เมื่อทอดาวเอาน้ำมาเสิร์ฟ
“พี่สะใภ้นั่งลงก่อนเถอะครับ และช่วยเล่าความจริงมา ยายใหม่มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง ตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“เธอเพิ่งนอนได้สองคืนค่ะ” ปกป้องทำหน้ายุ่ง
“แล้วพี่สะใภ้ก็ยอมหรือครับ ยอมให้พี่ปริญทำแบบนี้”
“แล้วจะให้ทอดาวพูดอย่างไรล่ะคะ” นั่งลงใกล้ ๆ อย่างห่อเหี่ยว
“ทอดาวก็เป็นแค่เมีย บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของคุณปริญ ทอดาวไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่มีได้อย่างไร ในเมื่อคุณพี่สะใภ้ถือใบทะเบียนสมรสอยู่นะครับ ฮึ... พี่ปริญนะพี่ปริญ โตเป็นควายแล้ว คิดเรื่องแค่นี้ไม่ได้ กล้าทำร้ายจิตใจของเมีย หน็อยแน่ ชิ ๆ ยายใหม่ใช่คนดีที่ไหน คงคิดวางแผนจะมาแทนที่พี่สะใภ้ของผมล่ะสิ”
ทอดาวตกใจที่ปกป้องรู้เรื่องเป็นอย่างดี
“คุณป้องอย่าทำให้เกิดเรื่องเลยค่ะ คุณปริญจะต้องไม่พอใจแน่ ๆ ค่ะ”
“เขามีอะไรที่จะไม่พอใจผมล่ะครับ ผมก็เป็นน้องชายของเขาเหมือนกัน ผมจะทำทุกอย่างให้ยายใหม่กระเด็นออกไปจากที่นี่” ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกับพี่ชายเป็นศรศิลป์ไม่กินกัน แต่เมื่อเขาหันเห็นหน้าของทอดาวที่คิดมาก ปกป้องจึงเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่พี่สะใภ้กินข้าวหรือยังครับ”
“กินอะไรไม่ค่อยลงเลยค่ะ” ทอดาวไม่ได้บอกเขาเรื่องที่เธอแพ้ท้อง
“นั่นน่ะสิ หน้าของพี่สะใภ้ซีดจัง ไม่สบายหรือเปล่าครับ อย่าคิดมากเรื่องของยายใหม่ เพราะตอนนี้พี่สะใภ้มีผมอยู่ข้าง ๆ ผมจะช่วยพี่สะใภ้เอง” ปกป้องมองเธออย่างเวทนา
“หรือว่าที่ไปซื้อยาวันนั้น เพราะไม่ค่อยสบาย แต่เอ... ถ้าอาการไม่ดีขึ้น พี่สะใภ้ก็ควรจะไปหาหมอนะครับ”
“ค่ะ รออีกสักระยะก่อนค่ะ ให้ยาชุดนี้หมดก่อน” เธอโกหกคำโต
“เอาเถอะ วันนี้ผมจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน ผมจะรอจนพี่ปริญจะกลับบ้าน ปกติเขากลับบ้านกี่โมงครับ”
“กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ประมาณทุ่มหนึ่งค่ะ”
“คุณพี่สะใภ้” เขาขยับตัวเข้าใกล้ แล้วทำท่ากระซิบกระซาบ
“มีอะไรหรือคะ”
“ถ้าผมจะนอนที่นี่ พี่สะใภ้จะพอมีห้องนอนให้ผมนอนหรือเปล่า”
“คุณป้องคะ อย่าเลยค่ะ แค่นี้บ้านนี้ก็ร้อนจะเป็นไฟอยู่แล้วค่ะ”
“คนอะไร โตแล้วยังคิดไม่เป็น พี่ปริญจะทำอะไร อย่างน้อยก็ต้องรู้สึกเกรงใจพี่สะใภ้ของผมบ้าง เอาผู้หญิงที่เป็นคนรักเก่าเข้ามานอนในบ้านที่มีเมียอยู่นี่อะนะ เฮ้อ... คิดได้เนาะ”
“คุณใหม่เธอบอกว่าจะอยู่สักระยะหนึ่งค่ะ”
“คำว่าระยะหนึ่งเนี่ย มันกำหนดเป็นวันไม่ได้เหรอ บอกมาสิ จะอยู่หนึ่งอาทิตย์ หรือจะอยู่กี่วัน” เขาเห็นลางความวุ่นวาย
“แต่เอาเถอะ เดี๋ยวผมจะถามยายใหม่ให้เอง”
“คุณป้องคะ ทอดาวขอร้องเถอะค่ะ อย่าทำแบบนั้นเลย”
“เรื่องนี้ผมจะฟ้องแม่ คอยดู”
“ก็เพราะคุณป้องเป็นแบบนี้ไงคะถึงได้ทะเลาะกับคุณปริญ คุณน่ะทำตัวเหมือนเด็กขี้ฟ้องเลยค่ะ”
“อะฮ้า พี่สะใภ้ก็หาว่าผมเป็นเด็กขี้ฟ้องเหมือนกันเหรอครับ พูดเหมือนแม่เป๊ะเลย” ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน หลังจากนั้นก็คุยกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
เสียงหัวเราะของคนทั้งสองดังลอดเข้าไปในห้องของภูริดา ที่รู้สึกขุ่นเคืองใจกับคำพูดของปกป้องอยู่แล้ว
ก็ใช่สิ... ปกป้องนั้นอกหักจากเธอ จึงพาลโกรธและเกลียดเธอไปด้วย ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นน้องชายของปริญ เพราะคนละนามสกุลกัน
เสียงที่หัวเราะดังขึ้นเรื่อย ๆ ของปกป้องทำให้ภูริดาอดทนไม่ไหว จึงเปิดประตูออกแง้มมาดู
ภูริดาได้เห็นความสนิทสนม และรอยยิ้มที่อบอุ่นของปกป้องเวลาที่มองหน้าของทอดาว รอยยิ้มออกมาบาง ๆ ที่ดูเหมือนสายตาของเขาที่เคยมองเธอเมื่อก่อนเลย ภูริดาตีความว่าปกป้องต้องชอบพี่สะใภ้ของเขาแน่
‘ดีล่ะ ฉันจะใช้ข้อนี้แหละเพื่อใส่ไฟแก พี่ปริญขา เมียของพี่นอกใจพี่ คบชู้กับน้องชายของพี่ค่ะ’ คิดในใจ
ภูริดาคิดแผนการที่จะใส่ร้ายทอดาวได้แล้ว หล่อนกลับเข้าไปในห้อง และก็หยิบมือถือขึ้นมาแอบถ่ายทั้งสองคนเอาไว้ ทั้งคลิปวิดีโอ และภาพนิ่ง
ภูริดาหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าที่สะใจ และได้ส่งรูปที่เธอถ่ายเอาไว้ไปให้กับปริญ ซึ่งปริญก็ไม่ได้เปิดดู
จนกระทั่ง….
“ตะวันจะกลับบ้านแล้ว คุณปริญมีอะไรอีกไหมคะ”
“ไม่มีแล้วล่ะ กลับบ้านได้”
“ค่ะ” ตะวันจึงปิดประตูห้องของปริญ
การทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ทำให้ลืมเรื่องที่วุ่นวายในหัวได้จริง ๆ แต่พอหยุด ความคิดก็วกเข้ามาเรื่องเดิม
กริ๊ง... มือถือของปริญดังขึ้น
ชื่อที่โชว์คือชื่อของแม่ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกดรับ
“สวัสดีครับแม่”
(“ปริญยังอยู่ที่ทำงานหรือ”)
“ครับ”
(“แม่น่ะให้น้องเอาของกินไปให้ แม่ทำน้ำพริกตาแดงของโปรดปริญ แล้วก็อีกหลายอย่าง น้องบอกจะเอาไปให้ปริญที่บ้าน เอ่อ... บอกน้องด้วย แม่ส่งรายการซื้อของไปให้แล้ว แม่โทรเข้าไปแล้ว เหมือนมือถือจะปิด เอ... หรือว่าแบตเตอรี่หมด”)
สิ่งที่แม่พูดทำให้ปริญรู้ว่าปกป้องอยู่ที่บ้านของเขา
แล้ว... ‘ภูริดา’ ชื่อที่ผุดขึ้นมา
ปริญจึงรีบลุกขึ้น หยิบกุญแจรถแล้วกลับบ้าน
ที่บ้านของปริญ
“กลับบ้านได้แล้วนะคะคุณป้อง”
“อ้าว คุณพี่สะใภ้ ทำไมมาไล่กันล่ะครับ ผมก็บอกแล้วว่าจะนอนที่นี่”
“ไม่ได้ค่ะ อย่างไรก็ไม่ได้”
“ต้องได้สิ ตอนนี้ผมเริ่มหิวแล้ว เมื่อไรจะได้กินข้าวเย็น ผมขอยืมมือถือได้ไหมครับ จะโทรหาแม่”
“มือถือของคุณป้องล่ะคะ”
“ผมลืมที่ชาร์จแบตฯ มา ลืมเอาไว้ที่บ้านน่ะ เมื่อวานก็ไม่ได้ชาร์จแบตฯ ครับ”
“ทอดาวให้ยืมที่ชาร์จแบตค่ะ” เธอกำลังจะไปหามาให้
“ผมยืมโทรหาแม่แป๊บเดียว จะได้บอกแม่เอาไว้ก่อน”
ทอดาวจึงหยิบมือถือให้ พร้อมกับปลดล็อก เธอเดินหายเข้าไปในครัว แม้จะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ในฐานะเจ้าของบ้านที่คนเป็นสามีฝากฝังให้ดูแลแขกแบบภูริดาเธอก็ต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และทอดาวจะไปหยิบสายชาร์จมือถือมาให้กับปกป้องด้วย
ในขณะเดียวกันนั้น เป็นเวลาที่ปริญโทรศัพท์เข้ามาหาทอดาว ปกป้องวิสาสะกดรับ
“หวัดดีครับ”
(“ไอ้ป้อง”)
“แหม... ทำไมเรียกน้องแบบไม่น่ารักเลย พี่ไม่กลับบ้านหรือครับ ถ้าพี่ไม่กลับ ผมจะนอนที่นี่ มีผู้หญิงสองคนอยู่ในบ้านหลังเดียวกันโดยลำพัง มันดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร ผมอาสาอยู่เป็นยามให้นะครับ”
(“กลับบ้านได้แล้ว แม่ส่งรายการซื้อของมาให้”)
“เอาจริงหรือ ผมลืมมือถือ ไม่ยักรู้ว่าพี่จะรับสายของแม่ด้วย พี่น่ารักนะเนี่ย ขอบคุณนะครับ” ยิ้มกริ่ม