นางต้องรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็วเพราะท่านแม่ทัพหรือท่านพ่อของนางกำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองใหญ่ โดยมีลีมี่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง ย้ำว่าทุกอย่างเพราะชุดที่นางใส่นั้นนางใส่ไม่เป็นเลยสักชิ้น! ครั้นเมื่อเธอได้ยลโฉมหน้าของตัวประกอบฉูฉิงเฟยผู้นี้ถึงกับต้องร้องว่า โอ้โห นางสวยมากปากเล็กจมูกหน่อย ดวงตากลมตาขนตาเป็นแพหนายาวงอนสวย จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าเรียวได้รูป ใบหน้านางไม่มีแม้แต่สิวและจุดด่างดำอย่างที่นางเคยเป็นในโลกก่อนเลย น่าอิจฉานัก
“ฮึก”
“คุณหนูร้องไห้ทำไมหรือเจ้าคะ ข้ารัดแน่นไปงั้นรึ”
ลีมี่ที่กำลังจัดการแต่งตัวกับฉูฉิงเฟยอยู่นั้นต้องละจากการกระทำของนางเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นขึ้นมาจากสตรีตรงหน้า
“ข้า ข้าดีใจ”
“ดีใจสิ่งใดกันรึเจ้าคะ”
“เจ้าดูนี่สิ ข้าสวยมากใช่หรือไม่” ลีมี่ถึงกับหน้าเหวอไปทันทีที่ได้ยินคำตอบของนาง
นางว่าพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาไปยังกระจกบานใหญ่ที่ปรากฏใบหน้าที่งดงามล่มเมืองของฉูฉิงเฟย ไม่ว่าจะหน้าตาหรือรูปร่างก็ดูงดงามไปหมดโดยเฉพาะเจ้าแตงโมลูกโตสองลูกนี่ “ฮึก ลีมี่ข้าตู้มมากเลย ข้าไม่เคยตู้มขนาดนี้มาก่อนเลยรู้ไหมว่าเขาต้องศัลยกรรมหมดกันไปกี่ล้านกว่าจะได้เจ้าสองลูกนี่มาฮือออ 350cc ของข้า”
“สะ สันกรามรึเจ้าคะ เหตุใดสันกรามถึงมีสองลูกเจ้าคะ” ลีมี่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเหตุใดคุณหนูของนางจึงมีวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้
“มิใช่สันกราม! ช่างเถิดๆ เหตุใดต้องแต่งเยอะแยะถึงเพียงนี้ เจ้าจะแต่งให้ข้าไปเล่นงิ้วรึอย่างไร!”
นางมองไปยังกระจกที่ตอนนี้นางกำลังใส่เสื้อสีแดงฉูดฉาดพร้อมองค์เครื่องประดับมากมายทั้งที่คอที่มือและที่ศีรษะของนางจนเต็มไปหมด ริมฝีปากถูกทาด้วยสีแดงสดไม่ต่างจากชุดเลยแม้แต่น้อย ดวงตาถูกทาสีเข้ม ดวงแก้มถูกปัดจนเหมือนคนเป็นลมแดด
“ละ เล่นงิ้วงั้นรึเจ้าคะ บะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ บ่าวเพียงแต่งให้ท่านเช่นเดิมเหมือนทุกที” ลีมี่กล่าวอย่างร้อนรนพลางคุกเข่าก้มหน้าลงมือสั่นเทาด้วยความกลัว
“เห้อเหตุใดต้องคุกเข่าอยู่ร่ำไป ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้า ข้าเพียงแบบเรียกว่าอะไรนะ เอ่อแค่พูดลอยๆ น่ะ พูดลอยๆ ขึ้นมาเพียงเท่านั้น เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิดช่วยข้าแต่งตัวต่อ แต่นำเสื้อผ้าเรียบๆ สีสบายตากว่าตัวนี้มาให้ข้า แล้วเครื่องประดับพวกนี้เจ้าไม่ต้องนำมาสวมให้ข้าอีกข้าหนัก หนักหัวมาก”
ฉูฉิงเฟยถอนหายใจพลางรีบคิดคำพูดที่จะทำให้หญิงสาวผู้นี้สบายใจขึ้น นางหมุนคอไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า ไม่คิดเลยว่าการแต่งตัวของสตรียุคนี้จะมากความมากมายนัก หากเป็นยุคนางคงสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว นางจัดการลบเครื่องหน้าที่หนาเตอะราวกับเป็นงิ้วออก ก่อนจะแต่งแต้มลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แค่นี้ใบหน้าของฉูฉิงเฟยก็งดงามราวกับเทพธิดาแล้ว
ลีมี่เริ่มสงบลงเมื่อคุณหนูของนางไม่แสดงท่าทีร้ายกาจเช่นทุกที นางลอบยิ้มภายในใจไม่ว่าจะเพราะสิ่งใดนางชื่นชอบที่คุณหนูเป็นเช่นนี้ยิ่งนัก
ใช้เวลาล่วงเลยไปราวหนึ่งชั่วยาม หลังจากที่ตบตีกับเครื่องแต่งตัวของลีมี่แล้วนางจึงรีบเร่งฝีเท้าเข้ามาภายในเรือนรับรองทันที โดยมีลีมี่เป็นคนนำด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ข้าอยากเดินชมนกชมไม้จากข้างหลังเจ้า’ ซึ่งเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย แต่นางคิดสิ่งใดไม่ออกแล้ว แงง
ตลอดทางไม่มีแม้แต่ผู้คนเลยแม้แต่น้อย ความเงียบปกคลุมมาจนถึงหน้าเรือนรับรอง แม้จะยังไม่ก้าวเข้าไปข้างในนางกลับรับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจนนางแทบก้าวขาไม่ออก จู่ๆ ก็เกิดเป็นตะคริวขึ้นกะทันหัน
เพียะ
“คุณหนู!”
“แหะ ขามันไม่ยอมเดิน” นางตบที่ขาตัวเองแรงๆ หนึ่งทีอย่างต้องการจะทำโทษตัวเอง ไหนทำใจได้แล้วไงจะมานึกกลัวอะไรเล่านั่นพ่อของนางเอง นั่นพ่อเองใจเย็นไว้ฉูฉิงเฟย นางค่อยๆ หยิบขาตัวเองก้าวออกไปด้านหน้าอย่างทุลักทุเล นางรู้สึกเหมืนอกำลังจะต้องต้มตุ๋นทั้งตระกูลนี้ให้เชื่อว่านางมิใช่ผีสางนางไม้ที่ไหนมาสิงร่างลูกสาวเขา!
เมื่อก้าวพ้นประตูเข้ามาได้เบื้องหน้าปรากฏชายทั้งสองคนที่นางเจอก่อนหน้านั้น ท่านพ่อ และท่านพี่ของนาง นางเดินเข้าไปใกล้ในขณะที่ลีมี่ปิดประตูลง ทำให้ขณะนี้นางต้องเผชิญกับผู้ชายร่างยักษ์ทั้งสองคนเพียงลำพัง
“เฟยเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านพี่เจ้าค่ะ”
แม้จะรู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อยแต่ต้องกล่าวออกไปเช่นนั้น นางย่อกายลงคารวะอย่างสวยงามเลียนแบบละครจีนที่เคยดูมาบวกกับความดัดจริตที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำให้นางเลียนแบบกิริยานี้ได้โดนง่าย หึหึ เป็นการย่อกายที่สมบูรณ์แบบ นางกล่าวชมตัวเองภายในใจ พลางส่งยิ้มให้กับพวกเขา
ทั้งสองที่นั่งรออยู่นานแล้วหันมามองหน้ากันราวกับเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อ ร้อยวันพันปีน้องสาวผู้นี้ของเขาไม่เคยกล่าวคารวะท่านพ่อและตัวเขาเลยสักครา ถึงแม้นางจะแข็งกระด้างและไร้มารยาทไปบ้างแต่พวกเขาก็รักและเอ็นดูนางมากเช่นกันจึงไม่เคยกล่าวโทษนางเลยสักครั้ง แต่มาครานี้นางกลับทำให้เขาประหลาดใจนักที่นางแสดงกิริยาอ่อนช้อยและยิ้มให้กับพวกเขา การแต่งตัวของนางนั้นก็แปลกตาไปแบบนี้นับว่าเข้ากันกับนางเป็นอย่างมาก
ท่านแม่ทัพฉูเป่ยชางและท่านรองแม่ทัพฉูหยงฉือต่างยังคงนั่งนิ่งอึ้ง ฉูฉิงเฟยจึงทำได้แต่เพียงยิ้มต่อไปจนกรามแทบค้าง เมื่อไม่มีผู้ใดเอ่ยให้นางนั่งลงนางจึงถือวิสาสะเลือกที่นั่งนั่งลงข้างๆ กับพวกเขาเสีย
“ท่านพ่อ ท่านบอกว่ามีเรื่องจะพูดคุยกับข้า”
นางกล่าวทำลายความเงียบเมื่อทุกคนยังคงส่งสายตาตกตะลึงให้กับนาง อิหยังวะคะ เกิดสิ่งใดขึ้นกัน!
“อะแฮ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าสร้างเรื่องอะไรไว้ ผู้คนเขาพูดกันจนหนาหูว่าเจ้าคบชู้สู่ชาย จนจางอ๋องปฏิเสธการหมั้นหมายกับเจ้าหักหน้าเจ้าต่อหน้าผู้คน”
ฉูเป่ยชางเป็นผู้เปิดบทสนทนาเมื่อตัวเขาสามารถดึงสติกลับมาได้แล้วจึงเข้าเรื่องในทันที
“เจ้าเป็นสตรีมิควรมีเรื่องให้พูดถึงเช่นนี้ เรื่องอื่นท่านพ่อและพี่ของเจ้าย่อมปกป้องเจ้าได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากจะจัดการนัก”
“หากเจ้ายังยืนยันที่จะตบแต่งกับจางอ๋องให้จงได้ ท่านพ่อของเจ้าจะช่วยเจ้า”
แม้บรรยากาศจะตึงเครียดแต่นางกลับสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากคำพูดของพวกเขาได้ นางที่ไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่าครอบครัวเลยสักครั้งในชีวิตก่อนกลับรู้สึกตื้นตันใจนัก
“ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องการแต่งกับเขาแล้วเจ้าค่ะข้าย่อมไม่ฝืนใจคนที่ไม่เคยรักข้าหรอกเจ้าค่ะ”
ปึง!
เสียงทุบโต๊ะดังลั่นขึ้น เป็นฉูเป่ยชางที่เกิดโทสะขึ้นมายามนึกถึงใบหน้าของบุตรีสุดที่รักโดนกระทำหักหน้าเช่นนั้น
“จางอ๋องผู้นี้ไม่รักษาหน้าให้แก่บุตรีข้า ข้าอยากจะไปเด็ดหัวเขายิ่งนัก”
“ท่านพ่ออย่าทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ เป็นข้าที่ผิดเอง ที่ผ่านมานั้นข้าบังคับให้เขาหมั้นหมายกับข้าถึงคราวที่ข้าต้องตัดใจเสียได้แล้ว”
นางกล่าวพลางทำหน้าสะอึกสะอื้นแสร้งยกผ้ามาซับน้ำตา หลังผ้าผืนบางเผยให้เห็นใบหน้าที่ราวกับจะอ้วกแตกเสียตรงนั้นของฉูฉิงเฟย นางได้แต่รู้สึกขนลุกยามต้องพูดจาชวนเลี่ยนเช่นนี้ โอ๊ย การแกล้งเสียใจนี่มันเหนื่อยจริงๆ!
“หากเจ้าคิดได้เช่นนั้น ข้าย่อมดีใจกับเจ้าด้วย” ฉูหยงฉือกล่าวเสียงอบอุ่น ใบหน้าฉายแววเอ็นดูน้องสาวของเขาไม่น้อย ภายในใจชายหนุ่มรู้สึกดีใจยิ่งที่น้องสาวของเขาไม่ต้องตบแต่งออกเรือน
“แต่ถึงกระนั้น เหตุการณ์เมื่อช่วงสายที่ผ่านมาเป็นเรื่องหนาหูยิ่งนัก หากเจ้าไม่ตบแต่งออกเรือนไปจะเป็นที่ครหาของชาวเมืองได้”
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรขอรับ!”
“ท่านพ่อจะให้ข้าตบแต่งออกเรือนรึเจ้าคะ!”
นางรีบหันไปมองยังฉูหยงฉือที่กล่าวขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับนาง ตายแล้ววว พี่ชายหวงน้องงั้นรึน่ารักกกก
“นี่อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด นั่นอาจจะเป็นของนางเองก็ได้ท่านพ่อ”
ฉูหยงฉือยังคงกล่าวต่อไปด้วยท่าทีที่สงบลง แม้ภายในใจเขาจะไม่ยินยอมก็ตาม น้องสาวของเขาเขาพร่ำสอนและเลี้ยงมากับมือยามที่ท่านแม่ของพวกเขาได้จากไป เหตุใดจะยอมยกให้ผู้อื่นได้โดยง่าย เขาดีใจเพียงใดที่รู้ว่านางจะไม่หมั้นหมายกับจางอ๋อง แต่ท่านพ่อกลับจะให้นางแต่งออกเรือนเสียอย่างนั้น
“หยงฉือ ข้าก็ไม่อยากให้น้องสาวเจ้าแต่งเช่นกัน แต่หากน้องเจ้าไม่ตบแต่งออกไปเฟยเอ๋อร์จะยิ่งเสียหายเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นเป็น…”
“ท่านพ่อที่จริงแล้วข้ามีคนที่อยากแต่งด้วยอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนที่ท่านพ่อของนางจะเสนอชื่อผู้ใดขึ้นมา
“ว่าอย่างไรนะ!”
ทั้งฉูหยงฉือและเป่ยชางต่างร้องตกใจ วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะอกแตกตายเสียให้ได้ ที่แท้น้องสาวของเขานั้นเปลี่ยนเป้าหมายเป็นชายอื่นแล้วต่างหาก!
นางมองทั้งสองคนที่มองนางเป็นสายตาเดียว นางทำตัวลีบเล็กน้อยเมื่อต้องเจอกับสายตากดดัน
“ข้ามีคนที่อยากแต่งด้วยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“ใคร!”
“ท่านพี่ลู่เจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงใส อีกไม่นานเป็นแน่ที่นางจะได้พบกับเขา แต่ไม่ว่าหน้าตาเขาจะเป็นเช่นไรจะหล่ออย่างที่ในหนังสือบรรยายไว้หรือไม่นางก็จะทำให้เขาแต่งกับนางให้ได้!
“มันเป็นใคร ลูกเต้าผู้ใด ลู่ไหน มีตระกูลลู่อยู่ด้วยงั้นรึ มียศบรรดาศักดิ์หรือไม่ แล้วเจ้าไปรู้จักกับมันตอนไหน อย่างไร เล่ามาให้หมด”
หยงฉือกล่าวถามยาวเหยียดราวกับสอบปากคำนักโทษ พร้อมกับที่เป่ยชางพยักหน้าตามเขาพร้อมกับส่งสายตาคาดคั้นมายังนาง
กรี๊ดด จะให้บอกว่าผัวในอนาคตก็ไม่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ!
“โธ่ ท่านพี่! เอาเป็นว่าเดี๋ยวท่านก็จะได้เจอเขาแล้วเจ้าค่ะ เขาเก่งมากเจ้าค่ะ เก่งที่สุดในยุทธภพ แถมเท่บาดใจ ดูแลข้าได้อย่างแน่นอน” นางกล่าวพลางยกนิ้วโป้งขึ้นมาราวกับต้องการบอกว่าท่านพี่ลู่ของนางนั้นสุดยอดมากกก พวกเขามองการกระทำนางอย่างฉงนจนนางต้องรีบเก็บนิ้วของตัวเองลงไป
“ไม่เฟยเอ๋อร์ เจ้าต้องบอกท่านพ่อและข้ามาให้หมด”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าหิวแล้ว ข้าตื่นมายังไม่ได้ทานสิ่งใดเลย ท้องข้าร้องแล้วน้า” นางรีบหันไปยังท่านพ่อพร้อมกับออดอ้อนอย่างเอาใจ เป่ยชางที่ไม่เคยโดนบุตรีออดอ้อนมานานแล้วตั้งแต่นางรู้ความทำให้ใจคนเป็นพ่ออ่อนยวบ
“พอก่อนๆ เฟยเอ๋อร์บอกว่าเดี๋ยวได้เจอก็คงอีกไม่นานเจ้าไปบอกให้บ่าวรับใช้เตรียมอาหารมาเสีย เอาของที่เฟยเอ๋อร์ชอบเยอะๆ นะ” เป่ยชางกล่าวพลางหันไปยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น นางเห็นเช่นนั้นก็แอบปาดเหงื่อเล็กน้อย หู่วว รอดตัวไป หากท่านพี่ของนางยังถามคำถามมาเช่นนี้นางคงหลุดออกไปเป็นแน่
“ขอรับท่านพ่อ”
หยงฉือกล่าวรับคำพลางมองไปทางเฟยเอ๋อร์ที่หัวเราะคิกคักกับท่านพ่อด้วยความอิจฉา เขาก็อยากให้เฟยเอ๋อร์อ้อนเขาเช่นกัน!