ตอนที่ 6 ยัยเด็กตกน้ำ 2/2

2496 Words
เพียงไม่นาน คนที่ต้องการตัวมากที่สุดก็มาให้เจอ แต่เธอดูซีดสั่นไปทั้งตัว เพราะวัวสันหลังหวะอย่างหล่อน จะกลัวก็ไม่แปลก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเพทายที่ตนหลอกไปหาชายตรงหน้า ไปสร้างเรื่องอะไรไว้ ทำให้ตนต้องมายืนสั่นพั่บ ๆ ต่อหน้าเขาแบบนี้ ห้องกว้างขนาดใหญ่ รอบข้างเต็มไปด้วยหนังสือและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ตรีศูลชอบอ่านหนังสือ แต่พักหลังไม่ค่อยมีเวลาเพราะงานยุ่งเกินไป กลางห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่วางตระหง่านอยู่ พร้อมโซฟาตัวสั้นและตัวยาวอย่างละตัวซึ่งอยู่คนละที่ เจ้าของห้องเอาไว้อ่านหนังสือเมื่อมีเวลาว่างโดยเฉพาะ ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนที่เพิ่งเข้ามา เอกสารตรงหน้าสำคัญก็จริง แต่คำพูดจากเธอคนนี้สำคัญกว่ามาก “คุณตรีมีธุระอะไรกับแซนดี้หรือคะ?” เธอถามพร้อมเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยเหมือนคนอยากร้องไห้เต็มแก่ ยิ่งเห็นดวงตาเรียบนิ่งของผู้เป็นนาย มันยิ่งทำให้เจ้าตัวไม่กล้าขยับจากที่เดิม ชายหนุ่มถอดแว่นออก ก่อนจะโยนมันลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ สายตาเข้มจ้องมองสาวประเภทสองตรงหน้าด้วยอารมณ์ฉุนเล็กน้อย “แซนดี้ เธอทำงานกับฉันมากี่ปีแล้ว?” “จะ... จะ 5 ปีแล้วค่ะ” คนถูกถามตอบเสียงสั่น “ฉันเคยบอกแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าหาใครมาให้ฉัน เรื่องความเต็มใจจะต้องมาเป็นอันดับแรก” ตรีศูลเปิดเรื่องที่แซนดี้กังวลที่สุดขึ้นมา ทำเอาคนโดนถามเข่าทรุดลงกับพื้น พอได้เห็นท่าทีของเธอแล้ว เรื่องที่ชายหนุ่มคิดไว้คงไม่ผิด ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมเด็กคนนั้นดูงงไปเสียทุกอย่าง แม้ภายหลังเจ้าหล่อนจะถูกใจเขามากก็ตาม แต่เรื่องที่คนตรงหน้าได้ทำไป อย่างน้อยก็ต้องตักเตือนบ้าง “แซนดี้ขอโทษค่ะ คุณตรีอย่าไล่แซนดี้ออกเลยนะคะ จะให้แซนดี้กลับไปทำงานเดิมก็ได้ แต่อย่าไล่แซนดี้ออกเลยค่ะ” เธอวอนขอ พร้อมก้มต่ำจนหน้าผากติดพื้น “เด็กคนนั้นเป็นใคร?” “คะ?” “เด็กคนที่เธอส่งมาเมื่อวานเป็นใคร ไปเจอกันได้อย่างไร และ... รู้จักมากน้อยแค่ไหน?” แม้จะให้คนของตนไปสืบมาแล้ว แต่ก็อยากได้ยินจากปากคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน “คุณตรี อย่าทำอะไรเธอเลยนะคะ เธอ...” “แค่ตอบคำถามก็พอ ไม่ต้องแสดงความคิดเห็น” เขาตัดบทด้วยเสียงเย็นจนทำเอาคนฟังขนลุกไปทั้งตัว พอได้ยินแบบนี้แล้ว มันก็ถึงเวลาจะต้องเลือก ระหว่างโดนเด็กคนนั้นตบ กับโดนชายตรงหน้าไล่ออก แต่เหมือนผีความดีเข้าสิง เพราะไม่อยากรู้สึกผิดกับเพทายไปมากกว่านี้แล้ว แซนดี้เลยเอาแต่เงียบ ไม่พูดอะไรออกมาสักอย่าง “เธอเป็นเด็กพาร์ตไทม์ของโรงแรมเราครับ” ติณณ์ซึ่งเงียบอยู่นาน เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ดี จึงยื่นชุดข้อมูลในแท็บเล็ตที่หามาวางตรงหน้านายของตน “ยังเป็นนักศึกษา ตอนนี้อยู่ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัย xx แถมยังมีเกรดเฉลี่ยยอดเยี่ยม เป็นนักศึกษาเรียนดีคนหนึ่ง” “อย่างนั้นเหรอ?” ชายหนุ่มเลื่อนข้อมูลดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง “นี่มัน??” “เธอชื่อเพทาย คุณานนท์ หรือ...” “พาย” เสียงหัวเราะดังขึ้น ทำให้คนกำลังพูดต่อต้องหยุดไปโดยอัตโนมัติ มองดูเจ้านายของตนด้วยความไม่เข้าใจ “เธอเองเหรอ ยัยเด็กตกน้ำ” เหมือนว่าตอนนี้จะจำได้แล้ว เด็กน้อยตกน้ำวันนั้น กลายเป็นคนที่อยู่บนเตียงเขาเมื่อคืน ถึงว่า... เธอมีความคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด เพราะอะไรกันถึงจำไม่ได้ หรือเพราะเธอโตแล้ว แถมยังสวยจนคนจ้องมองอย่างตรีศูลหลงใหลถึงเพียงนี้ “คุณตรีรู้จักเธอ...” “พอแล้ว เธอออกไปได้แล้วแซนดี้” เหมือนพรจากสวรรค์ แซนดี้ออกไปพร้อมน้ำตารื้นอาบแก้ม ก่อนที่ตรีศูลจะเงยขึ้นมองคนสนิทของตน “ติณณ์ ฉันว่าเราต้องเปลี่ยนแผน” “ครับ?” ‘แผนอะไรครับคุณตรี เรามีแผนตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?’ “เฮ้อ~ ถ้าเป็นใครสักคนก็คงไม่ยุ่งยากขนาดนี้ แต่นี่เป็นพาย ฉันจะทำอย่างปกติไม่ได้ ผู้หญิงนี่... ชอบเรื่องโรแมนติกใช่หรือเปล่า?” เขาถามพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งคนเป็นลูกน้องมานานอย่างติณณ์ ไม่เคยเห็นมุมนี้ของเขาสักครั้ง “ผมเอง... ก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” “ดูจากข้อมูลที่นายหามา ยัยณาน่าจะรู้จักกับพายด้วย ฉันว่าจะใช้หลานตัวเองสักหน่อย กลับบ้านกันเถอะ” ว่าแล้วก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้บริหารตัวใหญ่ทันที ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานพร้อมรอยยิ้ม และปล่อยให้คนไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างติณณ์มองตามหลังด้วยใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “แล้วผม... ก็ต้องทำตามทั้ง ๆ ที่ยังสงสัยแบบนี้ต่อไปสินะ” อืม... ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น แม้ตรงหน้าจะเป็นบ้านที่ตรีศูลอาศัยและเติบโตมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อพี่ชายจากไป เพียงไม่นานตนเองก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ ขนาดกลับมาแล้ว ก็ยังไม่คิดจะกลับมาอยู่ที่นี่เลยสักครั้ง จะแวะมาก็ต่อเมื่อหลานสาวเพียงคนเดียวสร้างปัญหาให้เท่านั้น ‘นิณา เตชโสภณ’ หรือ ณา ลูกสาวเพียงคนเดียวของพี่ชายอย่างตรัณ ด้วยเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก และแม่ก็ไม่คิดจะมาไยดี แถมยังถูกตามใจจนเคยตัว กลายเป็นว่าเธอไม่ต่างอะไรกับวัยรุ่นชอบสร้างปัญหา ติดหรู ของใช้ทุกอย่างใช้ไม่กี่ครั้งเธอก็ร้องจะซื้อใหม่ แม้ตรีศูลบ่นเรื่องนี้ไปหลายครั้ง เจ้าเด็กดื้อก็มักจะเถียงกลับทันที “แปลกแฮะ อามากินข้าวที่บ้านแบบนี้ หรือว่า... โรงแรมเราจะเจ๊งแล้วเหรอ?” นอกจากไม่ค่อยมีมารยาทแล้ว ยังปากเสียอีกด้วย “ถ้าเจ๊ง แกจะไม่มีเงินมาถลุงเล่นอย่างทุกวันนี้หรอก” นาน ๆ ได้เจอกันสักที แต่ดูแต่ละคนเอาแต่ประชันฝีปากกันไม่หยุด คนหลานก็ดื้อ คนอาก็ไม่ยอม แล้วแบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องหรือเปล่า ติณณ์ซึ่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยได้แต่ถอนหายใจ “จะว่าไป...” นิณากลืนอาหารลงท้องคำใหญ่ จนอาหนุ่มต้องส่งสายตาดุให้เพื่อตักเตือน “... ณาขอค่าขนมเพิ่มได้หรือเปล่า มันไม่พอใช้เลยนะ” “เดือนนี้ก็ขอเพิ่มเหรอ? รอบก่อน สองหมื่นหมดแล้วหรือไง ใช้เงินเก่งชะมัด” คนเป็นอาดุ ก่อนจะตักอาหารเข้าปากเหมือนไม่สนใจคำพูดของหลานเลยสักนิด “โธ่! สมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยอานะ เดินไปนิดเดียวก็หมดหลายพันแล้ว” เธอบ่นอุบ พร้อมบุ้ยปากใส่อาหนุ่มของตน “แกไปเดินที่ไหนมา มันถึงแพงนัก!” “โธ่!! จะดุทำไม เงินแค่นี้มันไม่ทำให้โรงแรมเจ๊งหรอก ทีกับหลานล่ะงก กับผู้หญิงไม่เห็นงกแบบนี้เลย ชิ!! ลำเอียง นี่หลานนะ ต้องเลี้ยงดูอย่างดีสิ!!” และเธอก็บ่นไม่หยุด คนเป็นอาได้แต่ส่ายหน้ากับความขี้บ่นของหลาน เพราะไม่ได้เลี้ยงดูด้วยตัวเองหรือเปล่านะ เธอจึงนิสัยเสียแบบนี้ “ที่ขอเพิ่มเพราะเอารถไปชนมาใช่หรือเปล่า?” เพียงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น คนที่เหมือนกำลังถือไพ่เหนือกว่า (ในความคิด) ก็เงียบลงกะทันหัน และก้มหน้าก้มตาทานข้าวในจานต่อ “ผัดเปรี้ยวหวานอร่อยจัง” แถมพยายามเปลี่ยนเรื่องทันที “เฮ้อ~” ตรีศูลถึงกับต้องถอนหายใจ ผู้หญิงที่รับมือยากที่สุดตั้งแต่เจอมา ก็คงจะเป็นหลานสาวตรงหน้านี่แหละ “เอาเถอะ เดี๋ยวซื้อใหม่ ดูท่าแล้วซ่อมไม่น่าคุ้ม” “จริงนะ!!” เมื่อได้ยินเรื่องน่ายินดี เจ้าแมวก็ตาโตกระโดดงับเหยื่อทันที “ไอ้นี่!” “หูย~ จุนอาน่าย้ากกกกก!!~” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างส่งให้อาจอมโหดอีกครั้ง ทำเอาคนที่มองอยู่อย่างติณณ์ และแม่บ้านคนอื่น ๆ หัวเราะไปตาม ๆ กัน “แต่มีข้อแม้ อามีงานจะให้แกทำ” “ว่าแล้ว ใจดีแปลก ๆ” จากพยายามทำน่ารักเต็มที่ก็บุ้ยหน้าใส่อาหนุ่มทันที และก้มลงเขี่ยข้าวในจานเล่นต่อ “รู้จักคนที่ชื่อพายหรือเปล่า?” คิ้วเรียงตัวกันสวยขมวดมุ่น ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักหรอกนะ แต่ไม่เข้าใจว่าอาของตนถามถึงยัยเนิร์ดนั่นทำไม “รู้จักสิ ก็เรียนสาขาเดียวกัน ไม่มีใครไม่รู้จักยัยพาย 4.00 หรอก” “อย่างนั้นเหรอ?” เพียงแค่นึกถึง ก็ทำเอาใบหน้าหล่อดุของเขาหลุดยิ้มออกมา เลยทำให้คนเป็นหลานอย่างนิณาทำหน้ายี๋ใส่คนตรงหน้าแบบไม่รู้ตัว “อะไร?” “สเป็กแปลก” “แกจะว่าอย่างไรก็ช่าง ไปสนิทกับพายซะ แล้วแกจะได้รถคันใหม่อย่างที่แกต้องการ” “ว่าไปก็ขี้เกียจขับรถแล้ว นั่งแท็กซี่ดีกว่า” “และ Coco Chanel Classic ที่แกอยากได้ พร้อมค่าขนมเพิ่มอีก 15%” “ณาจะตั้งใจทำงานอย่างดีเลยค่ะคุณอา” เป็นการต่อรองที่ง่ายดายและรวดเร็วที่สุดตั้งแต่ตรีศูลเคยทำธุรกิจมา แน่ล่ะ หลานทั้งคน จะไม่รู้เลยหรือว่าเจ้าหล่อนต้องการอะไร เมื่อได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการแล้ว ตรีศูลก็อิ่มเกินกว่าจะทานอาหารต่อ เลยลุกจากโต๊ะและเดินขึ้นไปด้านบน กะว่าวันนี้จะค้างที่นี่สักหน่อย เพราะ... ไม่อยากนอนที่โรงแรมตอนนี้ ในห้องนั้นมันอบอวลไปด้วยภาพของยัยเด็กตกน้ำของเขาเต็มไปหมด “จริงสิ เรื่องเกรด แกต้องทำให้เพิ่มขึ้นด้วย เข้าใจหรือเปล่า ใช้ข้ออ้างนี้ไปขอให้พายช่วยติวให้ซะ จะได้สนิทกันเร็วขึ้น” ไม่วายหันมาสั่งงานเพิ่มกับหลานสาว ก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบน ส่วนคนที่โดนกดดัน ตอนนี้เหมือนกำลังน้ำตาร่วง เลยหันไปหาญาติผู้พี่ ซึ่งเหมือนจะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว แต่... “พี่ติณณ์ ณา...” “สู้ ๆ นะณา พี่เอาใจช่วย” ติณณ์เดินมาตบบ่าเจ้าหล่อนเบา ๆ ทำเอาผัดเปรี้ยวหวานอาหารจานโปรดของเธอจืดสนิท “ใจร้ายเกินไปแล้ว!!” ... แต่เหมือนมีแค่ตัวเองที่เป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น ส่วนคนที่อยู่ในห้วงคำนึงของชายหนุ่ม หลังจากส่างไข้แล้ว ก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำอีกครั้ง เพราะยาที่ทิชาให้มามันดี หรือเธอแข็งแรงเกินไปหรือเปล่า จึงได้รู้สึกโล่งขนาดนี้ รอยตามตัวไม่หายไปง่าย ๆ เพทายมองตามร่างกายของตน มันอดไม่ได้ที่จะเขินจนใบหน้าร้องผ่าว อ่า~ เหมือนคนโรคจิตเลยนะ เพทาย! Errr~ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเธอ ทำให้เจ้าหล่อนรีบจัดการใส่เสื้อผ้าที่ค้างอยู่จนเสร็จ และกระโดดไปรับทันที แต่เมื่อเห็นชื่อที่แสดงบนหน้าจอ ไอ้ความรู้สึกผิดก็ประเดประดังเข้ามา ‘แม่’ [รับช้าจังเลยนะ นึกว่าเป็นอะไรไปเสียอีก] ถ้าว่าง เพชรไพลินก็จะโทรหาลูกสาว ถามไถ่ความเป็นอยู่ เพราะเหลือกันแค่สองคน ญาติก็ไม่มีใครให้พึ่งได้ เธอก็แอบเหงาบ้างที่ลูกสาวอยู่ไกลตนแบบนี้ “พายอาบน้ำอยู่ค่ะ แม่ล่ะ กินข้าวหรือยัง ได้นอนเต็มอิ่มบ้างหรือเปล่า?” เพทายถามขึ้น ใจก็นึกเป็นห่วงผู้เป็นแม่เช่นกัน ช่วงนี้ที่สวนพายุเข้า ทำเอาพืชผักเสียหายไปเยอะ อีกทั้งราคาจากพ่อค้าคนกลาง ก็กดราคาเสียต่ำ จนหลายครั้งเพทายอยากให้แม่ขายที่แล้วอยู่เฉย ๆ แทน [เรียบร้อยแล้ว พายล่ะ สบายดีใช่มั้ย ช่วงนี้แม่ส่งเงินให้เยอะไม่ได้ พายไม่โกรธแม่นะ] มันเป็นคำถามที่แสนจุกอก เพทายเข้าใจว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้น เลยพยายามหางานทำเพื่อแบ่งเบาภาระของตัวเอง แม้จะบอกว่าไม่ต้องส่งเงินมาให้ แต่คนเป็นแม่ก็อดห่วงลูกสาวไม่ได้ และส่งมาให้อยู่ดี “พายจะโกรธแม่ทำไมล่ะ พายมี แม่เก็บไว้เถอะ” ดวงตากลมเศร้าลงกะทันหัน เธอไม่มีสิทธิ์โกรธแม่ แต่ถ้าแม่รู้เรื่องที่ตนเองได้ทำไป แม่อาจจะโกรธจนเสียใจมากแน่ ๆ พอคิดแบบนั้น พลันปลายจมูกรั้นก็รู้สึกแสบคันขึ้นมากะทันหัน ไม่ได้นะ! จะร้องไห้ไม่ได้เด็ดขาด “แม่...” เพทายไม่กล้าพูดต่อ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่พูด มันจะยิ่งทำให้แม่รู้สึกแย่กว่าเดิมหรือเปล่า [มีอะไร?] “พายคิดถึงแม่จัง อยากกลับบ้านไปหาแม่” [อะไรกัน เด็กคนนี้] แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย แต่คนเป็นแม่ แม้เพียงเล็กน้อยจะไม่รู้เชียวหรือว่าลูกสาวกำลังมีอะไรในใจที่ไม่กล้าบอก ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่ปิดบังอะไรแท้ ๆ แต่พอเป็นสาวแล้ว ก็เริ่มจะมีความลับกับแม่แล้วสินะ [พาย... ถ้ามีเรื่องอะไรรีบบอกแม่นะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว เข้าใจหรือเปล่า?] เหมือนเป็นประโยคที่เร่งให้น้ำตาที่พยายามกลั้นจนเต็มหน่วย ไหลออกมาเม็ดโต เธอพยายามกลั้นไม่อยากให้แม่ของตนจับสังเกตได้ แต่เสียงที่ขึ้นจมูกแบบนั้น... คนเป็นแม่กลับรู้ได้ทันที “แม่... พายรักแม่นะ รักมาก ๆ ด้วย รักที่สุดเลย” [จ้า แม่ก็รักพายนะ รักมาก ๆ รักที่สุดเหมือนกัน] แม้ปลายสายจะตัดไปแล้ว คนเป็นแม่ก็ยังคงมองหน้าจอจนดับไปในที่สุด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้ลูกสาวไม่ใช่เด็กดื้อเหมือนตอนนั้นอีกแล้วสินะ กลายเป็นหญิงสาว ซึ่งกำลังปิดบังอะไรสักอย่างกับแม่อย่างเพชรไพลินอยู่ “เฮ้อ~ พายเอ๊ย! แกคิดว่าแม่ดูไม่ออกหรืออย่างไรว่ามีเรื่องอะไรในใจ” คนเป็นลูกก็ได้แต่ฟุบหน้าลงบนเตียง ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกไปเรื่อย ๆ พอคิดว่าสิ่งที่ตนทำลงไปมันผิดต่อแม่ มันก็อดเสียใจไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำ... “พายอาจจะไม่ได้เจอกับพี่ตรีอีกก็ได้... ถ้าเป็นแบบนั้น คงเสียใจแย่... แม่อย่าโกรธพายเลยนะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD