ดรัลรัตน์พาป้าเขียว รถกระบะคู่กายสภาพค่อนไปทางเก่าเข้ากรุง เพื่อเข้าพบกับบิดาของเด็กชายสิปปภาส ตามที่ได้หมายศาลมา
ผู้ชายมักมาก มักมากไม่พอ ยังเห็นแก่ตัวและหน้าด้านอีกด้วย
เธอเคยหลงรักคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน
นึกถึงช่วงที่เด็กชายสิปปภาสยังไม่ทันได้ลืมตาออกมาดูโลก ไม่ใช่เขาหรือ ที่บอกให้ไปเอาออก
นึกถึงช่วงที่เด็กชายสิปปภาสคลอดออกมา ไม่ใช่มีเพียงแต่เธอหรือไร ที่เลี้ยงดูอยู่คนเดียว ไม่มีแม้แต่เงาของคนเป็นพ่อจะมาเหลียวแล แล้วตอนนี้เกิดบ้าอะไร ถึงอยากได้เจ้าสิปไปเลี้ยง เกิดอยากทวงความเป็นพ่อเสียอย่างนั้น
ดรัลรัตน์สูดลมหายใจเข้าเบา ๆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอต้องบากหน้ามาพบบิดาของเด็กชายสิปปภาสที่บริษัทใหญ่ระดับประเทศ
ครั้งแรกที่มา ทำเอาเธอหน้าชา หันหลังกลับแทบไม่ทัน เพราะเขาไม่ลงมาเจรจาด้วยตัวเอง ส่งตัวแทนมาถามว่าต้องการคุยเรื่องอะไร พอเธอทวงค่าเลี้ยงดู ทางนั้นก็ว่าจะจัดการให้ในภายหลัง แม้จะจัดการส่งเสียตามที่ออกปากทวง แต่ก็ให้ไม่ตรงตามที่ขอ ด้วยข้ออ้างสารพัด แต่ก็ถูกเธอตอกกลับทุกที กว่าจะตอดเอามาได้จนครบ เล่นเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน
เมื่อได้เงินพวกนั้นมาครบตามจำนวนแล้ว เธอจะเก็บใส่ในบัญชีของเด็กชายสิปปภาสทุกบาททุกสตางค์ ไม่เคยเบิกออกมาใช้แม้แต่บาทเดียว เพราะหาเงินใช้จ่ายเองได้ แม้จะลำบากบ้างก็ตามที
ได้ที่จอดรถแล้ว ค่อยหาทางเดินเข้าตึก แจ้งพนักงานด้านล่างว่ามาขอเข้าพบรุจิภาส เลยได้รู้ในตอนนั้น ว่าเขาเลื่อนขั้น ไปอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใหญ่โตกว่าเมื่อก่อนเสียอีก คงสมความตั้งใจของเขาแล้ว
ดรัลรัตน์นั่งรอที่ด้านล่างร่วมครึ่งชั่วโมง กว่าที่พนักงานจะเรียกให้เธอขึ้นไปรอรุจิภาสที่ชั้นทำงานของเขาได้ ไปถึงบนชั้นที่ว่านั่นแล้ว ใช่ว่าจะให้เธอเข้าพบได้เลย พนักงานหญิงที่นั่งหน้าลิฟต์ส่งสายตาบอกให้นั่งรอก่อน
ทนนั่งได้อีกแค่สิบห้านาที ก็ตัดสินใจลุกไปถาม
“ต้องรออีกนานไหมคะ”
จบคำถามของเธอพอดี ถึงได้เห็นว่าประตูห้องทำงานห้องหนึ่งถูกเปิดออกมา พร้อมด้วยร่างสูงใหญ่ของรุจิภาสปรากฏกายที่หลังประตูบานนั้น
“เข้ามาได้เลย” เสียงทุ้มนุ่มแฝงด้วยท่วงท่าวางอำนาจดังขึ้น
ดรัลรัตน์สะดุ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะโผล่พรวดออกมาแบบนี้ เลยทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน กลืนก้อนน้ำลายที่จู่ ๆ ก็เหนียวหนืดลงคอไป บอกตัวเองว่าอย่าสั่น ที่ต้องมาพบเขา ไม่ใช่มาเพื่อคุยเรื่องราวระหว่างกัน เธอมาเพื่อเจรจาเรื่องของเด็กชายสิปปภาส ให้เขาถอนฟ้องไปเสีย อย่าทำให้เรื่องมันต้องยุ่งยากมากไปกว่านี้จะดีกว่า
อ้อ เรื่องเงินค่าเลี้ยงดูด้วย เขาไม่ควรทำเฉย ทำเป็นลืม อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้
ตอนก้าวขาออกเดิน ก็ให้เสียหลักเล็กน้อย ดรัลรัตน์รีบกลับมายืนทรงตัวให้ตรงอีกครั้ง เดินไปที่เขา บังคับร่างกายไม่ให้สั่นขณะถูกรุจิภาสจ้องมอง
ผ่านหน้าเขา เข้าห้องทำงานที่อีกฝ่ายส่งสัญญาณเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน พอเข้าไปแล้ว เสียงกล่าวสั้น ๆ ราวกับกำลังออกคำสั่งดังมาจากปากของรุจิภาส “นั่งก่อนสิ”
แหงล่ะ เรื่องแบบนี้ คงต้องคุยกันนานหน่อย
เธอไม่ยืนเจรจาให้เมื่อยหรอก ดรัลรัตน์คิดอย่างขวาง ๆ เลือกนั่งที่เก้าอี้ตัวเดี่ยวหน้าโต๊ะทำงานของเขา แทนโซฟาชุดใหญ่ในห้อง ที่เขาผายมือเชิญ ทุกอย่างในนี้ดูหรูหราขัดกับสภาพของเธอในตอนนี้ราวฟ้ากับดิน
มองสบตาเขาแล้ว ก็พบกับแววตาที่ยิ่งทำให้สมาธิของตัวเองไขว้เขว จึงเลื่อนลงมองที่ครึ่งปากครึ่งจมูกของเขาแทน มือก็ล้วงเอาปึกกระดาษออกมาวางบนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เข้าประเด็นให้เร็วที่สุด “หมายศาลนี่ มันคืออะไร”
รุจิภาสมองหญิงสาวคนเดียวในหัวใจด้วยสายตาโหยหา ความคิดถึงยังคงวนเวียนก่อกวนเขามาตลอดห้าปี ก่อนจะหลุบตาลงซ่อนรอยอาลัยอาวรณ์ มองที่ปึกกระดาษเจ้ากรรม แล้วก็นิ่งไป
เขาเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า ว่าทนายความที่ทำงานให้เขา รับคำสั่งจากมารดา ยื่นเรื่องฟ้อง ขอให้เขาเป็นผู้ปกครองบุตรชายแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ถามเขาก่อน หมายศาลไปถึงบ้านของดรัลรัตน์แล้วนี่เอง เจ้าตัวถึงได้ร้อนรนถ่อสังขารมาหาเขาถึงที่นี่ได้
หากไม่ใช่เรื่องของสิปปภาส เขาคงไม่มีโอกาสได้เจอหน้าดรัลรัตน์เลยสินะ จะว่าไป มารดาของเขาทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เร่งให้ดรัลรัตน์มาหาเขาเอง แล้วเลยเล่นตามบท ตอบไปว่า “หมายศาลนั่น ก็หมายถึง ผมต้องการสิทธิ์ของพ่อไง ผมต้องการดูแลลูกของผม”
เธอมองตอบเขานิ่งเป็นนาที กว่าจะเค้นเสียงออกมาได้
“คุณเคยบอกให้ไปเอาเจ้าสิปออก จำได้ไหม เพราะตอนนั้นคุณไม่ยอมรับว่าเป็นลูกของตัวเอง พอแกคลอด คุณก็ไม่เคยแม้แต่จะไปเยี่ยมไปดูเจ้าสิป ไม่รับเลี้ยง เงินค่าเลี้ยงดู ฉันต้องเดินเรื่องแทบตายกว่าพวกคุณจะยอมจ่าย แล้วนี่มันอะไร จู่ ๆ ทำไมถึงเกิดอยากเอาเจ้าสิปไปเลี้ยง จู่ ๆ มาอ้างความเป็นพ่อทำไม ทั้งที่เมื่อก่อนคุณไม่คิดจะทำ”
รุจิภาสมองตอบด้วยแววตาเศร้าสลดชั่ววูบหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นว่า “ผมอยากแก้ไขเรื่องผิดพลาดพวกนั้น ได้ไหมรัล”
“พูดเอาแต่ได้ มักมาก คนเห็นแก่ตัว”
ดรัลรัตน์ตวาดกลับ มองเขาได้ไม่นานนัก เพราะสายตาเว้าวอนนั่นทำให้เธอปวดแปลบในหัวใจเหลือเกิน ภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ค่อย ๆ ผ่านเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง แล้วกัดปากตัวเองแน่น เพื่อข่มความรู้สึก ข่มกระแสผ่าวร้อนที่แล่นพล่านไปทั่วทั้งตัว
บอกตัวเองว่าให้นึกถึงคำพูดปัดความรับผิดชอบของเขาในวันนั้นสิ จะได้ไม่เผลอไผลไปกับคารมของรุจิภาสอีก
“ฉันไม่ให้สิทธิ์นั่น ถอนฟ้องซะ”
บอกเขาเสียงกร้าว พยายามระงับโทสะที่แล่นเป็นริ้ว ขยับตัวลุกยืน ทนนั่งคุยต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
“ผมคงถอนฟ้องอย่างที่รัลบอกไม่ได้”
จบคำกล่าวของรุจิภาส ใบหน้าของเธอออกแดงร้อนขึ้นในทันที ไม่ใช่เพราะว่าเธออายเขา เขินเขาหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเธอกำลังโกรธเขาต่างหาก โกรธมากแล้วด้วยในวินาทีนี้
“อยากเล่นแง่กับฉันใช่ไหม ได้เลย”
ดรัลรัตน์เค้นเสียงบอกจบ เตรียมตัวจะจากไป แต่แล้วกลับถูกมือของรุจิภาสดึงข้อศอกเอาไว้เสียก่อน รุจิภาสรั้งเธอเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แล้วรัดท่อนแขนรอบกายของเธอแน่น ก้มหน้าลงพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาอ้อนวอนอย่างที่เธอเองก็คุ้นเคยกับกิริยาเหล่านั้นเป็นอย่างดี “เรากลับไปเป็นแบบเดิมเถอะรัล ผมคิดถึงรัล ผมยังรักรัลอยู่นะ”
“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย คุณไม่มีสิทธิ์จะมาคิดถึง หรือมาบอกว่ารักฉันอีกแล้ว คุณเลือกจะจบเรื่องของเราแล้วไง ตั้งแต่ห้าปีก่อนนั่นน่ะ ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย” ดรัลรัตน์เน้นแต่ละคำตวาดใส่เขา พร้อมดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ดิ้นไม่หลุด เพราะถูกเขาโอบเอาไว้ทั้งตัว
รุจิภาสก้มหน้าลงบอกเสียงซึม ๆ
“ผมไม่เคยอยากให้มันจบเลยนะรัล”
และทันทีที่รุจิภาสลดแรงกอดรัดลง สบช่องว่างให้ดิ้นรนได้ ดรัลรัตน์กระชากแขนออก แล้วระดมมือทุบตีเขาสุดแรงเท่าที่จะมี อยากให้เขารู้ว่าเธอเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตมากขนาดไหน
รุจิภาสยอมให้เธอลงมือ จนเห็นว่าแรงทุบตีจากเธอลดลงแล้วก็ดันเธอออก ดวงตาที่ต่างก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งสองคู่สบกันนิ่งราวนาที
“ฉันมาวันนี้ ก็เพื่อจะพูดธุระของเจ้าสิป” แววตาของเธอรื้นด้วยน้ำตาเล็กน้อยขณะพูด “ส่วนเรื่องระหว่างเรา มันจบแล้ว กรุณาอย่าเอามาพูดอีก”
“ผมขอโอกาสแค่ครั้งเดียวรัล ขอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“ถ้ายังพูดแบบนี้อีก ฉันจะถือว่าคุณตัดสินใจเรื่องเจ้าสิปแล้วว่าจะฟ้องให้ได้ ฉันก็จะไม่คุยอะไรให้เสียเวลา”
ดรัลรัตน์บอกตัดบท เพราะรุจิภาสไม่ยอมเจรจากับเธอเรื่องของสิปปภาสเสียที เอาแต่พูดเรื่องในอดีตอยู่นั่น เมื่อรู้แล้วว่าคุยอย่างไรก็คงวกวนไปมาแบบนี้ ไม่ได้เรื่องแน่ เลยถอยฉาก ตัดสินใจจะกลับ แต่แล้วกลับถูกรุจิภาสดึงเข้าไปกอดแนบอกอีกครั้ง
เสียงหัวใจของเขาดังเป็นจังหวะหนักแน่น ไออุ่น กลิ่นกายผสมกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ยังคงเป็นกลิ่นเดิมอวลล้อมอยู่รอบตัวเธอ ทำดรัลรัตน์ร้อนผ่าวไปทั้งกระบอกตา และในนาทีต่อมานั่นเอง ที่ทุกอย่างจางสลายมลายหายไปจนสิ้น เมื่อประตูห้องทำงานของรุจิภาสถูกเคาะหนัก ๆ สองสามที ก่อนจะถูกเปิดออก
หญิงสาวหน้าตาสวยหวาน ยืนมองเธอที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของรุจิภาสด้วยท่าทีไม่พอใจ สายตาของหญิงคนนั้นหรี่ลงเล็กน้อย เปิดปากเรียกชื่อเล่นของรุจิภาสอย่างสนิทสนม
“พี่โปรดคะ”
รุจิภาสเห็นเข้า รีบผละออกจากเธอทันที คล้ายกับตกใจเสียงเรียกนั่น
ดรัลรัตน์เองรู้สึกฉุนกึก เมื่อเห็นท่าทางของรุจิภาสแบบนั้น เธอขยับตัวออกห่างจากเขาเช่นกัน รีบดึงความรู้สึกนึกคิดกลับมาที่สถานการณ์ตรงหน้า บอกตัวเองว่าอย่างไรแล้ว วันนี้คงไม่ได้เรื่อง
หันไปบอกเสียงแข็ง กำชับกับเขาว่า “ถอนฟ้องซะ แล้วอย่าลืมโอนเงินให้ด้วย” บอกจบ เดินออกจากห้องทันที ไม่เสียสายตามองที่ใครอีก ออกมายืนรอลิฟต์ หูพลันแว่วเสียงโวยวายของหญิงสาวคนมาใหม่คนนั้นดังที่ในห้องของรุจิภาส
“นี่ซื้อขายอะไรกันคะ ถึงได้ตามมาทวงเงินถึงในห้องทำงานแบบนี้”
ดรัลรัตน์ไม่อยากยืนรอฟังอะไรจากคนพวกนั้น พอลิฟต์มาถึง ประตูเหล็กเปิดอ้าออก เธอจึงได้พาตัวเองก้าวเข้าไปยืนในนั้น พร้อมกับคำสัญญาหวานหูที่รุจิภาสเคยให้ไว้กับเธอ ดังก้องรบกวนเข้ามาในหูอีกครั้ง
‘ผมรักรัลนะ รักรัล รักที่สุดในโลกเลยรู้ไหม’
‘เราจะสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นครอบครัวสุขสันต์ รัลอยากมีลูกกี่คนดี ผมอยากได้ลูกสาวสักสองคน ให้หน้าสวย ตาสวยแบบรัลเลย’
อยากได้ลูกสาวหน้าสวย ตาสวยแบบเธออย่างนั้นหรือ
ไอ้คนทุเรศเอ๊ย!
ผู้ชายเฮงซวย!
เขาคบใครต่อใครไปทั่วลับหลังเธอ มั่วไม่เลือกเหมือนเดิมสินะ แล้วยังกล้ามาบอกว่ารักเธออีกหรือ แต่ที่น่าโมโหก็คือเธอดันไปอ่อนไหว หลงเชื่อเขาเสียนี่
เชื่อคำสัญญาจอมปลอม
เชื่อที่เขาบอกว่ารักเธอ
เชื่อว่าเขาอยากกลับไปเป็นแบบเดิมกับเธออีกครั้ง
คิดแล้วเสียความรู้สึกไม่ใช่น้อย จนลงมาถึงด้านล่าง ค่อยมองหาป้ายบอกทางไปห้องน้ำ หลบเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเสียหน่อย แต่พอเข้าไปในนั้นแล้ว ก็ตรงเข้าไปในห้องว่างสุดท้ายด้านใน ปิดล็อกประตูได้ น้ำตาก็ไหลซึมออกมาไม่หยุด
เกิดคำถามมากมายขึ้นในหัว
ว่าทำไมจะต้องมารู้จักรุจิภาสด้วย
ทำไมเธอจะต้องไปรักผู้ชายอย่างเขา
และเมื่อทุกอย่างมันแจ่มชัดขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอถึงเลิกรักเขาไม่ได้สักที
ร้องไห้จนพอใจแล้ว ค่อยออกมาล้างหน้าล้างตา เงยมองตัวเองในกระจกเงา ถอนใจเบา ๆ กับสภาพที่เห็น ห้าปีมานี้ เธอไม่เคยรู้จักเครื่องสำอางอีกเลย หน้าสดของเธอโทรมมาก ๆ แต่ช่างมันเถอะ ตราบใดที่พอมีเรี่ยวแรงในการทำงานหาเลี้ยงคนในบ้าน เลี้ยงเจ้าสิป หน้าจะโทรมแค่ไหนก็ช่างมัน
เดินออกจากห้องน้ำในซอกของอาคารแล้ว ก็มองหาว่าตัวเองเดินออกมาจากทางไหน ตั้งสติได้ เดินวกไปยังทางที่เดินเข้ามาจากลานจอดรถ ขณะเดินฉับ ๆ ไปยังประตูนั่นเอง เสียงเรียกชื่อของเธอก็ดังแว่วมาจากด้านหลัง
“คุณดรัลรัตน์ใช่ไหมครับ”
ดรัลรัตน์หยุดเดิน หันไปมองยังต้นตอของเสียง ถึงได้พบว่าเป็นพี่ที่พักอยู่ข้างห้องของเธอเอง สมัยทำงานเป็นสาวออฟฟิศเมื่อห้าปีก่อน เธอสนิทกับทางนั้นมากทีเดียว พอได้เจอหน้าแบบไม่ได้นัดหมายก็อดดีใจไม่ได้ ยิ้มให้ พึมพำเรียกอีกฝ่าย “พี่โพ”
เจ้าของชื่อโพ หรือ ‘โพนี’ เป็นชายร่างเล็ก ผิวขาวเหลือง ช่างคุย นิสัยดีพอสมควรในสายตาของดรัลรัตน์
คงเห็นว่าทักไม่ผิดคนก็หลุดสาวออกมาทันที
“ว้ายตาย รัลจริง ๆ ด้วย คิดถึงจังเลยน้องสาว นี่หายไปไหนมา คนเขาลือกันว่าหายไปคลอดลูกที่บ้านนอก จริงไหม ใช่หรือเปล่า”
ถือว่าสนิทกันก็ถามออกมาแบบไม่อ้อมค้อมเอาเสียเลย
ดรัลรัตน์หลุบตาลงมองพื้น ถอนใจเฮือก ตัดสินใจพยักหน้าตอบไปแค่ “ค่ะ” สั้น ๆ คำเดียว
“แล้วไปทำมาหากินอะไรที่บ้าน”
“ปลูกข้าว ปลูกมัน ปลูกยูคาอะไรไปนั่นแหละพี่โพ บ้านนอกจะทำอะไรได้นอกจากเกษตร ไม่เหมือนในกรุงเทพฯ หรอกนะ”
โพนีมองเธอด้วยสายตาเสียดายอยู่ไม่น้อย ก่อนจะจับกระเป๋าใบหรูขึ้นคล้องแขน มือถึงได้ว่างพอจะจับจูงเธอ พาตรงไปหาเก้าอี้นั่งคุยกันที่โถงกลางตึกหรู มีชุดเก้าอี้ว่างอยู่พอดี โพนีจึงดึงเธอลงนั่ง จุดประสงค์ก็คงอยากจะคุยกันก่อนนั่นเอง “พี่ล่ะใช่คนกรุงเทพฯ ที่ไหน บ้านนอกเหมือนกันอีหนู คนศรีสะเกษค่ะ” โพนีพลิกข้อมือเอาส่วนที่เป็นสันฟาดกับอกตัวเองปึก ๆ ขณะกล่าว “บ้านนอกไม่มีงานอะไรให้ทำ ก็กลับมากรุงเทพฯ เลยมา งานสวนงานไร่จะไปพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ยังไงกัน แล้วนี่เอาเงินที่ไหนกินเอาที่ไหนใช้ ก็ในเมื่อ...” โพนียังคงวนเวียนกับเรื่องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จนเลยเถิดจะหลุดปากพูดออกไปว่าก็ในเมื่อเลิกกับรุจิภาสไปแล้วนี่ แต่ยังอุตส่าห์ยั้งปากตัวเองทัน
ดรัลรัตน์รู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร เลยมองสบตาคนถามตรง ๆ ทบทวนความสัมพันธ์ของตนกับโพนี
โพนีรู้จักเธอดี ส่วนรุจิภาส โพนีก็รู้จักเขาด้วยเช่นกัน ช่วงที่เธอคบหากับรุจิภาส เธอทำงานที่เดียวกับเขา ตอนนั้นเธอเป็นน้องนักศึกษาฝึกงานที่กระตือรือร้นจนผู้จัดการเห็นแล้วก็นึกเอ็นดู ชักชวนให้มาทำงานที่นี่หลังเรียนจบ
พอได้มาทำงานไม่นาน เธอถึงได้รู้จักกับรุจิภาส
เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี อบอุ่น แล้วก็ตรงเข้ามาจีบเธอทันทีเลย ทีแรกเธอกลัว แต่เมื่อได้รู้จักเขามากขึ้น เธอก็ตกหลุมรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
รุจิภาสไปมาหาสู่เธอบ่อย ๆ ที่ห้องพัก เคยนั่งคุย เคยนั่งกินข้าวด้วยกันกับโพนีด้วย เลยได้รู้จักกัน
โพนีสนิทจนรู้แทบทุกเรื่องของเธอกับรุจิภาส
ยกเว้นก็แต่เรื่องของสิปปภาสนี่เอง ที่เธอไม่ได้บอกใครเลยสักคน ทันทีที่สิปปภาสคลอด เธอยื่นใบลาออกจากงานทันที เก็บข้าวของ ย้ายออกจากห้องพักแห่งนั้น กลับบ้านที่ต่างจังหวัดในเวลาต่อมา ไม่ได้ร่ำลาใครเลยแม้แต่คนเดียว เรียกได้ว่าหายตัวไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ใครได้ตามเจอนั่นแหละ
“พอได้กินได้ใช้อยู่หรอกพี่โพ”
เสียดายหน้าตา หุ่นทรงก็ยังดีไม่เผละ โพนีมองด้วยสายตาเห็นใจ “ตรากตรำทำงานหนักเลยล่ะสิท่า”
ดรัลรัตน์พยักหน้ารับ
จะไม่ให้หนักได้อย่างไร หากคนงานในไร่ไม่มาหรือมาแต่ไม่ครบคน บางทีเธอก็ลงไปทำงานแทน กล้ามเนื้อของเธอขึ้นเป็นมัดหมดทั้งตัวทั้งแขนทั้งขา ราวกับเข้าฟิตเนสอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
โพนีควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาสแกนใบหน้าปลดล็อก ปากเอ่ยต่อว่า “เบอร์ก็เปลี่ยนหนี ถามหากับใคร ไม่มีใครรู้สักตัว เอาเบอร์มาเร็ว จะได้ติดต่อกัน”
ดรัลรัตน์ถอนใจเบา ๆ บอกเบอร์ให้อีกฝ่าย คุยกันอีกครู่ ค่อยบอกลา แยกย้ายจากกันไป โบกมือลาจากกันแล้ว ตามองไปเห็นกองหนังสือลดราคาที่จัดวางตรงด้านหน้าของอาคารเข้าพอดี จึงเดินไปเลือกซื้อ มีหนังสือสำหรับเด็กค่อนข้างเยอะ จึงเสียเวลาเลือกอยู่เป็นนาน แล้วถึงได้กลับไปที่รถ ออกจากที่ตั้งของบริษัทแห่งนั้นในตอนที่ล่วงเข้าบ่ายโมงไปแล้ว