บทที่ 8

1412 Words
ผู้พันสิงหนาทพยักหน้ารับไหว้รู้ดีว่าสักวันเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องรู้ว่าเขาคือใคร และถึงตอนนั้นเด็กหนุ่มคงไม่พูดไม่ยิ้มและยกมือไหว้เขาดังเช่นที่ได้ทำในวันนี้ “ไม่เป็นไร ผมยินดีช่วยเหลือ” ผู้พันสิงห์ยิ้มอบอุ่นเป็นมิตรให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะก้มลงมองรัณชิดาที่ยังคงสะอื้นร่ำไห้เบาๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องมองที่ร่างไร้วิญญาณของบุพการีโดยเอนศีรษะมาพักพิงกับเรือนกายของเขาอย่างลืมตัว “ผมเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หักห้ามใจบ้างนะรัณชิดา” ผู้พันหนุ่มปลอบเสียงอ่อนเอ่ยขอโทษหญิงสาวไปในตัว ใช่! เขากำลังขอโทษ เขาเสียใจกับการสูญเสียและการเป็นมือสังหารของตนเอง เสียใจที่เป็นผู้ทำให้ใบหน้างามหวานมีรอยเศร้าหมองและน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั่วดวงหน้า เสียใจที่ทำให้ดวงตาคู่สวยต้องบวมแดงก่ำและเสียใจที่ทำให้หัวใจดวงเล็กเปราะบางต้องได้รับความชอกช้ำ มือใหญ่อบอุ่นที่ยกขึ้นลูบไล้แผ่วเบาทั่วแผ่นหลังขณะปลอบประโลมได้แบ่งเบาถ่ายทอดความเจ็บปวดเสียใจให้มาลงที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว รัณชิดาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองบุรุษหนุ่มที่โอบกอดตัวเธอไว้กลายๆ หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถโรงพยาบาลเธอได้ซบศีรษะกับบ่ากว้างเอนกายพักพิงกับเรือนกายของบุรุษหนุ่มผู้นี้ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่เธอรับรู้ได้ในขณะที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้คือความอบอุ่นปลอดภัยและความเจ็บปวดโศกเศร้าที่ค่อยๆ จางหายมลายไปทีละนิดทีละน้อยพร้อมๆ กับมือใหญ่ที่ลูบไล้ปลอบประโลม “คุณเป็นเพื่อนกับคุณพ่อนานแล้วหรือคะ ทำไมรัณกับคินไม่เคยพบคุณมาก่อน” รัณชิดากระซิบถามแผ่วเบาหลังจากที่นั่งร่ำไห้อยู่นาน “เอ่อ นานแล้วครับ ผมไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมท่านเพราะอยู่เมืองนอกตลอด ผมเพิ่งกลับมาวันนี้กะว่าวันรุ่งขึ้นจะเอาของฝากไปเยี่ยม” อีกครั้งที่ความละอายใจได้เข้ามาเกาะกุมหัวใจเย็นชาเมื่อต้องเอ่ยโกหกรัณชิดาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “คุณชื่ออะไรคะ รัณกับคินยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” รัณชิดาละทิ้งความโศกเศร้ากับการสูญเสียบิดาไปชั่วขณะแต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ตนเองคิดว่ามีพระคุณเข้ามาช่วยเหลือในยามที่เธอกับน้องไม่มีใครนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าหมองสั่นเครือจากแรงสะอื้นร่ำไห้ ผู้พันหนุ่มลอบถอนหายใจยาวกับคำถามที่ไม่อยากตอบเพราะไม่ใช่วิสัยของนักฆ่าที่จะมาสงสารเห็นอกเห็นใจเอ่ยบอกชื่อตัวเองให้กับผู้ที่เคยเป็นเป้าหมายตัวเองได้รับรู้ “สิงห์...สิงหนาทครับ” “สิงหนาท” รัณชิดาทวนคำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่นฝืนยิ้มบางๆ ให้กับบุรุษหนุ่มที่ตนเองเพิ่งทราบชื่อเสียงเรียงนามจากนั้นก็เอนกายซบหน้านิ่งกับบ่ากว้างเหมือนเดิม ผู้พันสิงห์หายใจติดขัดก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขนดุจสายตาของราชสีห์ที่ได้รับบาดเจ็บน้ำเสียงที่รัณชิดาทวนเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบาทำให้เขารู้สึกว่าหญิงสาวกำลังจดจำซึมซับชื่อของ ‘ปีศาจร้าย’ ที่เป็นผู้คร่าชีวิตบิดาไปจากเธอเข้าสู่ก้นบึ้งของจิตใจ บรรยากาศงานสวดพระอภิธรรมศพคืนแรกของนักการเมืองชื่อดังอย่างเสี่ยบริพัตรซึ่งถูกพาดหัวข้อข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับว่าเป็นการลอบฆ่าด้วยมือปืนฝีมือระดับพระกาฬเต็มไปด้วยแขกเหรื่อข้าราชการ นักการเมืองที่เคยเป็นลูกพี่และลูกน้องของบิดาหญิงสาวซึ่งยืนหน้าเศร้าไร้สีเลือดคอยยกมือไหว้ต้อนรับแขกที่ได้มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพ แต่อนิจจัง! งานศพที่ควรเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แขกที่มาร่วมงานควรอยู่ในอาการสงบให้เกียรติแก่ผู้ตายหรือบรรดาญาติๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น บรรดาแขกที่มาร่วมงานทั้งชายและหญิงที่ต่างก็สวมเครื่องเพชรมาโอดโฉมประชันความร่ำรวยใส่กันต่างก็พากันซุบซิบนินทาคนที่สิ้นลมอยู่ในโลงทอง สีหน้าแววตาน้ำเสียงเศร้าสร้อยเห็นอกเห็นใจที่เข้ามาทักทายเอ่ยปลอบบุตรสาวบุตรชายของคนตายล้วนแต่เป็นหน้ากากที่ผู้คนเหล่านี้ได้สวมใส่แสดงออกกับรัณชิดาและคิวากร คิวากรจ้องมองเขม็งไปยังแขกที่นั่งอยู่ในศาลาด้วยความโกรธเคืองซึ่งเขาแสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็นทั้งจากใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม “คินรู้นะว่าคนพวกนี้ไม่ได้เสียใจกับการตายของพ่อ พวกเขามาเพื่อสมน้ำหน้าพ่อของเราต่างหาก” “จุ๊ๆ เบาๆ หน่อยสิคินเดี๋ยวแขกจะได้ยินเข้า” รัณชิดาเอ็ดน้องชายเสียงแผ่วเบาถลึงตาห้ามปราบไม่ให้น้องชายโวยวายเสียงดังไปกว่านี้ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าผู้คนเหล่านี้มางานศพบิดาเธอด้วยมารยาทที่ขัดเสียมิได้แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังปันน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเดินทางมาร่วมงานศพ “พี่รัณจะห้ามคินไปทำไมละครับ พี่รัณดูสิคุณหญิงคุณนายทั้งหลายพากันหัวเราะร่าใส่เครื่องเพชรมาอวดกันอย่างสนุกสนานราวกับว่ามาแฟชั่นโชว์ไม่ใช่มางานศพพ่อเรา คินไม่เห็นมีใครตั้งใจฟังพระสวดพระอภิธรรม ไม่เห็นมีใครเสียใจกับการจากไปของพ่อเลยสักคน” น้ำเสียงตอนท้ายสั่นเครือขณะหันไปมองภาพถ่ายของบิดาที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพสีทองและอีกไม่กี่วินาทีต่อมาน้ำตาอุ่นของลูกผู้ชายก็ไหลรินหลุดเสียงสะอื้นร่ำไห้เบาๆ ให้พี่สาวได้ร้องไห้ตาม รัณชิดาโอบแขนไปรอบบ่ากว้างของน้องชายพร้อมกับเอ่ยปลอบเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาใสร่วงเผาะเป็นทางยาวตามร่องแก้มขาวซีด “ใครจะเป็นไงก็ช่างเขาเถอะ คินอย่าไปสนใจเลย ใครไม่รักพ่อไม่ศรัทธามางานศพเพียงเพราะคำว่าสังคมหรือหน้าที่ก็ปล่อยเขาไป แม้จะไม่มีพ่อแล้วแต่เราก็ต้องทำหน้าที่ของลูกให้สมบูรณ์ที่สุด” “คินทำใจยังไม่ได้พี่รัณ พ่อไม่ควรจากเราไปเร็วแบบนี้ คินวาดฝันนับร้อยๆ ภาพ คิดถึงรอยยิ้มแห่งความสุขนึกถึงวันที่เราสองคนเรียนจบจากอเมริกาแล้วมีพ่อยืนกอดเราทั้งสองถ่ายรูปครอบครัวร่วมกันอย่างมีความสุข” ความฝันที่เคยวาดไว้มีอันต้องพังทลายลงพร้อมกับการจากไปของบุพการีที่รัก เด็กหนุ่มไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าครอบครัวของตนต้องมาเจอกับพายุร้ายที่ซัดกระหน่ำทำลายความฝันไปเสียสิ้น “พี่ก็ฝันเหมือนคิน พี่รู้ว่าวันที่เราสองคนรับปริญญาจะเป็นวันที่พ่อมีความสุขและยิ้มได้สดใสที่สุดในชีวิตของพ่อ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้วคิน เราสองคนไม่เหลือใครอีกแล้ว” รัณชิดาโผเข้ากอดน้องชายสะอื้นฮักจนร่างบอบบางสั่นสะท้านดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาอุ่นตกอยู่ในอาการหมองเศร้าจนไม่รับรู้ถึงการมาของบุรุษหนุ่มที่กำลังก้าวเดินช้าๆ มาหยุดนิ่งยืนอยู่ด้านหลังในรัศมีที่จะได้ยินเสียงการสนทนาของพวกเธออย่างชัดเจน “คิน นั่นเพื่อนๆ ของคินใช่ไหม คินออกไปรับเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะดูแลแขกทางนี้เอง” รัณชิดารีบเช็ดน้ำตาของตนเองพร้อมกับเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้น้องชายเมื่อได้เห็นแขกกลุ่มใหญ่ที่เป็นเพื่อนเรียนสมัยมัธยมของน้องชายซึ่งกำลังเดินรวมกลุ่มกันมาเกือบๆ ยี่สิบคนและก่อนที่คิวากรจะผละไปต้อนรับเพื่อนๆ ที่มีน้ำใจเดินทางมาร่วมงานศพ รัณชิดาได้รั้งร่างใหญ่โตของน้องชายมากอดอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจ “คินต้องเข้มแข็งนะ ถึงไม่มีพ่อแล้วแต่คินก็ยังมีพี่อีกคน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD