คิวากรพยักหน้ารับทั้งน้ำตาไม่อายที่จะร้องไห้เสียน้ำตาแห่งลูกผู้ชายให้กับบิดาที่เคารพรักน้ำเสียงที่เอ่ยตอบพี่สาวนั้นสั่นเครือตามแรงสะอื้น
“คินจะเข้มแข็งเหมือนที่พ่อสั่งสอนไว้ ต่อไปนี้คินจะเป็นคนดูแลพี่รัณเอง”
“ไปรับเพื่อนๆ เถอะแล้วก็หาอะไรทานบ้างนะ”
“พี่รัณก็เหมือนกัน พี่ต้องทานอะไรบ้าง คินรู้ว่าพี่รัณไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
คิวากรเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงสวมกอดพี่สาวไว้อีกครั้งก่อนจะผละออกไปต้อนรับเพื่อนๆ ซึ่งกำลังลงชื่อแสดงความเสียใจบนสมุดบันทึก
ผู้พันสิงหนาทถึงกับหน้าเผือดไปกัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกผิดหลังจากที่ได้แอบฟังสองพี่น้องสนทนากันอยู่นาน รู้ดีว่าตนเองนั้นได้มีส่วนร่วมในการทำลายความฝันของสองพี่น้องให้แตกกระจายกลายเป็นเศษธุลี เขาอยากเอื้อมมือไปช่วยซับหยาดน้ำตาใสที่เกาะแพรวพราวทั่วดวงตาคู่สวยก่อนจะเกลือกกลิ้งหยดลงมาตามพวงแก้มขาวซีด
“น้องรัณ พี่เสียใจด้วย” ถึงแม้นจะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ก็เป็นถ้อยวาจาที่กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของจิตใจนักฆ่าผู้ที่ไม่เคยเอ่ยเสียใจและมอบความเมตตาปรานีให้กับเหยื่อ
รัณชิดาหันขวับมองตามที่มาของเสียงที่ลอยมาพร้อมกับสายลมในยามค่ำคืน พอได้เห็นบุรุษหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็คลี่ยิ้มบางๆ ด้วยความดีใจ หัวใจดวงเล็กที่ไร้กำลังใจจากการสูญเสียบิดากลับชุ่มชื่นมีเรี่ยวแรงที่จะหยัดกายต่อสู้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมที่บุรุษหล่อเข้มได้มอบให้กับเธอ
“ขอบคุณค่ะพี่สิงห์ รัณนึกว่าพี่สิงห์จะไม่ว่างมาฟังสวดพระอภิธรรม”
“พี่ตั้งใจจะมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แต่เพราะติดธุระสำคัญนิดหน่อยเลยปลีกตัวมาไม่ได้สักที”
ผู้พันสิงหนาทยิ้มอบอุ่นจริงใจพลางยื่นซองขาวเพื่อช่วยงานศพ ขณะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา ดวงตาคมของนักฆ่าก็กวาดมองอย่างรวดเร็วเข้าไปในศาลาวัดจดจำแขกคนใหญ่คนโตที่เดินทางมาฟังสวดพระอภิธรรมศพ ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวจ้องมองแขกผู้ชายรายตัวด้วยเกรงว่านักฆ่าคนอื่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านการกำจัดเหยื่อในระยะกระชั้นชิดจะปะปนมากับแขกเหล่านี้เพื่อทำงานให้เสร็จสิ้นตามคำสั่งของนาย
“ธุระพี่สิงห์เสร็จเรียบร้อยหรือยังคะ รัณกับคินเกรงใจ เมื่อวานพี่สิงห์ก็อดหลับอดนอนช่วยเหลือรัณมาทั้งคืนแล้ว”
รัณชิดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงซาบซึ้งในน้ำใจของบุรุษผู้นี้ที่อยู่เป็นธุระเรื่องจัดการศพของบิดาเธอทั้งคืนแม้กระทั่งเรื่องการติดต่อจองศาลาวัดสำหรับการจัดงานศพ สิงหนาทก็เป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง
“เอ่อ...เรียบร้อยแล้วครับ” น้ำเสียงที่เอ่ยตอบนั้นติดอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย ดวงตาคมหลบนัยน์ตาหวานที่ทอดมองด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากธุระสำคัญที่เขาบอกรัณชิดาไปเมื่อสักครู่คือการเข้าไปชี้แจงให้ท่านนายพลธีรกรรับรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเป้าหมายทั้งสามชีวิต
“พี่สิงห์ทานอะไรมาหรือยัง รัณให้นมอุ่นทำกระเพาะปลากับข้าวต้มทรงเครื่องเลี้ยงแขกที่มางานศพ พี่สิงห์รับสักถ้วยไหมคะ”
“เอาไว้ทานหลังแขกคนอื่นกลับแล้วก็ได้ น้องรัณล่ะทานหรือยัง ตะกี้พี่ได้ยินคินบอกว่าไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
ผู้พันสิงห์เอื้อมมือไปจับต้นแขนเนียนขาวผ่องให้ขยับเดินมาอยู่ตรงมุมมืดห่างไกลสายตาผู้คนเล็กน้อยด้วยไม่อยากให้แขกคนอื่นที่อาจจะเป็น ‘สาย’ ของท่านนายพลธีรกรได้รับรู้ว่าเขาเดินทางมาแสดงความเสียใจกับเป้าหมายที่ตนเองเคยรับหน้าที่เป็นผู้ลงมือสังหาร
“รัณทานไม่ลงค่ะพี่สิงห์”
รัณชิดาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษหนุ่มพร้อมกับกระซิบตอบเสียงเศร้าอยากซบหน้าลงกับอกกว้างแข็งแกร่งแล้วร่ำไห้กับสิ่งที่ตนเองสูญเสียอย่างไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้
ราวกับหัวใจสองดวงสื่อประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้พันสิงหนาทรับรู้ได้ถึงสิ่งที่รัณชิดาโหยหา มือใหญ่กุมมือเล็กไว้ถ่ายทอดความห่วงใยความอบอุ่นให้กับหญิงสาวขณะเดียวกันก็แบ่งเบาความเจ็บปวดความหมองเศร้าให้มาลงที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
“น้องรัณต้องทานข้าวบ้างนะครับ ถ้าหากไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจะทำให้ไม่สบายเอา”
“รัณไม่หิวจริงๆ ค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องทาน ถ้าหากน้องรัณไม่สบายคนที่แย่ก็คือคิน ตอนนี้น้องรัณเป็นเสาหลักให้คินได้พักพิงถ้าหากน้องรัณล้มไปอีกคนแล้วใครจะดูแลคิน”
ด้วยรู้ว่ารัณชิดารักน้องชายยิ่งนัก ผู้พันหนุ่มจึงฉลาดเอ่ยเตือนแกมข้อร้องโดยใช้คิวากรเป็นข้ออ้าง เขาอยากจะเอื้อนวาจาบอกให้หญิงสาวได้รู้ยิ่งนักว่าถ้าหากเธอเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวตัวเขาเองก็พร้อมที่จะเป็นผืนแผ่นดินที่โอบกอดประคับประคองให้เสาต้นนี้ได้ยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงไม่โอนเอนล้มลงไม่ว่าต้องลมพายุหนักหนาสักเพียงใด
รัณชิดาสะอื้นกับถ้อยคำเอ่ยเตือนของสิงหนาท “รัณสงสารน้อง คินอยากเป็นนักบิน เขาฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากขับเครื่องบินลำใหญ่ส่งผู้คนไปยังดินแดนที่พวกเขาต้องการเดินทางไป แต่ความฝันของคินคงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว”
ผู้พันสิงห์ระงับความรู้สึกผิดไว้ในใจก่อนจะเอ่ยถามแผ่วเบา “ทำไมหรือน้องรัณ”
“ไม่รู้ค่ะ รัณสังหรณ์ใจว่าเสร็จจากงานศพของคุณพ่อแล้วรัณกับน้องต้องเจออะไรอีกมากมายที่กำลังคืบคลานเข้าหาครอบครัวเราอย่างช้าๆ”
รัณชิดากระซิบตอบ ดวงตาคู่สวยที่กำลังทอดมองไปยังน้องชายมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ลางสังหรณ์ที่เริ่มชี้บ่งบอกให้รู้ว่าครอบครัวเธอจะไม่ได้สุขสบาย คิวากรจะไม่มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยสะดวกมือเหมือนสมัยที่บิดามีชีวิตอยู่ทำให้หญิงสาวหลุดเสียงสะอื้นร่ำไห้ออกมาเบาๆ
ผู้พันสิงหนาทขบกรามด้วยความสะเทือนใจ ลางสังหรณ์ของรัณชิดากำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าหากทางการมีหลักฐานหนาแน่นชี้บ่งว่าคนตายค้าอาวุธสงคราม อาณาจักรของเสี่ยบริพัตรจะถูกยึดเป็นของหลวงเนื่องจากสิ่งเหล่านี้เสี่ยบริพัตรได้ใช้เงินสกปรกจากการค้าอาวุธสงครามซื้อหามา
“แล้วน้องรัณละครับ น้องรัณฝันอยากเป็นอะไร”
“รัณอยากเป็นนักประพันธ์บทละคร คงจะดีไม่น้อยถ้าหากมีผลงานของเราออกสู่สายตาประชาชนได้ชื่นชมกันทั่วทั้งประเทศ” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นทั่วดวงหน้างามลออ ดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบขนตายาวงอนเปล่งประกายสุกสกาวขณะได้เอ่ยเล่าถึงสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันที่จะเป็น
“รัณกับคิน คงทำตามความฝันของตัวเองไม่ได้ ขาดพ่อไปแล้วพวกเราสองคนพี่น้องต้องช่วยกันบริหารธุรกิจต่อจากพ่อ”
“ถ้าจำไม่ผิดคุณพ่อน้องรัณทำธุรกิจส่งออกอาหารแช่แข็งใช่ไหมครับ”
ผู้พันสิงห์ขยับตัวอย่างระมัดระวังขณะแกล้งเอ่ยถามหยั่งเชิงหญิงสาว มือใหญ่ที่กุมมือนุ่มไว้บีบเข้าหากันแน่น ดวงตาคมทอดมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตพยายามเสาะแสวงหาความจริงที่ตนเองนึกหวาดหวั่นระคนปวดร้าว
รัณชิดารู้หรือไม่ว่าบิดาตัวเองเป็นนักค้าอาวุธสงครามและถ้าหาก ‘รู้’ หญิงสาวเต็มใจพร้อมที่จะเดินตามรอยเท้าพ่อหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาคงจะเข้าไปปกป้องเธอจากน้ำมือของนายและผู้กองดนิษฐ์ไม่ได้
“ใช่ค่ะ รัณยังไม่รู้เลยว่าจะบริหารงานต่อจากคุณพ่อได้หรือเปล่า รัณไม่ถนัดเรื่องการทำธุรกิจกลัวว่าถ้าเข้าไปบริหารงานแล้วจะทำให้ธุรกิจของคุณพ่อพังเอา”
ผ้าที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์ยังคงเป็นเช่นนั้นเหมือนเดิมเพราะตอนที่มีชีวิตอยู่ผู้ที่เป็นบิดาได้ปิดบังอย่างดีไม่ให้ลูกๆ ทั้งสองได้รับรู้ธุรกิจผิดกฎหมายที่ตัวเองทำ