โพนีแยกจากดรัลรัตน์แล้ว เดินตรงขึ้นไปที่ห้องประชุมเพื่อคุยงานที่ได้รับว่าจ้างมาหลังจากนั้น
หนึ่งในผู้บริหารของเครือแห่งนี้ สนใจเปิดโรงแรมในจังหวัดที่เรียกว่าเมืองรอง แล้วก็อยากให้ตนกับทีมงานช่วยดูแลเรื่องโฆษณา
โพนีอยู่ในวงการสื่อมานาน สบโอกาสที่ผู้ใหญ่ส่งงานให้ จึงได้เข้ามาเสนองานในวันนี้ ถึงเวลานัดหมายก็พบว่าทางเจ้าของตัวจริงไม่เข้ามาร่วมฟัง
“อ้าว คุณเจ้าของไม่เข้าฟังด้วยหรือครับ”
โพนีถามด้วยแววตาเสียดายเล็กน้อย นึกว่าจะได้พบตัวจริงของเจ้าของคนที่ว่านี้สักครั้งแต่ก็ชวดจนได้ คนรับหน้าที่เข้าฟังแทนบอกด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“ไม่สะดวกเข้าฟังครับ ให้ผมจัดการแทนได้เลย”
โพนีปั้นหน้ายิ้มอย่างมืออาชีพ บอกอย่างไม่ต้องการให้เสียเวลามากไปกว่านี้ “อย่างนั้นเราเริ่มกันเลยนะครับ”
เมื่อพร้อม ทางตัวแทนจึงเอ่ยขึ้น “คือทางเราอยากได้นางแบบผิวโทนน้ำผึ้งหน่อย ๆ ตัวเล็ก หน้าตาไม่เน้นสวยมาก เพราะเราเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง”
“โพทราบครับ เน้นลูกค้าคนไทยเนอะ โพว่าเน้นเป็นรูปแบบครอบครัวไปเลย มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณพี่ คุณน้า คุณอา กับกลุ่มเด็ก ๆ วิ่งเล่นตรงโซนหาดด้านหน้ารวมถึงห้องพักด้วย แบบนั้นดีไหมครับ”
“ก็ดีนะ ผมจะนำเรียนท่านให้ทราบอีกที”
“อย่างนั้นก็ดีครับ โพจะรีบจัดการให้เรียบร้อย ขอเวลาสองอาทิตย์แล้วจะนำนางแบบมาให้คัดเลือก เลือกได้แล้ว จะทำตัวอย่างโฆษณามาให้พิจารณาอีกครั้งครับ”
ผ่านไปได้ด้วยดีตามคาด จบประชุมแล้ว โพนียิ้มหวาน ล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นต่อสายทันที รอไม่นานปลายสายก็กดเชื่อมต่อสัญญาณกับตน
“พี่โพมีงาน มีเงินมาให้หนูแล้ว”
ถอนใจเบา ๆ รู้ว่าโพนีทำงานอะไรแบบไหนบ้าง นอกจากจะทำเสื้อผ้างานป้ายงานก๊อปแล้ว โพนียังจัดหานายแบบนางแบบให้บริษัทโฆษณา แล้วก็ยังดูแลนักแสดงอีกด้วย ถามเนือย ๆ กลับไปว่า
“งานอะไรหรือพี่โพ”
“ถ่ายแบบภาพนิ่ง”
ได้ยินแล้ว เงียบไปอึดใจ กว่าจะตอบกลับได้ “ถ่ายแบบหวิว ๆ ไม่เอานะพี่โพ รัลไม่ใช่คนหุ่นดีอะไร หาเด็ก ๆ ทำเถอะ” ทิ้งช่วงอึดใจ แล้วถาม “เขาจ้างเท่าไรหรือพี่โพ”
“แหม...ยัยรัล ระดับพี่แล้วไม่จ้างถูก ๆ หรอก เงินดีแน่นอนคอนเฟิร์ม เป็นงานถ่ายเซตครอบครัวสุขสันต์จ้ะ แต่ต้องไปที่โรงแรมของลูกค้านะ ก่อนรับงาน รัลเข้ามาถ่ายกับพี่ที่สตูก่อนได้ไหม พี่จะได้เอาไปเสนอให้ทางนั้นดู”
“เท่าไรคะ” ดรัลรัตน์ถามเรื่องเงินอีกที โพนีมองบนอย่างเอือม ๆ ดรัลรัตน์นี่คงเส้นคงวาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จริง ๆ บอกค่าจ้างไปแล้ว ก็ทำนิ่งไป เพราะเงินนั่นได้ใกล้เคียงกับค่าขุดมันรอบก่อนเลยนะ จึงตัดสินใจได้ในตอนนั้นเองว่าจะทำหรือไม่ ถามโพนีไปว่า
“เมื่อไรหรือพี่โพ”
“เดี๋ยวพี่โทรบอกอีกที สรุปว่ารับไหม”
เมื่อก่อนดรัลรัตน์ก็เคยเป็นนางแบบเสื้อผ้าแฟชั่นให้โพนี ได้เงินไม่ได้มากมายอะไร แต่ได้อยู่ตลอด ส่วนงานพวกนี้เธอยังไม่เคยรับทำ แล้วหากว่าโพนีรับประกันแบบนี้ ก็คงไม่น่ามีอะไรให้ต้องห่วง จึงตัดสินใจทำโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะ
แสร้งส่งเสียงอ่อนตอบไปว่า “ทำงานแล้วได้เงิน รัลทำหมดนั่นแหละพี่โพ”
“ดีมาก สู้งานไม่ยากจน เชื่อพี่ แค่นี้นะ”
“ขอบคุณนะคะพี่โพ” ดรัลรัตน์วางสายจากโพนีแล้ว ก็ค่อยแว่วเสียงดังเข้ามาถึงในรถนี่เลย
“แม่รัลมาแล้ว เย่ ๆ แม่รัลมาแล้ว”
เธอเพิ่งขับรถมาถึงบ้าน โพนีก็โทรเข้ามาเลย จึงนั่งคุยสายที่ด้านในรถ
แล้วนึกถึงธุระที่ทำให้ต้องห่างจากพ่อตัวกลมไปเกือบครึ่งวัน ดรัลรัตน์คว้าถุงข้าวของที่ซื้อมาด้วย เปิดรถออกไป คว้ามือเด็กชายสิปปภาสจูงกันเข้าบ้าน วางถุงของลงบนโต๊ะแล้ว พบว่าญาติผู้น้องกำลังเก็บกวาดบ้านอยู่พอดี ไม่เจอมารดา เลยถามหาแก
“ป้ารองไปไหนแล้วแก้ม”
“หลับอยู่ในห้องจ้ะ”
ย้ำเพื่อความมั่นใจอีกที “อยู่แน่นะ”
“แน่จ้ะ แก้มเพิ่งออกมานี่เอง”
“ดูแกให้ดี ๆ ด้วยล่ะ อย่าให้เดินออกไปไหนอีก เอ้า นี่ขนม พี่ซื้อมาฝาก” ส่งถุงที่แวะซื้อจากร้านข้างตึกทำงานของรุจิภาสให้กับญาติผู้น้อง แล้วค่อยหอบเด็กชายที่ตัวอ้วนใหญ่ขึ้นทุกวันขึ้นนั่งตัก หอมแก้มอย่างแสนคิดถึง บอกเสียงอ่อนโยนว่า “อันนี้ของสิปครับ”
เด็กชายสิปปภาสรับถุงของที่เธอหอบมาให้แนบอก แหงนหน้ามองเธอ แล้วถาม “แม่ไปไหนมา”
นึกถึงสถานที่และคนที่เพิ่งไปพบ ดรัลรัตน์ก็รีบปัดภาพของเขาทิ้งไปให้ไว “แม่ไปธุระมาครับ” บอกจบ ก้มลงหอมแก้มอีกที
สิปปภาสมองสบตาเธออึดใจ แล้วหน้าหงอย ๆ บอกเธอว่า “ยายบอกว่าแม่ขับรถไปหาพ่อของสิปมา”
ได้ยินแบบนั้นก็อารมณ์เดือดปุด ๆ ขึ้นในทันที ผ่อนลมหายใจเบา ๆ ถามกลับพร้อมกับระงับอารมณ์ของตนเอง “ยายบอกสิปแบบนั้นหรือ”
“ครับ”
เรื่องที่เธอไปพบรุจิภาสมีแค่ลาวัลย์เท่านั้นที่รู้ นี่คงเอาไปพูดกับแม่ของเธอ ไม่อย่างนั้นท่านไม่มีทางรู้เป็นแน่ แต่ประเด็นคือแม่เอามาพูดกับเจ้าสิปด้วยนี่สิ เลยทำให้เธอฉุนขาดอยู่ในตอนนี้
เธอต้องคอยย้ำกับแม่อยู่เรื่อยว่าไม่ให้พูดถึงบิดาของสิปปภาส แต่ยิ่งย้ำ มารดาของเธอก็ยิ่งทำตรงกันข้าม
แม้จะส่งเงินเลี้ยงดู
แต่การกระทำในอดีตของเขาก็ยังฝังอยู่ในความนึกคิดของเธอเสมอมา เขาทำถึงขนาดให้ไปเอาเจ้าสิปออก ควรเป็นพ่อคนได้อีกอย่างนั้นหรือ
มีโอกาสจะต้องบอกมารดาอีกหนหรืออาจหลาย ๆ หนเลยด้วย ว่าอย่าพูดถึงเขาให้เจ้าสิปได้ยินอีก เธอไม่อยากให้รุจิภาสเข้ามาข้องเกี่ยวในชีวิตของเด็กชาย ไม่ว่าทางใดก็ตาม เขามันคนน่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมาเลย
ณฐกรเปิดเครื่องไม่ถึงนาที สายเรียกเข้าก็แผดเสียงดังระรัวขึ้น ชายหนุ่มเบือนหน้าไปมอง ก่อนผุดรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยขณะกดรับสาย “มีอะไรมาฟ้องอีกรอบนี้”
“พี่โปรดกอดกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ในห้องทำงานค่ะ”
ณฐกรทวนถามกลับไปว่า “โทรหาพี่ เพื่อพูดเรื่องโปรด”
“ก็มีแต่พี่ใหญ่นี่คะ ที่ไปเคลียร์กับพี่โปรดได้น่ะ”
“ไปจัดการเอาเองเถอะ พี่ไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่น” บอกจบเลื่อนมือจะกดวางสาย แต่หญิงสาวที่เพียรติดต่อมาก็หาได้ยอมไม่ กรีดร้องผ่านสัญญาณโทรศัพท์จนเสียงลอดลำโพงออกมาเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่ อย่าตัดสายเจ้าขานะคะ ไม่อย่างนั้นเจ้าขาจะงอนพี่ใหญ่ ไม่เชื่อใช่ไหม งอนจริง ๆ นะ ไม่ได้ขู่”
“พี่ต้องกลัว?”
“พี่ใหญ่...” สิริรัศมิ์ครวญก่อนจะใช้มุกร้องไห้แทนการกรีดร้อง ที่ใช้ซ้ำมาหลายหนแล้ว “ฮือ...พี่ใหญ่ขา พี่ใหญ่ไม่ช่วยน้องคนนี้ แล้วใครจะช่วยกันล่ะคะ”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเล่น ‘พี่ใหญ่’ ยิ้มบาง ๆ ก่อนปลอบไปตามสาย “โปรดก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ชินอีกหรือไง หืม...”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนคนอื่นนี่คะ”
“ไม่เหมือนยังไง ผู้หญิงคนนั้นมีไอ้นั่นอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ค่ะ” ปลายสายแว้ดกลับมา แล้วบ่นว่า “อย่ามาทำหลบเลี่ยงเถียงแทนพี่โปรดได้ไหมคะ เจ้าขาจะงอนจริง ๆ แล้วนะ”
ณฐกรยิ้ม ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “เอ้า พูดมา”
“เจ้าขารู้สึกเหมือนกับว่าพี่โปรดรักแม่นั่น สายตาเขาดูอาลัยอาวรณ์กันมากเลย แล้วนี่นะคะ พี่โปรดยังสะบัดมือเจ้าขาออก ทำท่าจะวิ่งตามแม่นั่นไปด้วย”
คนฟังอ้าปากจะท้วง แต่แล้วหญิงสาวกลับพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ยังไม่จบนะคะ อย่าเพิ่งเข้าข้างกัน” สิริรัศมิ์แย้งอย่างมีโมโห “เจ้าขาน่ะเลือดสีเดียวกันกับพี่ใหญ่นะ ต้องเข้าข้างเจ้าขาสิ ไม่ใช่ไปเข้าข้างพี่โปรด”
หญิงสาวหยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น ยื่นไม้ทวงความเป็นญาติพี่น้องกับณฐกร หวังว่าเขาจะเข้าข้างตนมากกว่าไปเข้าพวกกับรุจิภาส
ตนกับณฐกรเป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกัน แต่ณฐกรกับรุจิภาสนั่นซับซ้อนกว่า นับสถานะเป็นพี่น้องก็คงได้ แต่บิดาของรุจิภาสไม่ใช่บิดาแท้ ๆ ของณฐกร เป็นเพียงพ่อเลี้ยงเท่านั้น ที่หวังเกาะคุณปานชนก เศรษฐินีสามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เลยมีสถานะเป็นพ่อเลี้ยงของณฐกรไปโดยปริยาย
แต่ดูเหมือนณฐกรจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับใครทั้งนั้น เขาลอยตัวอยู่เหนือทุกคน และแม้ว่าจะเกิดจากคนละพ่อคนละแม่กัน แต่รุจิภาสกับณฐกรก็ดูจะเข้าขากันได้เป็นอย่างดี
“ยังมีต่ออีกหรือ” เสียงทุ้มกล่าวเย้าคล้ายยั่วแหย่ญาติผู้น้องนิด ๆ
“มีค่ะ ประเด็นหลังนี่แหละที่เจ้าขาคิดแล้วไม่สบายใจ” เจ้าตัวหยุดเล่าเดี๋ยวเดียวก็ว่าต่อ “เจ้าขาทันได้ยินแม่นั่นทวงเงินพี่โปรดด้วย คงซื้อกินกันมานานจนผูกพันกันไปแล้วแน่ ๆ เลยค่ะ เจ้าขาจะทำยังไงดีคะ พี่ใหญ่ช่วยเจ้าขาหน่อย”
“ขนาดนั้นเลยหรือ” ณฐกรถามทวนด้วยน้ำเสียงเกือบจะไม่เชื่อ ปลายสายยืนยันอย่างมั่นใจในความรู้สึกของตนเองว่า
“ขนาดนั้นเลยน่ะสิคะ ไม่อย่างนั้นเจ้าขาจะโทรหาพี่ใหญ่ทำไม” เงียบกันไปเป็นนาที หญิงสาวก็อ้อนมาตามสายว่า “พี่ใหญ่จะกลับมาวันไหนหรือคะ”
“อีกสักพัก”
“เอาไว้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ช่วยคุยกับพี่โปรดเรื่องผู้หญิงคนนั้นทีนะคะ”
เสียงขรึมของณฐกรแนะกลับ “รอดูอยู่นิ่ง ๆ ในที่ของเราไม่ดีกว่าหรือ”
“พี่ใหญ่น่ะ...” สิริรัศมิ์ครวญเสียงโหย “เจ้าขากับพี่โปรดกำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะคะ”
“เชื่อพี่” ชายหนุ่มย้ำมาตามสาย อธิบายให้ญาติผู้น้องทำตัวสงบมากกว่านี้ “ยิ่งเราตื๊อแบบนั้น ยิ่งทำให้โปรดเบื่อ เดี๋ยวงานแต่งได้ล่...” ยังพูดไม่จบว่างานจะล่ม สิริรัศมิ์ร้องปรามแทรกเขาว่า
“หยุดค่ะ พี่ใหญ่ห้ามพูดว่างานแต่งของเจ้าขาจะล่มนะคะ”
ณฐกรส่งเสียงอือ ไม่คุยอะไรอีก แล้วตัดสายจากกันในนาทีต่อมา เขาเองก็ไม่ชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใครอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของรุจิภาส เขาไม่คิดเข้าไปยุ่มย่ามด้วยเลย
ลดความสนใจจากเรื่องเหล่านั้น แล้วเดินออกไปที่ด้านนอก ขับรถตรงไปยังพื้นที่ที่มีคนเสนอขายให้เขาในเวลาต่อมา