“เอ๊ะ...”
“มัวทำอะไรอยู่ก้มหมอบลงเร็วเข้าสิ” เสียงของขันทีเฒ่ากำชับอย่างหงุดหงิด
ผินอินรีบก้มลงทำตามคนอื่น ๆ เมื่อลุกขึ้นยืนจึงพบว่าองค์รัชทายาทกำลังจ้องมองมาที่ตน
“ใช่คนเดียวกับที่ช่วยเราฆ่ามอนสเตอร์แน่ ไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าเป็นองค์รัชทายาท แต่ถึงยังไงก็คงจำเราไม่ได้หรอก เพราะว่าเห็นหน้ากันแค่ไม่นาน”
“การแข่งขันจะเริ่มนับจากนี้เป็นต้นไป”
ทันทีที่การประกาศจบลง เสียงดนตรีบรรเลงจากเครื่องสาย ซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้งของการแข่งขัน ที่จะเป็นเพลงแนวเทคโนแดนซ์ หรือแม้แต่สไตล์เพลงป็อบ
อาจจะเป็นเพราะเลื่อนดันเจี้ยนที่มีความยากมากขึ้นทุกอย่างจึงเสมือนจริงมากขึ้น
แจกันแต่ละขนาดถูกนำมาวางเรียงในระยะที่ห่างจากกันเท่ากัน ด้วยการใช้ฝ่าเท้าเดินไปสามก้าว แล้วจึงค่อยวางแจกัน
ในแต่ละแถวที่ห่างออกมา ขนาดของปากแจกันก็จะแตกต่างกันไปด้วย และเมื่อได้ระยะกรรมการจะสั่งคนไปนั่งเฝ้าในแต่ละหัวแถวเพื่อจับตาว่าเข้าเป้าหรือไม่
“แถวแรก ชุดสีเขียวคนที่หนึ่ง”
“อ้าว นั่นลูกสาวร้านขายไข่นี่นา หล่อนเก่งวะ มาจนถึงด่านนี้”
ไม่น่าเชื่อว่าบุตรสาวร้านขายไข่ยังสามารถเข้ารอบมาจากรอบที่แล้วได้ด้วย นั่นเป็นเพราะครั้งนั้น ผินอินเอาพวกผู้เข้าแข่งขันรายอื่นใส่ลงไปในตระกร้าด้านหลัง จึงสามารถมีสิทธิ์เข้ารอบกันทุกคน
“มิน่าล่ะ ยัยตุ๊กตาเกมมาสเตอร์ถึงบอกเราทำผิดกฎ ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง ถึงได้มีคนหลุดเข้ารอบมาเยอะนัก”
“แถวแรก ประจำที่ เตรียมตัว เริ่มได้...”
ผินอินอาศัยความชำนาญที่เคยเล่นอยู่ในเกมบ่อยครั้ง โยนลูกดอกในมือลงไปในปากแจกันได้เป็นคนแรก
“นับหนึ่งแต้ม!” เสียงกรรมการตะโกนขึ้น
ผินอินยิ้มกริ่มเดินขยับไปยังเป้าต่อไป
“นับหนึ่งแต้ม!”
“เอ๋... ใครโยนเข้าเป้าแบบเราอีกนะ?”
เมื่อหันกลับไปมองจึงทราบว่าเป็นจุ้ยจวี้
“โธ่ นางหน้าแป้น นางหน้ากลมนั่นเอง ยังอุตส่าห์ตามมาอีกนะ ชิ...”
จุ้ยจวี้ทำทีเป็นเย้ยหยัน เพราะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แม้ออกเสียงก่นด่าไม่ได้ ก็สามารถเยาะเย้ยได้ทางสายตา
ผินอินนึกเสียใจที่ไม่น่าช่วยเหลือนาง ถ้ารู้แบบนี้สู้ปล่อยให้วิ่งหนีมอนสเตอร์ตัวนั้นให้กระเจิงเสียก็ดี
“นับสามแต้ม!”
จุ้ยจวี้กำลูกดอกในมือแน่น พลางมองไปยังผินอินด้วยความอิจฉาริษยา
“หน็อยแน่ะ นางแม่มดนั่นต้องใช้เวทย์มนต์แน่ ถึงได้ปากลูกดอกเข้าปากแจกันที่ทั้งเล็กและเตี้ยขนาดนั้นได้”
“ใครบอกว่าใช้เวทมนต์ นี่เขาเรียกว่าฝีมือล้วน ๆ ย่ะ”
“ใครเชื่อเจ้าก็บ้าแน่ หนก่อนข้าเห็นเจ้ายืดมือออกไปไกลได้ราวกับใช้เวทย์มนต์ ไหนจะยังอาวุธหน้าตาประหลาดของเจ้าอีก แบบนี้... เจ้ายังกล้าเถียงอีกหรือ”
“ถ้าเช่นนั้น... เจ้ามีพยานหรือไม่ หากไม่มี ข้าจะทูลต่อหน้าพระพักตร์ว่าเจ้าจงใจปั่นป่วนงาน ทำให้การแข่งขันวุ่นวาย”
“แข่งต่อไป!” เสียงของขันทีเฒ่าดังขึ้น
ทั้งคู่สะบัดหน้าหนีกันเพื่อไปโยนลูกดอกของตนเองต่อไป
ไม่ว่าผินอินจะโยนลงแจกันไปกี่ลูก จุ้ยจวี้ก็มักจะพยายามตามมาปาได้จนเกือบไล่หลัง
ผินอินแม้จะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง เพราะเหลืออีกเพียงสองแถว ตนก็จะไปถึงแถวแจกันสุดท้ายก่อนผู้อื่น
แจกันแถวที่สามที่ตนยืนอยู่นั้น แม้ว่าปากจะเล็กมากแล้ว แต่แถวที่สี่ยังเล็กยิ่งกว่า
“อัยยะ! เล็กขนาดนั้นจะปาเข้าได้ไหมนะ?”
ผินอินมีความเคร่งเครียดสูง จนแทบไม่กล้าโยนลูกดอก เพราะหากพลาดแม้เพียงครั้งเดียวนั่นหมายถึงแต้มของจุ้ยจวี้จะห่างจากตนเพียงสองแต้ม
“พลาดไม่ได้ เราทำพลาดไม่ได้”
ถ้าพลาดนั่นย่อมหมายความว่าอาจจะทำให้นางได้ช่องตีตื้น ชิงความเป็นผู้นำการแข่งได้
“เล็งจนปวดคอไปหมด อยากพักเสียแล้วสิ”
ราวกับว่าเสียงบ่นของเธอได้ยินถึงหูใครบางคน เสียงของขันทีเฒ่าดังขึ้น
“หยุดพักก่อน องค์รัชทายาทจะทรงเสวยพระกระยาหาร ให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันพักผ่อนเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถก่อน”
“เฮ้อ ขอบคุณสวรรค์ อย่างน้อยก็ขอไปพักให้หายเครียดสักหน่อยเถอะ”
ผินอินรีบเดินออกจากสนามแข่งขัน เดินวนไปหาสถานที่เงียบสงบ นั่งลงก่อนเอนหลังไปกับพื้นบนขอบสระเงียบสงบไร้ผู้คน
แต่นอนไปได้เพียงชั่วครู่ กลับถูกบางอย่างหล่นมากระทบหน้าจนต้องลุกขึ้น
“โอ้ย! คนจะนอน ใครมากวนนะ” มองหาคนที่ทำแบบนั้น
“เชอะนางขี้เหร่ นอกจากจะขี้โกงแล้วยังสันหลังยาวอีก กรรมการแค่ให้มาพัก เพราะรัชทายาททรงต้องการเสวย เจ้าอย่าได้ใจไปเล่า เพราะรอบหน้า เจ้าต้องพ่ายแพ้ให้ข้าแน่นอน”
“ชิชะ... นางหน้าซาลาเปา เจ้ามันก็มีหน้ากลมเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ จมูกหรือก็แบนจนแทบหาทางหายใจไม่เจอ ยังกล้ามาเรียกคนอื่นว่าขี้เหร่ รอบหน้าเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ผ่านเข้ารอบตามข้ามาได้เลย!”
“ไสหัวไปซะ ข้าจะนอน หากก่อกวนข้าอีก ข้าจะปารองเท้าใส่หน้าเจ้า!” ผินอินตวาด
“หน็อยแน่ะ นางป่าเถื่อน ปากเจ้าดีแต่ขู่ผู้อื่น”
“อ้าว... หาเรื่องคนอื่นก่อน คนจะหลับจะนอน มาก่อกวนอยู่ได้”
เงียบหูไปพักใหญ่
ไม่นานก็รู้สึกว่าถูกบางอย่างปั่นเข้าที่รูหูอีก ความรู้สึกเบาสบายชวนสยิว ทำให้ผินอินหน้าแดงจัดเพราะคล้ายตกอยู่ในภวังค์ ฝันหวานไปถึงรุ่นพี่ที่เคยแอบชอบสมัยเป็นนักเรียนมัธยม
“อุ๊ย อุ๊ย อย่าทำแบบนั้นสิ มันขนลุก”
“ถ้ารู้สึกเช่นนั้น ก็ตื่นขึ้นมาได้แล้ว”
เสียงนั่นทำให้ผินอินต้องเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที เมื่อลืมตาขึ้นมองเห็น ร่างเล็กเกร็งจนแทบไม่กล้ากระดิก
“รัชทายาท มาที่นี่ได้ยังไง” หัวใจเต้นเหมือนคนตีกลองอยู่ข้างในนั้น
“ที่นี่มันวังหลวง ข้าจะไปจะมาที่ไหนก็ย่อมได้ ว่าแต่เจ้าไม่คิดจะแข่งต่อแล้วหรือ จึงมานอนอยู่ที่นี่ รู้บ้างไหมว่ากรรมการกำลังจะเริ่มแข่งขันแล้ว”
“แล้วรัชทายาททำไมถึงมาอยู่ที่นี่เพคะ”
“โง่เง่าจริง ๆ ก็ถ้าเรายังนั่งอยู่ที่นั่น เจ้าก็เท่ากับถูกปรับให้พ่ายแพ้ตกรอบไปมิใช่หรือ โทษฐานที่นอนเพลิน หายไปจากการแข็งขัน”
ที่แท้เขาก็แค่ออกมาเพื่อถ่วงเวลาให้ผินอิน มิต้องถูกจับปรับแพ้
ผินอินโน้มตัวก้มหัวปลก ๆ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปทำการแข่งขัน แต่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ จึงวิ่งกลับมาหา
“เอียงหูมาใกล้ ๆ หน่อยมีเรื่องจะบอก เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า”
เขาทำตามอย่างว่าง่าย แม้ใบหน้าจะดูเรียบขรึม
ผินอินยื่นตัวเข้าไปใกล้ใช้ฝ่ามือป้องปากตนเอง เอ่ยอย่างแผ่วเบา
“มีคนคิดลอบปลงพระชนม์พระองค์เพคะ”
ผินอินเมื่อบอกแล้ว นางรีบกลับไปทำการแข่งขันต่อ ก่อนจะหายลับไปยังคงโบกมืออำลาให้รัชทายาท
และเมื่อกลับมาทำการแข่งขันต่อ พบว่าจุ้ยจวี้ทำแต้มนำหน้าไปแล้ว
ทางเดียวที่จะเอาคืนได้ คือการต้องโยนลูกดอกให้ลงแถวแจกันแถวสุดท้ายให้ได้
ผินอินไม่รอช้ารวบรวมสมาธิแล้วโยน ลูกดอกเข้าเป้าลงไปในแจกันทั้งสามใบ
“ได้ผู้ชนะจากสีเขียวแล้วหนึ่ง จบการแข่งขัน!”
“ไชโย ข้าชนะแล้ว!”
จุ้ยจวี้กรีดร้องด้วยความคับแค้นใจ
“ข้าพ่ายแพ้เสียแล้ว โฮ...”
“ร้องไห้ไปเถอะยายลูกหมู คิก ๆ” หัวเราะอย่างมีความสุข
[ Stage Clear ]
------------------------
องค์รัชทายาทน่ารัก เขาจำผินอินได้แหละ