“เชิญลงทะเบียน”
คนอื่นมองเห็นสมุดและพู่กันเป็นดังเช่นภาพปกติ แต่ผินอินกลับใช้ระบบสัมผัสด้วยการแตะปลายนิ้วลงไป
“เรียบร้อย”
เมื่อเซนเซอร์รับการลงทะเบียน ผินอินรีบเดินเข้าไปด้านใน ตามแสงจากลูกศรสีชมพูขาว ที่วิ่งสลับกันไปมา โคมไฟภายในอารามงดงามสมเป็นอารามหลวง
เมื่อมาถึงห้องประชันการทายปัญหา มีเบาะรองนั่งอยู่พร้อมโต๊ะเตี้ย หันหน้าเข้าหากัน ทางเดินตรงกลางเว้นไว้สำหรับผู้ทายปัญหา
โคมไฟหลายดวงถูกแขวนขึ้นสูง หลากสีสัน งดงามละลานตา จนผินอินหลงคิดไปว่า กำลังอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
โหมวย่งสือนิ่วคิ้ว เมื่อเห็นผินอินเข้ามานั่งยังเบาะผู้ร่วมท้าชิง
“เจ้า เมื่อเข้ามาแล้วอย่ามัวแต่เสียเวลา เลือกโคมไฟที่จะทายก่อน จะได้ไม่เสียเวลา”
“แหม... ดุเสียจริง ก็ได้ ข้าเลือกแล้ว”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ พอแหงนหน้าขึ้นมองเข้าจริง โคมนับสิบ ๆ ด้วง ก็ทำเอาตาลายเช่นกัน
“เลือกเร็วเข้า หากไม่เลือกผู้เข้าแข่งขันคนที่สองจะเลือกแทนเจ้าทันที”
“ชิชะ... กรรมการบ้าอะไร ดุชะมัดเลย เลือกก่อนก็ได้ งั้นเอาใบนั้นก็แล้วกัน ที่มีรูปกระต่ายน่ะ” เธอชี้ไปยังโคมไฟที่ต้องการ
โหมวย่งสือสั่งคนเกี่ยวโคมลงมา
เมื่ออ่านปริศนาบนโคมเสร็จ จุ้ยจวี้ก็เข้ามาถึงพร้อมผู้เข้าแข่งขันอีกสองคนพอดี
“เชิญนั่ง”
“อะไรกัน ยังไม่เข้ามา แต่กลับเกี่ยวโคมลงมาแล้ว ลำเอียงเหลือเกิน”
โหมวย่งสือได้ยินคำพูดไม่สำรวมของบุตรสาวขุนนางผู้หนึ่งดังขึ้น เขาส่งโคมกลับไปให้ผู้ช่วยถือไว้ก่อน เดินเข้ามาพร้อมพู่กันและสมุดบัญชีในมือ
“เจ้าตกรอบ”
“หมายความว่ายังไงกัน ยังไม่ทันได้เล่นเลย ทำไมถึงตกรอบได้ กรรมการรับสินบนมาสินะ!”
“พูดจาให้ร้ายผู้อื่น โดยไม่มีมูลความจริง นำไปโบยสิบไม้ แล้วปล่อยกลับ”
“เดี๋ยวก่อนเจ้าเป็นแค่เณรจากคุณหลัน ถือดียังไงมาลงโทษโบยข้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าเป็นใคร?”
“เจ้าคือบุตรสาวเจ้ากรมท่าเรือ มีหรือคนทั้งเมืองจะมิรู้จัก แต่ตอนนี้เจ้ากำลังหยาบคายอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์รัชทายาท”
ผ้าม่านด้านหลังถูกดึงขึ้น เผยให้เห็นร่างของผู้ที่เป็นผู้เข้าชมอันทรงเกียรติ นั่นคือ องค์รัชทายาท
ผินอินถึงกับชะงัก มิน่ากฎระเบียบจึงเคร่งครัดมากมาย ที่แท้ก็มีชนชั้นสูงเชื้อพระวงศ์เข้ามานั่งร่วมชมด้วยนี่เอง
รัชทายาทกู้หมิงตบพัดเบา ๆ
“อย่าให้ถึงขั้นต้องลงโทษเลย ปล่อยนางกลับไปเถอะ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ จะได้เริ่มเกมเสียที”
“พะยะค่ะรัชทายาท”
บุตรสาวเจ้ากรมท่าเรือต้องกลับไปพร้อมท่าทีแสนเสียดาย ส่วนผินอินซึ่งไม่แม้แต่จะกล้าแหงนหน้าขึ้นมอง ได้แต่นั่งตัวเกร็งรอฟังคำปริศนา
จุ้ยจวี้นั่งลงยังเบาะตรงข้าม สายตาเอาเรื่องของนาง ชวนผินอินลอยตามองบนด้วยความระอา
นางจะรู้จักคำว่าอโหสิกรรมไหมหนอ หนก่อนหากผินอินไม่ช่วยไว้ ยังจะมีหน้าลอยชายมานั่งมองด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นนี้หรือ
โหมวย่งสืออ่านปริศนาบนโคม
[ Stage Start! ]
“เมื่อแรกอยู่บนยอดหญ้า เมื่อกลางอยู่ยังหว่างเขา ตอนปลายละทิ้งตนลงพื้นดิน”
ปริศนาแรกทำเอาผินอินถึงกับอึ้งไป การทายปริศนาของคนโบราณเป็นการรวบรวมความรู้และเรื่องราวในวงกว้าง
ดังนั้นเพื่อจะเป็นปราชญ์แล้ว ในสมัยนั้นจึงจำเป็นทั้งท่องอ่านตำรา และศึกษาอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่เมื่อเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้แม้เพียงปลายนิ้ว
“ผู้ใดรู้คำเฉลย จงสั่นกระดิ่ง”
จุ้ยจวี้ชิงสั่นกระดิ่งก่อน
ผินอินตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เพราะนี่คือครั้งแรกที่จุ้ยจวี้บุกเข้ามาก่อน
“จักจั่น”
“ผิด”
“โธ่!”
“ตาเจ้าล่ะ”
ผินอินทำท่าครุ่นคิด ทบทวนสิ่งที่พอจะเข้าเค้ากับคำถาม เมื่อจ้องมองเข้าไปในโคมไฟ มองเห็นกระต่ายแหงนหน้าขึ้นมองจันทรา
จึงรีบสั่นกระดิ่งทันที
“ดวงอาทิตย์!”
“ถูกต้อง คำตอบคือดวงอาทิตย์”
[ บวกห้าคะแนน ]
“กรี๊ด... ข้าตอบถูกด้วย ตอบถูกด้วย!” ดีใจจนเนื้อเต้น
“หุบปากน่ะ เจ้าต้องรักษากิริยาด้วย ตอนนี้เจ้ากำลังนั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์รัชทายาทนะ”
ผินอินต้องรีบสงบใจลง แอบชำเลืองมองไปยังรัชทายาท ซึ่งเขาเองยังทำหน้าขบขันมองมายังตน
“เอาล่ะ ข้อต่อไป เลือกโคมได้”
“ใครจะได้เป็นฝ่ายเลือกล่ะ”
“ผู้พ่ายแพ้ จะได้เป็นฝ่ายเลือกก่อน”
“งั้นข้าขอเลือกโคมรูปหงส์”
โหมวย่งสือเอาลงมาจากที่แขวน โคมไฟลวดลายงดงาม แต่ปริศนาก็ยากตามลวดลายเช่นกัน
“มีขาสามนิ้ว มีแขนเก้านิ้ว ลำตัวชั่วช้า บดเคี้ยวเพื่อผู้อื่น ข้าคือใคร?”
“เครื่องโม่แป้ง!” จุ้ยจวี้ตะเบ็งลั่น
“ถูกต้อง แต่เจ้าทำผิดกติกา ไม่สั่นกระดิ่งก่อนตอบ ถือว่าถูกปรับแพ้”
“เอ๊ะ! โธ่… แล้วกัน” ใบหน้าเสียดาย จุ้ยจวี้... เพราะความอยากเอาชนะผินอิน จึงลืมตัวรีบชิงตอบคำถามเสียก่อน จึงทำให้กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“คำถามชนะไปสองในห้า ยังมีโอกาสแก้ตัว เลือกโคมลงมาอีกหนึ่งลูก”
“ข้ามีสิทธิ์เลือก ดังนั้นให้ข้าเลือก!”
รัชทายาทมองดูจุ้ยจวี้ที่เริ่มมีอาการไม่พอใจหนักข้อขึ้น เดิมทีชนะสองในห้า ก็เท่ากับชนะไปครึ่งตัว ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายชิงลงมือก่อนอย่างไม่มีความระมัดระวังจึงทำให้เพลี่ยงพลั้ง
“โคมไฟลูกสุดท้าย ปริศนาคือ”
จุ้ยจวี้และผินอินตั้งใจฟังจนเหงื่อตก
“ไม่อ่อน ไม่นุ่ม ลำตัวแข็งกระด้าง ตั้งตระหง่านต้านพายุ ข้าคือใคร?”
จุ้ยจวี้รีบชิงสั่นกระดิ่ง
ผินอินขัดเคืองใจที่สุด ได้แต่เฝ้ารอให้อีกฝ่ายตอบก่อน
“คำตอบคือ ต้นไผ่”
โหมวย่งสือส่ายหน้าไปมา
จุ้ยจวี้กลับไม่เชื่อร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง
“จะเป็นไปได้อย่างไร คำตอบย่อมต้องเป็นต้นไผ่อย่างแน่แท้”
“ในเมื่อเฉลยมิใช่ เหตุใดยังดื้อรั้น”
“ข้ามั่นใจว่าข้าตอบถูก แต่เพราะท่านรับสินบนสินะ ไม่ว่าข้าจะตอบสักกี่ครั้ง กลับบอกว่า ข้าตอบไม่ถูก”
“ถ้าเช่นนั้นให้ อีกฝ่ายตอบดีหรือไม่ แล้วค่อยเปิดคำเฉลยพร้อมกัน” องค์รัชทายาทเสนอแนะ
โหมวย่งสือน้อมรับบัญชา เดินมาตรงหน้าของผินอิน
“เจ้าจะตอบปริศนาข้อนี้ว่ายังไง?”
ผินอินคล้ายมีคำตอบในใจ แต่ยังไม่แน่ใจว่า ตนจะตอบถูก เพราะครั้งแรกตนก็คิดจะตอบคำตอบเดียวเช่นจุ้ยจวี้
ทว่าเมื่อได้ฟังคำเฉลยรอบแรกจึงคิดลังเล
“ว่าอย่างไร เจ้าจะตอบว่าอย่างไร?”
ผินอินตัดสินใจสั่นกระดิ่งก่อนตอบ
“มังกรอารักด้านหน้าอารามหลวง”
รัชทายาทคลี่ยิ้มงดงามออก พร้อมเอ่ยน้ำเสียงทุ้ม
“โหมวย่งสือ เฉลยเสียที ข้าอยากจุดโคมแล้ว”
“พะยะค่ะ”
โหมวย่งสือค่อย ๆ คลี่ม้วนกระดาษลงมาอย่างช้า ๆ เมื่อคำตอบปรากฏ ในม้วนกระดาษเขียนว่า พญามังกรเฟยหลง
ผินอินถึงกับเข่าอ่อนโล่งอกด้วยความยินดี
“ยินดีด้วยเจ้าตอบถูก”
ผินอินถึงกับถอนหายใจโล่ง มองไปองค์รัชทายาท ที่กำลังลุกขึ้นไปยังระเบียง พร้อมกับเจ้าหน้าที่เดินเอาโคมไฟอันใหญ่สวยงามไปให้กับเขา
แล้วองค์รัชทายาทก็จุดโคมไฟ
ทุกคนถวายบังคม
ผินอินยิ้มสวย มองไปรอบ ๆ ที่โคมเกือบทุกโคมถูกจุด
[ Stage Clear! ]
-----------------
ผินอินก็แอบเก่งนะ ทั้งที่ก็ลุ้นว่านางจะแพ้