอกให้เราเดินหาจนน่องโป่งเลยสิท่า”
ผินอินนั่งลงยังขอบบ่อน้ำ นั่งทุบขาตัวเอง เธอมองดูพ่อแม่ลูกในงานเทศกาล ไม่ว่าใครต่างมีคู่ คนในครอบครัว มีเพียงตนที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
พลันมองไปยังหอสูงด้านข้างกำแพงเมือง เป็นอารามหลวงมีผู้คนมากมายไปยืนออกันที่นั่น
“นั่นเขามีงานอะไรกันน่ะ” ดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม และรีบเดินไป
เมื่อเดินเข้าไปดูปรากฏว่า ผินอินพบกับเณรน้อยรูปหนึ่ง ท่วงท่าปราดเปรียว แววตาเฉียบคม
“นั่นหลวงจีนน้อยนี่นา”
“ใช่หลวงจีนน้อยที่ไหน โง่จริงเชียว นั่นคือโหมวย่งสือ ปราชญ์จากสำนักคุณหลันต่างหาก”
“จุ้ยจวี้... นี่เจ้าก็ยังมางานนี้กับเขาด้วยหรือ?”
“เจ้าต่างหาก นางแม่มด ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ เดี๋ยวไปโผล่ที่นั่นที ที่นี่ที ไม่เคยมีใครเห็นด้วยซ้ำว่า บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน แต่เจ้ากลับดันโผล่ไปได้ทุกที่ พูดแล้วมันน่าพิลึกจริง”
ผินอินไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากตอบโต้ แต่เท่าที่เดาคู่แข่งวันนี้คงไม่พ้นจุ้ยจวี้เป็นแน่
เสียงตีฆ้องดังสนั่น ทั้งสองหันไปมองทางปราชญ์อายุน้อย ผินอินนึกตกใจ เมื่อเห็นแถบสกอร์ของกรรมการผู้คุมเกมลอยอยู่บนศีรษะของปราชญ์น้อย
“อ้อ... ที่แท้เณรน้อย ก็คือกรรมการผู้คุมเกมครั้งนี้นี่เอง”
“ผู้เข้าร่วมแข่งขัน หากผู้ใดเป็นคนของทางวังหลวง จะต้องแจ้งชื่อและสังกัด เพื่อป้องกันความวุ่นวาย ส่วนชาวบ้าน ไม่ต้องลงทะเบียน”
“อะไรกันน่ะ ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วย”
“นี่คือกฎ หากเจ้าต้องการเล่น ก็จงทำตามกติกา”
“แหม... ทำหน้าทำตาดุเสียด้วย แถวบ้านข้านี่ หัวโล้น ๆ แบบนั้นเรียกเด็กแว้น ให้ตบเรียงหัวมาเยอะแล้วนะ”
เณรน้อยไม่นึกใส่ใจหญิงสาวท่าทางพิลึกเช่นผินอิน ทั้งที่นางออกจะหน้าตาสะสวยเด่นกว่าผู้อื่น
“หากผู้ใดต้องการลงทะเบียน ให้เดินตามข้าเข้ามาด้านในอาราม”
ผินอินไม่รอช้า นางรีบยกชายกระโปรงยาวขึ้นแล้ววิ่งตามเข้าไป ทันทีที่เท้าก้าวข้ามประตู โลกของอีกฝั่งก็เริ่มเข้าสู่โหมดเกม
สีสันในอารามถูกจัดให้กลายเป็นรูปร่างในเกมอาเขต ข้าวของที่ใช้ตกแต่งถูกเปลี่ยนเป็นรูปร่างแบบในมอนิเตอร์
“เชิญลงทะเบียน”
-------
ตื่นเต้น ตื่นเต้นจังเลย