คืนนั้น…
@ ร้านนั่งชิลพีพีลี
“กานต์ เจ๊ตาล อยู่ทางนี้!”
เสียงของเมย์ดังขึ้นทันทีที่ฉันและเจ๊ตาลพากันเดินเข้าไปในร้านนั่งชิลตามนัด วันนี้เจ๊ตาลจู่ๆ ก็เกิดเบื่อๆ นอยด์ๆ ขึ้นมา ฉันก็เลยชวนเธอมาด้วย อีกอย่างเราสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกันแถมยังเป็นรูมเมทกันอีกต่างหาก จะปล่อยให้เธอนอนกร่อยอยู่ที่ห้องคนเดียวมันก็ยังไงๆ อยู่
เพราะวันนี้เป็นคืนวันศุกร์ล่ะมั้ง ที่ร้านนั่งชิลแห่งนี้ถึงอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เจ๊ตาลจับมือฉันพาเดินแทรกผู้คนภายในร้านนั่งชิลตรงไปยังโต๊ะเล็กที่เมย์นั่งจองเอาไว้ ก่อนจะพบว่าบนโต๊ะมีเครื่องดื่มมึนเมาหลายแขนงจัดวางตั้งท่ารออยู่อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเหล้าหรือเบียร์
พอเห็นของอันตรายแบบนี้มันก็เลยอดถามไม่ได้
“ใครสั่งเครื่องดื่มพวกนี้มาน่ะ”
“ก็ฉันอ่าดิ ถามอะไรโง่ๆ นะกานต์” เมย์ต่อว่าฉันกลับมาทันควัน สร้างความฉงนให้กับฉันแต่ไม่ใช่กับเจ๊ตาลซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามด้วยท่าทางสบายๆ
“สั่งมาทำไมอ่ะ” ฉันถามแบบไม่เข้าใจ พานให้คนฟังเลิกคิ้วสูงก่อนตอบออกมาคล้ายกับยียวน
“สั่งมากินอ่าดิ” ไม่ใช่แค่พูดแต่เมย์ยังจัดเต็มด้วยการกระดกเหล้าเพียวๆ โชว์ต่อหน้าหนึ่งช็อตแล้วกล่าวเสริม “นี่น่ะคือขั้นตอนที่สามของแผนการที่เราวางเอาไว้”
พอได้ฟังฉันก็เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบขึ้นมาแปลกๆ
“นี่อย่าบอกนะว่า…” เมย์พยักหน้ารัวๆ แบบไม่รอฟังให้จบประโยค พลางรินเหล้าสีใส่แก้วช็อตเลื่อนส่งมาตรงหน้า ก่อนกล่าวเสริมแกมสั่ง
“กินไอ้นี่ให้เมาปลิ้นไปเลยเพื่อนรัก” ว่าแล้วเธอก็หันไปจัดแจงรินเหล้าสีใส่แก้วของตัวเองกับเจ๊ตาลด้วยท่าทางเหมือนตายอดตายอยาก ชีวิตขาดแคลนเหล้า
เจ๊ตาลเองก็ใช่ย่อย พอเธอได้รับเหล้ามือก็รีบคว้าแก้วช็อตยกขึ้นกระดกลงคอเสมือนว่ามันคือน้ำเปล่าบริสุทธิ์ ส่วนฉันพอได้มอง มันก็รู้สึกขมคอแทนเธออย่างบอกไม่ถูก เผลอดันแก้วเหล้าของตัวเองออกห่างตัว
อ้อ! ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ฉันน่ะเป็นมนุษย์ที่ไม่นิยมแตะต้องเครื่องดื่มมึนเมา ไม่ใช่เพราะที่บ้านสอนมาดีหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันแพ้แอลกอฮอล์ ทุกครั้งที่ร่างกายได้รับเครื่องดื่มจำพวกนี้เข้าไป ฉันจะเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนคนเป็นไข้ อาการแบบนั้นน่ะทรมานมากเสียจนฉันไม่คิดจะแตะเครื่องดื่มประเภทนี้อีกเลย
“พวกเธอคุยอะไรกันเหรอ? แผนอะไรกัน?” จู่ๆ เจ๊ตาลที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยปากถามขึ้น เธอกวาดมองหน้าฉันกับเมย์สลับไปมาด้วยท่าทางสงสัยอย่างสุดๆ
“ก็ไอ้กานต์อ่ะดิ วันนี้มันทะเลาะกับพี่นัทไงเจ๊ มันก็เลยอยากปรับความเข้าใจกัน”
“อ้าว กานต์กับพี่นัทยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกเหรอ?” เจ๊ตาลหันมาถามเสียงห่วงๆ ฉันก็เลยพยักหน้าตอบกลับไป “ทำไมล่ะ?”
เพราะแบบนั้นคำถามที่สองก็เลยหลุดรอดจากปากของเจ๊ตาลอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เมย์ที่นั่งอยู่ด้วยก็ชิงตอบแทนเสียก่อน
“ก็แผนไงเจ๊”
“แผนเหรอ?” เจ๊ตาลเองก็คงแปลกใจไม่ต่างกันที่ได้ฟังเมย์ตอบแบบนั้น
“เมาแล้วปล้ำ” เมย์ยิ้มก่อนเริ่มสาธยาย “กานต์กับพี่นัทไม่เคยมีความลึกซึ้งต่อกันเลยถูกป่ะ แล้วเหมือนกานต์มันกำลังจะจับได้ว่าพี่นัทนอกใจควงคนอื่นอยู่ ฉันก็เลยคิดว่าที่พี่นัทมีคนอื่น เพราะชีวิตคู่ของพวกมันขาดเรื่องนี้หรือเปล่า…”
“แต่พี่นัทเขาดูไม่ใช่คนฝักใฝ่เรื่องใต้สะดือเลยนะเมย์ เจ๊ว่าไม่น่าใช่หรอก” เจ๊ตาลแย้ง
“ก็ใช่ไงล่ะ เพราะเราไม่รู้เหตุผลแน่นอน ฉันเลยจะให้กานต์มอมตัวเองแล้วจัดการเก็บแต้มพี่นัทซะ!” เมย์กล่าวเสียงหนักแน่น โต้ตอบกับเจ๊ตาลไปมา โดยมีฉันเป็นตัวประกอบร่วมโต๊ะ
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเสียหายสักหน่อย อีกอย่างพี่นัทกับกานต์ก็มีกำหนดงานหมั้นกับงานแต่ง ตอนเข้าสู่ปีที่เจ็ดด้วยใช่ไหมล่ะ?” เมย์พยายามชักแม่น้ำทั้งห้าออกมาพูด เพื่อโน้มน้าวและชักจูงให้เจ๊ตาลที่ดูจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ที่สุดเห็นด้วย
พอเจ๊ตาลได้ฟังแบบนั้นเธอก็เอาแต่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร มือไม้จัดแจงชงเหล้าให้ตัวเอง ก่อนหันมามองฉันแล้วเอ่ยปากคล้ายกับถามความเห็นแกมสอนไปด้วย
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเจ๊ แต่เวลาทำไปแล้วมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะกานต์ ลองคิดดูดีๆ ว่าตัวเองพร้อมหรือเปล่า ลองคิดดูว่าถ้าทำไปแล้วทุกอย่างมันไม่ดีขึ้นจะเป็นยังไง…”
ใช่! ฉันคิดอยู่ ฉันกำลังคิดว่าถ้าหากตัดสินใจทำไปแล้ว สุดท้ายพี่นัทเลือกคนอื่นฉันควรจะทำยังไง แต่พอมาคิดตามที่เมย์บอกมันก็อดไขว้เขวไม่ได้ เนื่องจากแม่ฉันกับแม่พี่นัทสนิทกันยิ่งกว่าอะไร…
“คิดให้ดีๆ นะกานต์” เสียงของเจ๊ตาลยังคงดังเตือนสติเป็นระยะๆ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อทำตามแผ่นหนึ่งกับแผนสองมาถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ล้มเลิกกลางคันตอนนี้มันก็คงไม่ใช่...ถูกไหม?
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน
หมับ!
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือเอื้อมคว้าแก้วเหล้าของตัวเองตรงหน้า ท่ามกลางสายตาตกอกตกใจของเพื่อนสนิททั้งสองคน ไม่ต้องมีคำพูดใดให้มากเรื่อง ฉันรีบกลั้นใจกระดกเหล้ารสชาติขมเฝื่อนชวนอ้วกลงคอทันที ก่อนกระแทกก้นแก้วลงกับโต๊ะ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงหนักแน่น
“คืนนี้มีเหล้าเท่าไหร่ รินใส่แก้วฉันมาให้หมด!”
เคยได้ยินคนพูดกันว่า มนุษย์เราเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะสามสิ่ง
หนึ่ง เปลี่ยนเพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นไป
สอง เปลี่ยนเพราะสภาพจิตใจและความรู้สึก
ส่วนข้อสาม เปลี่ยนไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
เกร้ง!!
“อ้าว ชนให้โหมดแก้วววววว~” นั่นน่ะเสียงของฉันเอง
ตอนนี้ฉันได้ยินแต่เสียงตัวเองดังอยู่ในหูกลบทับเสียงเพลงจังหวะสนุกๆ ภายในร้าน ตัวฉันโงนเงนเหมือนคนไม่มีแรง ทรงตัวแทบไม่อยู่ โชคดีที่มีเจ๊ตาลนั่งอยู่ข้างๆ เธอเลยประคองตัวฉันไว้
เลือดลมในกายสูบฉีดมากกว่าที่เคยเป็น อาการหนาวๆ ร้อนๆ ในตัวทำให้ทุกอย่างรอบตัวตอนนี้ดูสนุกมากกว่าที่เคยเป็น ภาพทุกภาพเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เหมือนฉากในหนังถูกตัดเป็นช็อตๆ เพียงแค่กะพริบตาเดียว ทุกอย่างที่อยู่ตรงนั้นก็เปลี่ยนไป
มหัศจรรย์ซะจริง!
ฉันพยายามเพ่งมองหน้าเจ๊ตาล แต่สิ่งที่เห็นคือใบหน้าเรียวสวยแบบผู้ใหญ่ซ้อนทับกันนับสิบ พอเห็นแล้วมันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เจ๊ตาลแยกร่างเหรอ~ นี่เจ๊เป็นนารูโตะหรืองายยย” ฉันถามอย่างนึกตลก พลางรวบรวมลมปราณจิ้มไปที่ใบหน้าสวยๆ หน้าใดหน้าหนึ่งอย่างจงใจ ก่อนจะถูกเธอปัดมือออกอย่างรวดเร็ว
“เมย์ เจ๊ว่าพากานต์กลับห้องเถอะ” ถึงตาจะมองหลายอย่างพร่าเบลอ แต่ไม่ใช่กับหูซึ่งยังใช้การได้ดี และได้ยินคำพูดของเจ๊ตาลกับเมย์อย่างชัดเจน
“นั่นสิ ฉันว่าพากลับห้องเจ๊เถอะ”
“ม่ายยยย!!” ฉันโพล่งเสียงขัดพลางยกแก้วเหล้าบนโต๊ะชูขึ้นเหนือหัว จนน้ำในแก้วกระฉอกลงมา
อั้ยยะ! ฝนเหล้า~ =w=
“เบาๆ สิกานต์ คนมองกันหมดแล้ว”
“คนซอง? ซองอะไรอ่ะ? ซองผ้าป่าเหรอ เอิ้กกก~” ฉันย้อนกลับไปอย่างไม่เข้าใจ และนั่นทำให้เจ๊ตาลพ่นลมหายใจทิ้งอย่างนึกละเหี่ยใจ พร้อมทั้งดึงฉันให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ส่วนปากก็พูด
“พากานต์กลับห้องก่อนนะ แผนบ้าบออะไรนั่นไม่ต้องทำแล้ว ยัยนี่ไม่ไหวหรอก” นี่คือสิ่งที่ฉันได้ยิน ถ้าหากว่าหูไม่เพี้ยนน่ะนะ
“โอเคเจ๊ กลับก็กลับ”
“ไม่เอา!” ฉันแย้ง “ฉันจะทำตามแผน ไม่เอา ไม่กลับห้องเด็ดขาด!”
เจ๊ตาลหันมองหน้ากับเมย์ ทั้งคู่ส่ายหน้าคล้ายกับปลงสิ่งที่ฉันเป็น และก่อนที่พวกเธอจะแทรกขัดอะไรออกมา ฉันจึงชิงพูดออกไปก่อน
“ฉันอยากปรับความเข้าใจกับพี่นัท… วันนี้ฉันหนีเขากลับเพราะเธอน้าเมย์… ถ้าไม่ได้คุยเราคงต้องโกรธกันต่อไปแน่ๆ อีกอย่างฉันอยากรู้เรื่องที่เขานอกใจ ม่ายต้องนอนด้วยกันตามแผนก็ด้ายยย นะๆ ขอเถอะ ฉ้านอยากปายคุยกับเขา… น้าาา~” ไม่รู้เพราะฤทธิ์เหล้าหรือเปล่า ฉันถึงได้รัวคำพูดไปแบบนั้น ความรู้สึกเหมือนคนอยากจะร้องไห้ เวลาพูดถึงพี่นัทด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่อย่างตอนนี้
ท่าทางและอาการแบบนี้น่ะ ไม่สมเป็นฉันเลยสักนิด
“ฉันรู้นะว่าแกพยายามทำตามแผน แต่สภาพแกแบบนี้มัน…”
“พี่นัทไม่ทามอารายฉันหรอก เอิ้ก… พี่เขาสุภาพบุรุษจะตาย~” ฉันพยายามฝืนความรู้สึกลึกๆ ด้วยการฉีกยิ้มตาหยีใส่เพื่อนรักทั้งสอง และเป็นอีกครั้งที่พวกเธอหันมองหน้ากัน
เจ๊ตาลกับเมย์ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเจอลูกอ้อนและคำขอของฉัน ถึงแม้พวกเธอจะรู้นิสัยพี่นัทไม่ต่างไปจากฉันนัก แต่สุดท้ายเธอก็พูดเตือนสติอยู่ดี
“ถ้าเธอพูดแบบนั้นพวกเราก็เชื่อ แต่เอาจริงๆ เจ๊ไม่อยากให้…”
หมับ!
“เจ๊ตาลน่าร๊ากที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดดด~” ร่างกายโผเข้ากอดอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติแบบไม่ฟังอะไรต่อ จนเราทั้งคู่เกือบจะเสียหลักล้มลงไปด้วยกัน โชคดีที่ตรงนั้นมีโต๊ะรองรับเอาไว้ เจ๊ตาลจึงรีบใช้มือตีแขนฉันแรงๆ เพื่อให้สร่างเมา แล้วบ่นต่อ
“นี่ อย่าทำแบบนี้อีกนะ!” ฉันได้ยิน แต่เหมือนไม่สนใจ ในหัวมีแต่เสียงจังหวะดนตรีตื๊ดๆ ดังคลออยู่ตลอดเวลา ฉันก็เลยยืนโยกอย่างคนมีความสุขตามจังหวะเพลง
เพียงแค่หลับตา จู่ๆ เสียงเพลงดังกล่าวก็เงียบลง พอลืมตาขึ้นมาฉันก็ถูกพาขึ้นมาอยู่บนรถแท็กซี่ซะแล้ว
ตลกดี!
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนั้น ฉันจึงลองหลับตาอีกครั้ง คราวนี้กะพริบถี่ๆ ทุกอย่างเหมือนกับการถ่ายภาพ มาเป็นช่วงๆ ช็อตๆ ราวกับว่าฉันมีพลังเคลื่อนย้ายมวลสาร รู้ตัวอีกทีฉันก็กำลังยืนพิงประตูห้องๆ หนึ่งในสภาพไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่
ในหูเหมือนจะได้ยินเสียงของใครสักคนพูดโดยมีฉันโต้กลับไปเสียงดังฟังชัด
‘ฉันกลับแล้วนะ เธอเข้าห้องพี่นัทเองได้ใช่ไหม? ให้ช่วยเรียกพี่นัทหรือเปล่า?’
‘ม่ายยยยย ฉันเข้าเองด้ายยยย!’
ฉันส่ายหัวไปมาเบาๆ เพื่อเรียกสติ พยายามหรี่ตามองหมายเลขห้อง ก่อนพบว่าประตูห้องที่ฉันถูกเพื่อนพามาทิ้งไว้คือห้องของพี่นัทจริงๆ
ปี๊บ! ปี๊บ!
ยังไม่ทันที่จะทำอะไรไปมากกว่านั้นเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น ร่างกายตอบสนองเสียงดังกล่าวด้วยการหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดู พอเห็นชื่อ ‘ที่รัก’ ฉันก็รีบเก็บโทรศัพท์ยัดลงกระเป๋ากางเกงทันที
เขาคงจะส่งมาคุยกับฉันเรื่องวันนี้แน่ๆ
คิกๆ รอแป๊บหนึ่งนะคะพี่นัท หนูจะเข้าไปคุยกับพี่ในห้องเดี๋ยวนี้แหละ!