5

1991 Words
“มีเอกสารอะไรที่ต้องเซ็นอีกไหม” “ไม่มีแล้วค่ะบอส” “แล้วสองสามวันนี้ ผมมีนัด มีประชุมที่ไหนหรือเปล่า” “สักครู่นะคะ” เลขานุการสาวเช็กตารางให้ครู่เดียว เงยหน้าขึ้นยิ้ม ตอบไปว่า “ไม่มีค่ะ” “ขอบคุณมาก ผมไม่อยู่จนถึงจันทร์หน้าเลยนะ” ผู้เป็นเลขานุการกล่าวท้วงทันที “แล้วถ้ามีเอกสารด่วนช่วงนี้” “ไม่น่ามีอะไรเร่งด่วนหรอก” รุจิภาสตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “หรือถ้ามีคุณก็ค่อยโทรหาผมแล้วกัน” เลขานุการสาวพยักหน้าตอบรับผู้เป็นเจ้านายแล้วถอยฉากออกจากห้องทำงานไป เมื่อครู่รุจิภาสเรียกเลขานุการของเขามาสอบถามถึงงานและตารางการนัดหมายต่าง ๆ เห็นว่าสัปดาห์นี้ไม่มีอะไรสำคัญมากนัก จึงเร่งเคลียร์หนังสือที่ต้องเซ็นจนเสร็จสิ้น แล้วถึงได้ลงมาที่ด้านล่าง ขับรถออกจากบริษัท มุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมาย ที่เขายังไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายไปเลยสักครั้ง หลังจากได้พบกับดรัลรัตน์อีกครั้ง รุจิภาสก็บอกตัวเองว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ เคลียร์ปัญหาคาใจระหว่างกันให้จบสิ้นกันไป เขาจะใช้โอกาสนี้แก้ไขความผิดพลาดในอดีต ดรัลรัตน์จะต้องให้โอกาสเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน เขามั่นใจ   ดรัลรัตน์นั่งยอง ๆ จนสายตาได้ระดับเดียวกันกับเด็กชายสิปปภาสแล้ว ค่อยออกปากบอกไปว่า “ตั้งใจเรียนนะครับ” แล้วจับไหล่หมุน ดันหลังให้เดินเข้าไปในโรงเรียน เด็กชายสิปปภาสอิดออดในทีแรก แต่ก็ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี อาจเพราะมีคุณครูท่านหนึ่งออกมารับ พร้อมจับจูงพากันไป จึงไม่ทำตัวงอแงอย่างเมื่อเช้าตอนที่กำลังพาออกมาจากบ้าน เช้านี้เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เจ้าสิปไม่ยอมลุกจากที่นอน เอาแต่บอกว่าไม่อยากมาโรงเรียน ทีแรกก็นึกว่าไม่สบาย พอแตะตามเนื้อตัวดูก็ไม่ร้อนนี่นา พ่อตัวดีงอแงหนัก จนเธอเกือบใจอ่อนไปแล้วเชียว ยืนมองอยู่ครู่ จนเจ้าสิปหายเข้าห้องไป จึงหันหลัง จะกลับไปที่รถ แต่มีเสียงเรียกเอาไว้เสียก่อน “คุณแม่น้องสิปคะ” ดรัลรัตน์หมุนตัวกลับไปทางคนที่เรียกตน เห็นว่าเป็นครูผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ก็ยกมือขึ้นไหว้ท่าน คุณครูรับไหว้เธอแล้ว ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะเอ่ยถาม “ทราบเรื่องกิจกรรมของทางโรงเรียนหรือยังคะ” นึกทบทวนว่าเป็นกิจกรรมอะไร ทางนั้นก็ช่วยขยายความต่อ “เป็นงานฉลองวันก่อตั้งของโรงเรียนเราน่ะค่ะ มีตักบาตรอาหารแห้งช่วงเช้า แล้วก็ถวายภัตตาหารเพล บ่ายมีจัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้แสดงออกด้วย หากผู้ปกครองมาร่วมกิจกรรมได้ อยากให้มาร่วมกิจกรรมด้วยกันค่ะ คุณแม่น้องสิปพอจะว่างไหมคะ” ตอบรับด้วยความเต็มใจ “ว่างค่ะ จะเตรียมของมาตักบาตรเช้าด้วย เอาอย่างนี้ได้ไหมคะ เดี๋ยวจะเอาผลไม้ที่สวนมาร่วมถวายเพลพระท่านด้วยเลย ไม่ทราบว่าทางโรงเรียนจะอนุญาตไหมคะ” “ได้ค่ะ ยกมาได้เลย ทำบุญร่วมกันสิคะดี” คุยกันอีกครู่หนึ่ง ค่อยยกมือไหว้ลาทางครูผู้ใหญ่ท่านนั้น กลับขึ้นรถได้ พาป้าเขียว กระบะคู่ใจเลยไปยังสวนมันที่คนงานกำลังทยอยขุด และขนขึ้นรถกันอยู่ นอกจากผักพื้นบ้านและข้าวที่ปลูกไว้กินเองแล้ว ดรัลรัตน์สู้ยิบตา ปลูกมันสำปะหลังและยูคาลิปตัสด้วย ยูคาลิปตัสอาจได้ราคาไม่เท่าไร เพราะปลูกต่อจากมารดาที่ทำทิ้งไว้ก่อนที่ท่านจะป่วยด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง คล้ายอัมพาตแต่ก็ไม่หนักเท่า พอฟื้นฟู ออกกำลังวังชาทุกวันแกก็ว่าแกดีขึ้น และเธอก็ไม่ให้ท่านกลับไปจับงานหนัก ๆ อีก ส่วนไร่มันสำปะหลังแปลงนี้ เธอทำมาได้ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว ปีก่อนขุดไปก็พอได้เก็บ พอได้ใช้จ่าย ไม่ขาดทุนอย่างที่หลาย ๆ คนบอกไว้ก่อนจะลงทุนจับพืชเกษตรตัวนี้ และคงเพราะได้คำแนะนำจากเพื่อนร่วมอาชีพอย่างเจ้าของไร่ข้าง ๆ กัน ซึ่งเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมด้วยละมัง เลยพอได้จับเงินกับเขาบ้าง เดินมาหยุดมองตรงคนงานที่กำลังทำงานกันอยู่ ถึงได้ยินเสียงทักแว่วมาแต่ไกล “ขุดวันนี้แล้วหรือรัล” ดรัลรัตน์หันไปยิ้ม ถามทางนั้นกลับ แทนที่จะตอบ “ของพี่ขุดหรือยัง” “ของพี่อีกสามเดือน ขึ้นวันนี้ราคาดีเลยนี่ ถึงตาพี่บ้าง ตอนนั้นให้ราคาเท่ารัลพี่ก็ดีใจแล้ว” “อย่างเสี่ยปุย จะมากังวลอะไรกับราคาขึ้นลงไม่กี่ตังค์แค่นี้กันเล่า” ดรัลรัตน์กล่าวหยอกล้อเพราะคุ้นเคยกันดี “อ้อยพี่ตัดยัง” “กำลังตัดอยู่” “รัลล่ะอยากเก่งให้ได้ครึ่งของพี่จริง ๆ เลย จับตัวไหนก็รุ่งไปหมด อิจฉานะเนี่ย” “เก่งด้วย ขยันด้วยแบบรัลต้องแซงพี่ขาดลอยแน่นอน” “พูดถึงอ้อย รัลก็อยากจะลองลงดูสักหน่อยเหมือนกันนะ” บดินทร์มองตอบด้วยรอยยิ้ม เลยชวนหารือเรื่องพืชเกษตรที่เขาทำอยู่ รวมถึงเรื่องน้ำ ที่กำลังจะขุดสระในที่ของตนเองต่อจากนั้น ปรึกษากันครู่ใหญ่ บดินทร์แยกตัวไปสั่งงานคนงานต่อ เธอเองก็แยกตัวไปดูทางคนงานของตนเองเช่นกัน ลอตนี้เป็นลอตสุดท้ายแล้ว มันค้างมาจากเมื่อวานนี้ กว่าจะเข็นได้จนหมดก็กินเวลาจนเที่ยงเฉียด ๆ บ่ายโมง เลยให้คนงานตรงไปยังโรงรับซื้อมันสำปะหลังที่อยู่ติดกับบ้านของเธอทันที ตั้งใจว่าขายเสร็จแล้วก็จะเข้าไปอาบน้ำก่อน แล้วออกไปรับสิปปภาสหลังจากนั้น อาจช้ากว่าวันอื่นสักหน่อย แล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เจ้าสิปงอแงแต่เช้าเรื่องไม่อยากไปโรงเรียน ไว้ไปรับแล้ว พาแวะหาอะไรอร่อย ๆ กินเอาใจเจ้าสิปเสียหน่อยก็คงจะดี แต่พอไปถึงลานมัน กลับพบว่าคนงานของลานมันจัดคิวของอีกเจ้าเข้ามาแทรกคิวของเธอ คนงานที่มากับเธอด้วยโวยทันที “ทำไมให้ทางนั้นชั่งก่อนล่ะพี่ ทางนี้มาก่อนนะ บัตรคิวก็มีเนี่ย” ทางนั้นยกมือขอโทษขอโพย เข้ามาบอกว่าจะพาลูกอายุไม่กี่เดือนไปหาหมอต่อ แล้วของตนก็มีแค่คันรถเดียว ไม่มากแบบของเธอ ดรัลรัตน์แว่วเสียงเด็กร้องในรถดังออกมา ก็นึกเห็นใจจึงยอมให้ “ไม่เป็นไรหรอกพี่ เรื่องแค่นี้เอง” ถึงจะบอกคนงานไปแบบไม่ถือสา แต่ในใจเริ่มลนลานบ้างแล้ว เพราะกลัวว่าเวลาที่กะเกณฑ์ไว้ อาจคาดเคลื่อนออกไปอีก แล้วก็จริงดังคาด กว่าจะได้ขึ้นชั่ง บ่ายสามค่อนสี่โมงเข้าไปแล้ว ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยและหิว เสร็จจากตรงนั้น ดรัลรัตน์รีบซิ่งรถเท่าที่ป้าเขียวจะไหว ตรงไปรับเด็กชายสิปปภาสทันที ไม่ต้องแวะอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวอีกแล้ว เพราะเย็นป่านนี้ เลยเวลารับมาเกือบสี่สิบนาที เจ้าสิปคงชะเง้อคอมอง ไม่แน่ว่าอาจจะยืนร้องไห้อยู่ก็เป็นได้ คิดด้วยหัวใจกระวนกระวายหนัก ดรัลรัตน์จอดรถแล้ว พบว่าเด็ก ๆ กลับบ้านกันไปจนเกือบหมด ใจคอเริ่มไม่ค่อยดี นึกห่วงเจ้าสิป กวาดตามองหาที่สนามเด็กเล่น คิดว่าคงมีครูสักคนเฝ้าที่นั่น ก็ค่อยโล่งใจ เมื่อพบว่าเด็กชายสิปปภาสอยู่กับครูจริง ๆ อยู่กับครูลออเสียด้วย แถมข้าง ๆ นั่นก็ยังมีชายร่างสูงใหญ่สองคนยืนขนาบข้างอยู่ ทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ของหนึ่งในสอง ที่กำลังยืนคุยอยู่กับเด็กชายสิปปภาส อารมณ์ของดรัลรัตน์ก็เดือดพล่านในทันที เธอก้าวขาต่อไม่ออก ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไปเป็นครู่ ไม่คิดว่ารุจิภาสจะรุกไวขนาดนี้ นี่เขาถึงกับถ่อสังขารมาที่โรงเรียนของเจ้าสิปเลยหรือ “แม่น้องสิป” เสียงทักดังมาจากครูลออ ดึงความคิดเดือดพล่านของเธอเอาไว้ บอกตัวเองว่าให้สงบนิ่ง ชายสองคนที่ยืนอยู่กับครูลออหันมามองที่เธอแทบพร้อมกัน หนึ่งในนั้นเป็นรุจิภาส ส่วนอีกคนเธอไม่คุ้นหน้าเขา “คุณแม่มาพอดีเลย” ครูลออกล่าวหยอกล้อกับเด็กชายแล้วก็เงยหน้าขึ้นบอกเธอ “ทำท่าจะร้องไห้ด้วยนะคะเมื่อกี้นี้ ได้ยินบ่นว่าแม่คงจะลืมสิปแล้ว” ชายอีกคนไม่พูดอะไร เขาใช้เพียงสายตาเรียบนิ่งที่แฝงแววเฉียบคมมองสำรวจคนทั้งหมดก็เท่านั้น ส่วนรุจิภาส ที่ไม่รู้ว่าเขามาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร สายตาเขาโฟกัสมาที่เธอแน่นิ่ง ดรัลรัตน์เตือนสติตัวเองว่าไม่ควรต้องหวั่นเกรงหรือหวั่นใจแต่อย่างใด เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ยิ้มให้กับครูลออ บอกเจ้าสิปไปว่า “ขอโทษครับ แม่เพิ่งเสร็จงาน สิปไหว้คุณครูก่อนเร็ว จะได้กลับบ้านกัน หิวไหมลูก” “หิวครับ” สิปปภาสบอกด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่จะสดใสเท่าไรนัก คงเพราะว่าเธอมารับช้ากว่าทุกวันนั่นเอง บวกกับความหิวเป็นเหตุ จึงทำให้ใบหน้าง้ำงอได้ขนาดนั้น ดรัลรัตน์จึงโอบแขนที่ไหล่เด็กชายเบา ๆ บอกเสียงอ่อนโยนว่า “กลับกันเถอะลูก” “สวัสดีครับ” สิปปภาสไม่ลืมยกมือไหว้ครูลออ “ขอบคุณนะคะครูใหญ่” ดรัลรัตน์เลยถือโอกาสลาครูลออด้วยเลย แล้วจับมือเล็ก ๆ เสียแน่นเพราะลืมตัว ก่อนหน้าจะมาก็เสียอารมณ์กับโรงมันข้างบ้านมาแล้วด้วย ยังจะต้องหงุดหงิดเพิ่มเพราะเห็นรุจิภาสที่โรงเรียนของสิปปภาสอีก เพิ่งไปพบเขาที่บริษัทเมื่อสัปดาห์ก่อน มาวันนี้เขาเดินหน้าจะเอาเจ้าสิปของเธอไปแล้ว ขึ้นรถได้ เด็กชายสิปปภาสลูบมือตัวเองป้อย ๆ บ่นว่า “สิปเจ็บครับ” ได้ยินก็ตกใจ หันขวับมาถาม “เป็นอะไรลูก” “หยิกสิปทำไม นี่ไง แม่หยิกสิป” ดรัลรัตน์ถึงได้รู้ตัวในตอนนั้นว่าคงตกใจมากจนเผลอจับมือของสิปปภาสเสียแน่น จนเจ้าสิปเข้าใจว่าเธอหยิก ถอนใจเบา ๆ บอกเสียงอ่อนลง “ขอโทษครับ แม่ขอโทษ” ขับรถออกมาแล้วก็ถามเอาใจว่า “ไปตลาดกันดีกว่า สิปอยากกินอะไรบ้าง บอกแม่ซิ” เจ้าสิปแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด บอกถึงของที่อยากกินยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว ดรัลรัตน์หัวเราะเบา ๆ ตอบรับว่าได้ แล้วขับรถออกจากโรงเรียน โดยไม่มองกลับไปที่ด้านหลังอีกเลย เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เธอเลี้ยงเจ้าสิปมากับมือ เลี้ยงมาคนเดียว ก็บังเกิดความห่วงหวง อยากครอบครอง แม้จะรู้เต็มอกว่าเด็กชายต้องรู้ว่าใครคือพ่อของตัวเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ในเมื่อทางนั้นทำท่าจะไม่รับ ก็ทำไมไม่รับให้ตลอด มาเปลี่ยนแปลง มาพลิกแพลงตลบตะแลงแบบนี้ทำไม ก็เอาสิ หากคิดจะมาทำลูกเล่นใส่เธอ เธอก็จะขอสู้จนตัวตายเหมือนกัน ไม่มีทางยกเจ้าสิปให้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน      
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD