6

3014 Words
“โปรดดูสนใจเด็กคนนั้น...เป็นพิเศษ” ณฐกรถามเน้นคำหลังพร้อมกับลอบสังเกตอาการของรุจิภาสเมื่อครูลออคล้อยหลังไปแล้ว ก่อนจะเดินตามกันออกไปที่ลานจอดรถ รุจิภาสยิ้ม หันมาสบตาขณะถามกลับ “คนไหนหรือ” คนถามก่อนหน้าไม่ตอบ ถามกลับอีกที “หรือไม่ใช่แค่เด็กที่โปรดสนใจ” คำถามอย่างที่รู้ไปถึงก้นบึ้งของความคิดทำเอารุจิภาสอึดอัดเล็กน้อย “นี่หรือเปล่า ธุระที่ว่าแวะมาจัดการ” เสียงถามของอีกฝ่ายเท้าความถึงบทสนทนาก่อนหน้าเมื่อได้พบรุจิภาสที่นี่ ณฐกรแวะมาคุยธุระกับครูลออเรื่องเซ้งกิจการ คุยกันอยู่เป็นนานที่ในห้อง เสร็จแล้ว ถึงได้พากันเดินมาที่ด้านนอก แล้วก็ได้พบรุจิภาสที่สนามเด็กเล่น จึงเข้าไปสมทบ ไม่ได้คุยอะไรกันในตอนนั้น เพราะมีครูลออร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย ไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามารับเด็กชายกลับบ้านไป น่าสนใจตรงที่สายตาของรุจิภาสนี่เอง รุจิภาสมองตามหลังสองแม่ลูกนั่นราวกับอาลัยอาวรณ์ พลันนั้นคำกล่าวของสิริรัศมิ์ก็ดังก้องขึ้นในความทรงจำของเขา   ‘สายตาเขาดูอาลัยอาวรณ์กันมากเลยค่ะ’   ณฐกรเองก็เพิ่งเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์จากรุจิภาสครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่อยากเชื่อว่ารุจิภาสจะมีสายตาแบบนี้ด้วย รุจิภาสแทบจะเป็นหนุ่มเจ้าสำราญด้วยซ้ำไป แว่วมาว่า ถูกจับหมั้นหมายกับสิริรัศมิ์แล้ว และก็มักเที่ยวเตร่ตามประสาผู้ชายไปทั่ว เรื่องนี้ไม่แปลก ในกลุ่มเพื่อนของเขาก็มักทำตัวแบบนี้กันทั้งนั้น แต่แล้วสายตาของผู้หญิงคนนั้นกลับไม่มีความรู้สึกแบบเดียวกับรุจิภาสเลยสักนิด ดูฉุนเฉียว ออกจะเป็นคนโมโหร้ายด้วยซ้ำหากไปจุดติดส่วนที่เป็นชนวนอารมณ์ของเจ้าหล่อนเข้า รุจิภาสอายุมากกว่าณฐกรแปดปี และเมื่อถูกไล่ต้อนแบบนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ออก ไปไม่ถูก แล้วจึงเลือกใช้ความเงียบข่มอีกฝ่ายกลับไป เงียบกันไปเป็นนาที ณฐกรเอ่ยทำลายความเงียบนั้นขึ้น “คืนนี้พักที่ไหน” “ยังไม่ได้จองห้องเลย” รุจิภาสเสียงอ่อนลง เขามาแบบใช้ความรู้สึกนำทาง จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องที่พัก ตอบไปแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาปาดหน้าจอ กำลังจะค้นหาที่พักใกล้ ๆ “ที่นี่โรงแรมไม่ได้มีให้เลือกมาก ไปพักที่บ้านก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้ค่อยจัดการทีหลัง” ณฐกรบอกแล้วก็ผละไปยังรถของเขาทันที รุจิภาสพาตัวเองขึ้นรถเก๋งคันหรู ขับตามหลังรถจี๊ปเชอโรกีของคนชวน ตรงไปยังบ้านพักหลังจากนั้น นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ก่อนจะมาที่นี่ เขาได้ที่หมายมาสองพิกัด หนึ่งคือบ้านของดรัลรัตน์และอีกหนึ่งก็คือโรงเรียนของเด็กชายสิปปภาส และเขาก็เลือกตรงไปที่บ้านก่อน จอดมองอยู่หน้าบ้านเป็นนาน แต่แล้วก็ไม่เห็นใคร จึงขับไปที่โรงเรียน หวังใจว่าจะได้เจอดรัลรัตน์ที่นั่น แต่พอรออยู่เป็นนาน จนเด็กกลับไปเยอะแล้ว ก็ยังไม่เห็นดรัลรัตน์สักที จึงหยิบเอาภาพถ่ายของเด็กชายที่ได้รับมา ก่อนจะมองเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล เห็นว่าเป็นคนเดียวกันจึงลงไปพูดคุยด้วย พอดีกับที่ครูลออออกมาจากห้องทำงานของแกพร้อมกับณฐกร เลยได้พบกันโดยบังเอิญ หลอกถามชื่อก็พบว่าเป็นบุตรชายของเขาเอง เด็กชายไม่ช่างคุย เขาจึงเลือกถามไปทางครูลออแทน เห็นแกมองที่เขาที มองทางเด็กชายทีด้วยสายตาสนใจ แต่ก็ไม่ถามอะไรมาก พอดีดรัลรัตน์มาถึง เขาเลยโล่งใจมากขึ้น ทิ้งช่วงไว้ก่อน ยังไม่ตามไปหาที่บ้าน แค่เห็นเขายืนอยู่กับเด็กชายแบบนั้น ดรัลรัตน์ก็หน้าซีดแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ รถก็จอดขนาบข้างรถของณฐกรภายในรั้วรอบขอบชิดพอดี ลงจากรถแล้ว ก็แว่วเสียงทักราวกับสนิทสนมกันดังมาจากที ผู้ที่รู้จักคนไปเสียหมด “อ้าวคุณโปรด ทำไมมาไกลถึงที่นี่ได้ล่ะครับ” “ว่าง ๆ ไม่รู้จะไปไหน เลยขับรถเล่นมาเรื่อย” รุจิภาสตอบอย่างไว้ตัว เขาไม่ชอบสุงสิงกับพวกระดับลูกน้องที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ให้เขาเท่าไรนัก “แหม...เรื่อย ๆ จนมาถึงที่นี่เลยหรือครับ” ทีกล่าวเย้าไม่หยุด “เหมือนจงใจมามากกว่าจะมาเรื่อย ๆ เลยนะครับ” รุจิภาสเลือกจะไม่พูดตอบโต้อะไรอีก มองไปทางณฐกร ทำนองว่าให้ปรามลูกน้องหน่อย ทีเห็นสายตาอึดอัดใจของอีกฝ่ายก็ค่อยเลิกแหย่ กล่าวชวนจากนั้น “ดื่มด้วยกันนะครับ เดี๋ยวผมให้เด็กเตรียมเหล้าเคล้ากับแกล้มอร่อย ๆ ให้ ไม่นานครับ เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ” พอนายมา ทีและคนอื่น ๆ ในลานมันก็ทำท่าขมีขมันต้อนรับนาย ที่ไหนได้ ตนหวังกินดื่มด้วย วงเหล้าวงกับแกล้มถูกจัดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที บรรดาลูกน้องรอดื่มอยู่แล้วเนื่องจากเป็นกิจวัตรประจำวัน ณฐกรมองคนของตัวเองแล้วอดส่ายหน้าอย่างเอือม ๆ ไม่ได้ เรื่องกินดื่มอย่างนี้ล่ะไวนัก ตอนใช้ทำงานล่ะอืดเอื่อยไม่ได้เรื่องสักเท่าไรเลย ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงดี รุจิภาสก็ทลายกำแพงการไว้ตัวลงเกินกว่าครึ่ง รุจิภาสสาดเหล้าเข้าคอเป็นว่าเล่น จนเริ่มคุยเล่นได้คล่องปากมากขึ้น “คุณโปรดใกล้จะสละโสดหรือยังครับ ผมรอฉลองอยู่นะ” “ยัง อยากเคลียร์เรื่องอะไร ๆ ก่อน” รุจิภาสตอบคลุมเครือ ทีเสิร์ฟเหล้าอีกแก้วอย่างเอาใจ ชวนคุยไปพลาง “เรื่องอะไร ๆ นี่มันอะไรหรือครับ พอจะบอกพวกเรา พรรคพวกในวงเหล้าได้ไหม” คนถูกถามเงียบไปเป็นนานกว่าจะตอบออกมาได้ “เรื่องลูกน่ะสิ จะเรื่องอะไร” “อ้าว คุณโปรดแอบซุกลูกเอาไว้ที่ไหนครับเนี่ย ผมตกข่าวอีกแล้ว” ทีตอบโต้ด้วยน้ำเสียงผิดหวังเกินจริง ชวนคุยพร้อมเทเหล้าให้ตัวเอง ก่อนเบิกตากว้าง คล้ายเพิ่งนึกอะไรได้ “ใช่คนนั้นไหมก็ไม่รู้นะครับ” ณฐกรที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเก้าอี้เดี่ยวนอกวงเหล้า มองที ลูกน้องตัวดีที่ถูกย้ายจากกรุงเทพฯ ให้มาอยู่โยงเฝ้าที่นี่ได้สามสี่ปีแล้ว ทีใกล้ชิดกับเขามาก่อน จึงพอจะรู้จักรุจิภาสอยู่บ้าง บวกกับมีนิสัยสอดรู้ไปทั่ว เลยระแคะระคายเรื่องซุบซิบ รู้ตื้นลึกหนาบางมาบ้าง มองนิ่ง ๆ รอฟังว่าจะคุยกันไปได้ถึงไหน “ใช่ไหมครับคุณโปรด ใช่คนนั้นไหม” รุจิภาสดื่มไปมาก ถามด้วยเสียงอ้อแอ้เต็มที “ใครคนไหน ที นายถามอะไรของนายเนี่ย งงไปหมดแล้ว” ทีทำเป็นเกาหัวแล้วว่า “ก็ใช่ผู้หญิงคนที่คุณโปรดทำท่าจะเป็นจะตายตอนเลิกกันเมื่อสี่ซ้าห้าปีก่อนนู้นหรือเปล่าครับ สาวเจ้าเขาเลยหอบลูกหนีคุณโปรดใช่ไหมครับ ระบายมาเถอะครับ พวกเราพร้อมรับฟัง” ณฐกรมองลูกน้องตัวดี ส่ายหน้าให้กับคำปลอบปนคำถามที่ดูคล้ายจะมืออาชีพอยู่ไม่น้อย รุจิภาสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วพยักหน้างึกงักว่าใช่ พร้อมเอ่ยชื่อออกมา “ชื่อดรัลรัตน์” “ชื่อเหมือนอาเจ้ที่บ้านนู้นเลยครับ คนนั้นก็ชื่ออะไรรัล ๆ นี่แหละครับ อย่าบอกนะครับว่าคนเดียวกัน ถ้าใช่นี่อย่างฮาเลยนะ” ทีถามแหย่ด้วยความคะนอง ณฐกรหมุนแก้วในมือไปมา ตายังมองรุจิภาสนิ่งอย่างต้องการจับอาการของอีกฝ่าย เห็นผงกหัวงึกงักไปมา แต่ไม่มีเสียงตอบว่าอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว แล้วก็อดนึกเชื่อมต่อไปยังสองแม่ลูกที่เจอในโรงเรียนของครูลออไม่ได้ เพราะถ้าจุดไต้ตำตอ เป็นคนเดียวกันจริง ก็น่าหนักใจแทนรุจิภาสไม่น้อย ผู้หญิงคนนั้นดูแข็ง ไม่ใช่พวกหัวอ่อน ยอมคนง่ายเลยนี่นา เสียงเพลงยอดฮิตถูกเปิดผ่านลำโพงรถของลูกน้องคนหนึ่ง พร้อมร้องเฮ ๆ ตามเพลงที่ดังลั่นนั่น จนมันลอยตามลมไปยังบ้านเดี่ยวหลังเล็กบนพื้นที่ติดกันในที่สุด ลาวัลย์เก็บล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว ยืนเท้าสะเอวมองไปยังทิศทางของเสียง บ่นอย่างเคือง ๆ ให้ว่า “มันกินเหล้ากันอีกแล้วมั้ง โรงไม้โรงมันนั่นน่ะ” “กินกันได้ทุกวันแบบนี้ ไม่ตับแข็งก็ให้รู้ไป” ดรัลรัตน์บอกเสียงเนือย พาเจ้าสิปเข้านอน พร้อมกับเอนตัวลงบนที่นอนหลังจากนั้น รุจิภาสจะเดินหน้าอย่างไร เธออดกังวลไม่ได้เลย กว่าจะข่มตาหลับก็เป็นนาน สุดท้ายร่างกายก็ทนความอ่อนเพลียไม่ไหว ปิดสวิตช์ตัวลงในค่อนคืนแล้วนั่นเอง เช้าวันรุ่งขึ้น เธอพาเด็กชายสิปปภาสไปส่งที่โรงเรียนแล้วก็ค่อยกลับเข้าบ้านมากินข้าวเช้าพร้อมมารดา พออิ่มก็ว่าจะออกไปดูคนงานที่ไร่เสียหน่อย ดรัลรัตน์พามารดานั่งลงกินข้าว ตักอาหารให้ ชวนกันคุยสลับดูข่าว ชี้ให้ดูช่วงจังหวะของข่าวที่น่าจะเอามาเตือนท่านได้บ้าง “แม่ดูข่าวนั่น อาม่าแกหลง ๆ ลืม ๆ เดินออกจากบ้านปุ๊บก็หายไปเลย ลูกเต้าตามหาไม่เจอ เห็นไหม สุดท้ายถูกพวกคนไม่ดีพาไปนั่งขอทานข้างทาง” นางรังรองเคี้ยวข้าวไป ค้อนบุตรสาวไปพลาง “ไม่ต้องมาขู่แม่หรอก แม่ไม่กลัว” “จ้า รัลมีแม่เก่ง” ดรัลรัตน์มองค้อนใส่มารดาบ้าง “รัลแค่ขออย่างเดียว ขอแค่ว่าแม่อย่าเดินไปไหนให้ทั่วจนหลงเข้าไปในที่คนอื่นเขาก็พอ รัลขอแค่นี้เอง แม่ทำได้ไหม” คนเป็นแม่โบกมือบอกด้วยอาการรำคาญ “รู้แล้วน่า” จนเกือบจะอิ่มอยู่แล้ว ค่อยแว่วเสียงรถที่นอกบ้าน ไม่ถึงนาทีเห็นคณิสราเดินไว ๆ เข้ามาบอก “ใครมาก็ไม่รู้จ้ะพี่รัล” ดรัลรัตน์นั่งเฝ้าจนมารดากินข้าวอิ่ม ค่อยหางานให้ท่านนั่งทำ หันไปกำชับกับคณิสราว่านั่งเฝ้าให้ดี อย่าปล่อยท่านเดินเพ่นพ่านออกไปข้างนอก ค่อยพาตัวเองเดินออกไปดูที่นอกบ้าน ว่าใช่คนที่คิดไว้หรือไม่ รุจิภาสยืนมองรอบบ้านของเธอราวกับสนใจต้นไม้ใบหญ้าพวกนั้นนักหนา ก่อนจะหันมามองที่เธอ คงเพราะได้ยินเสียงเดินนั่นเอง ยืนมองกันนิ่งครู่หนึ่งแล้ว เขาเปิดปากพูดขึ้นก่อน “เราควรต้องคุยกันนะรัล” “ก็พูดมาสิ ฉันฟังอยู่” ตอบเขาด้วยท่าทีเฉยเมย รุจิภาสมองท่าทีของเธอแล้ว ถอนลมหายใจเบา ๆ บอกเสียงอ่อน “ผมอยากพบลูก” เขาหยุดไปอึดใจ ยังคงสบตากับเธอ แล้วบอกอีกประโยค “ผมอยากทำหน้าที่ของพ่อบ้าง” ดรัลรัตน์ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มหยันใส่ทันที ตั้งแต่เจ้าสิปอยู่ในท้อง จนคลอดออกมา จนโตถึงวันนี้แล้ว เขาเพิ่งอยากพบลูก เพิ่งจะอยากทำหน้าที่ของพ่ออย่างนั้นหรือ บอกเสียงเรียบไร้อารมณ์ตอบกลับเขาไปว่า “สิปไปโรงเรียนแล้ว” “ผมรอที่นี่ก็ได้” แววตาของเขาเว้าวอนอย่างที่เคยใช้ได้ผลทุกครั้ง ช่วงที่ระหว่างเธอกับเขายังมีคำว่า ‘เรา’ อยู่ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดรัลรัตน์เงียบ ไม่ตอบอะไรเขาแม้แต่คำเดียว ไม่ตัดพ้อ ไม่ต่อปากต่อคำด้วยอีกแล้ว รุจิภาสเห็นเช่นนั้นก็ใจแป้ว วอนต่อ “แล้วตอนเย็น รัลไปรับลูกกี่โมง ผมไปด้วยนะ” “คุณกลับไปเถอะ” ดรัลรัตน์เลือกที่จะบอกปัดเขา แต่ก็ใช้ไม่ได้ผลเท่าไรนัก เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ไปไหนอย่างที่เธอออกปากไล่ เขายังใช้สายตาสำรวจเธออย่างเปิดเผยอีกด้วย พร้อมออกปากทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนเธอหายใจได้ไม่ทั่วท้องเท่าไรนัก “ไม่ค่อยได้กินข้าวหรือยังไง ทำไมดูผอมจัง รัลผอมลงมากเลย ผอมกว่าเมื่อก่อน...” รุจิภาสหยุดคำพูดของเขาเอาไว้เท่านั้น เพราะสายตาเอาเรื่องของดรัลรัตน์ที่ตวัดมองมา ราวกับจะสั่งว่าให้เขาหยุดพร่ำเพ้อเสียที ห้าปีก่อน ดรัลรัตน์มีน้ำมีนวลกว่านี้มากนัก อีกทั้งแววตายังดูสดใส ต่างจากตอนนี้ราวคนละคน “ว่างมากหรือไง ถึงได้มานั่งสำรวจรูปร่างคนอื่น” รุจิภาสนิ่งไป แล้วถามกลับแทนคำตอบ “ผมไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นกับรัลแล้วหรือ” ดรัลรัตน์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตอบกลับว่า “ไม่เคยมี” แล้วผละจากไป ตั้งท่าจะขึ้นรถเพื่อเข้าไร่ แต่ถูกเขารั้งแขนไว้เสียก่อน “รัล” เธอเกร็งแขนแน่น กระชากแขนออกจากเขา บอกเสียงแข็ง “ตอนที่เจ้าสิปคลอด คุณที่เป็นพ่อของแกแท้ ๆ ไม่เคยมาดูมาแลแกเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น เพิ่งมาคิดได้หรือ ว่าอยากทำหน้าที่ของพ่อ เลยส่งหมายศาลฟ้องจะเอาเจ้าสิปไปเลี้ยง พอฉันไม่ยอม ก็ตามตื๊อถึงบ้าน” “ผม...” รุจิภาสหลุบตาลง บอกเสียงอ่อนใจ “ผมขอโทษ รัลให้โอกาสผมแก้ตัวหน่อยไม่ได้หรือไง ส่วนเรื่องฟ้องร้อง ผมว่าเราคุยกันได้นี่” “กลับไปเถอะ ฉันยังไม่พร้อมจะให้คุณเจอกับเจ้าสิปตอนนี้” ออกปากไล่เขาอีกที หมุนตัวอย่างไม่รู้จะไปทางไหน เลยหันกลับจะเข้าบ้าน รุจิภาสตามมาดึงแขนของเธออีกครั้ง “รัล รัลควรบอกความจริงกับลูกนะ” ได้ยินแบบนั้น อารมณ์ของเธอก็ฉุนเฉียวขึ้น สบตาเขาอย่างที่โกรธเดือดดาลถึงที่สุด เธอรู้ว่าเขากำลังหมายความถึงเรื่องอะไร ที่อยากให้เธอพูดความจริงที่ว่านั่น พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง นับหนึ่งถึงห้าในใจ กระชากแขนออกจากมือของเขา เค้นเสียงไล่อย่างไร้เยื่อใยว่า “ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” แล้วหมุนตัวเข้าบ้าน เสียงของรุจิภาสถามตามหลังเธอมา “รัลยังรักผมอยู่ ไม่อย่างนั้นจะเก็บเด็กคนนั้นไว้ทำไม” ดรัลรัตน์ชะงักกึก ตวาดไล่ ให้รู้ว่าเธอโมโหมากแค่ไหนแล้วกับการกระทำของเขา “ออกไป!” ตะโกนจบ เดินเข้าบ้านไปทันที รุจิภาสมองตามหลังแล้วก็นึกอยากตามเข้าบ้านไป แต่แล้วก็นั่งลงรอคอยที่นี่คงจะดีกว่า ดรัลรัตน์เข้าบ้านมาได้ก็เดินพล่าน เธอไม่อยากหันไปมองด้วยซ้ำว่ารุจิภาสจะกลับไปอย่างที่ถูกไล่หรือไม่ การมาของเขาทำให้เธอไร้ซึ่งสติ สมาธิ เข้าขั้นฟุ้งซ่าน ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ แล้วตอนนั้นเองเสียงของมารดาก็ดังแว่วขึ้นว่า “แกจะให้พ่อลูกเขาตัดขาดจากกันไม่ได้นะรัล แกไม่มีสิทธิ์” เลยหันไปทำตาเขียว เรียกท่านด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยนิ่งเท่าไรนัก “แม่” ลาวัลย์อยู่ตรงนั้นด้วย เข้ามาช่วยเสริม “ก็ให้พ่อลูกเขาได้เจอกันจะเป็นไรไป รัลจะไปขวางพ่อลูกเขาทำไมล่ะ” เธอไม่อยากพูด ไม่อยากจะคิด ไม่อยากตัดสินใจเรื่องนี้อีกแล้ว เดินไปคว้ากุญแจรถ ออกจากบ้าน เห็นรุจิภาสนั่งที่ตรงนั้น ก็เดินผ่านหน้าเขาไป ขึ้นรถได้ ขับตรงสู่ไร่ในทันที เขาอยากรอที่นี่ก็จงรอไป เธอเข้าไร่ไปทำงาน ถึงเวลาสิปปภาสเลิกเรียน ก็จะตรงไปรับเจ้าสิปเลย รุจิภาสใช้เวลาที่มีวนเวียนอยู่ภายในพื้นที่บ้านวันนั้นทั้งวัน โดยมีคณิสราเอาน้ำ เอาผลไม้ออกมาวางต้อนรับอย่างดี เด็กสาวลอบมองรุจิภาสแล้วก็ยิ้มเอียงอาย ตนมาอยู่ที่บ้านนี้กับมารดาตอนที่สิปปภาสอายุเข้าสามเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นพ่อของเด็กชายมาก่อน รู้เพียงแค่ว่าดรัลรัตน์เลิกรากับแฟน แล้วหอบเอาเด็กชายมาเลี้ยงที่บ้าน กลับจากเอาของไปบริการให้รุจิภาสแล้ว เข้าบ้านได้ รีบไปกระซิบกับลาวัลย์ ผู้เป็นมารดาทันที “แม่ ๆ พ่อน้องสิปหล่อมากเลย” ลาวัลย์เห็นบุตรสาวแสดงอาการดี๊ด๊าออกนอกหน้าเกินเหตุ ก็บ่นว่าให้ “หน็อยเด็กคนนี้นี่ อย่าได้เที่ยวใจแตก หอบลูกมาให้แม่เลี้ยงแบบ...” นางรังรองวางงานที่ทำอยู่ลง หันหน้ามาถามขัด ตาแข็ง เสียงแข็งใส่คนเป็นน้อง “แบบใคร มึงพูดให้ดี ๆ นะวัลย์” “ขอโทษจ้ะพี่ ฉันไม่ได้หมายถึงใครหรอก ปากฉันก็ไวแบบนี้เอง” ลาวัลย์ยิ้มแหย ขยับลุกหนีไปอีกทางเพื่อทำงานบ้านอย่างอื่น พอเหลือตัวคนเดียวที่โถงกลางบ้าน นางรังรองก็นั่งเหม่อมองออกไปที่ด้านนอก จ้องนิ่งที่ร่างของชายหนุ่มที่นั่งรอคอย จมกับความคิดในหัวของตัวเองเงียบ ๆ      
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD