อาเฟยพยายามตั้งสติ แต่เสียงร้องไห้ และเสียงคำขอโทษด้านหลังเธอทำให้เธอไม่อาจจะตั้งสติขึ้นมาได้ หญิงสาวเลิกทะเลาะกับหมอนที่ตอนนี้ยับจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม เธอหันไปทางเหล่าหกชีวิตด้านหลังนาง
ทั้งหกชีวิตนั่นต่างสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆ คุณหนูของพวกเขากลับหันมามองพวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างบางบนเตียงลุกขึ้นนั่งก่อนจะคลานมาตรงปลายเตียงจ้องหน้าพวกเขาที่กำลังหวาดกลัว
“พวกเจ้า!”
“ขอรับ!”
“เจ้าค่ะคุณหนู!”
พวกเขาตอบรับในใจสั่นไหวยามคิดถึงแส้ที่เคยถูกคุณหนูของนางเฆี่ยนตียามนางอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ อาเฟยจ้องมองพวกเขาก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปที่ทำให้พวกเขาต้องนิ่งแข็งค้างไปทันที
"พวกเจ้าล่อข้าทั้งห้าคนเลยหรือ เอ่อหมายถึงพรหมจรรย์ยังอยู่ดีไหม"
พวกเขานิ่งคิดไปสักพักก่อนจะร้อง อ๋อออออ!
"พวกข้าไม่กล้า! พวกข้าเพียงปรนนิบัติรินสุรา ขับกล่อมท่านด้วยดนตรีเพียงเท่านั้นขอรับ พวกเราเป็นเพียงนักดนตรีเท่านั้น"
'หู้วว โล่งใจไป นึกว่าร่างนี่โดนเจาะไปแล้ว'
"แล้วทำไมพวกเจ้าถึงนอนเปลือยบนเตียงข้า"
"เรียนคุณหนู คุณหนูไม่ยอมทานสิ่งใด ดื่มแต่สุราจนเกิดอาการสำรอกสุรามาเสียหมด พวกข้ากลัวท่านไม่สบายตัวและไม่ทราบว่าจะหาผ้าที่ไหนมาทำความสะอาดให้ท่านจึงใช้เสื้อผ้าของตัวเองขอรับ"
'เออดี เอาเข้าไป แล้วนอนเปลือยบนเตียงฉันมันได้เรอะ!!'
“ไม่เสียซิงก็ดีละ ...แล้วพวกเจ้าเป็นใคร” คงต้องเอาข้อมูลก่อนตอนนี้เธอไม่รู้ว่าเธออยู่ช่วงไหนในบทของนิยายแล้วหรือมันยังไม่เริ่มเรื่องกันแน่
“คะ คุณหนูเจ้าคะ โธ่ คุณหนูของลีมี่ เสียใจจนเลอะเลือนไปเสียแล้วรึเจ้าคะ” ลีมี่รีบคลานเข่าเข้ามาสัมผัสแผ่วเบาที่ขาของนาง
“เดี๋ยวก่อน ฉัน เอ่อ ข้าเสียใจอะไร ทำไมต้องเสียใจด้วย”
“มะ เมื่อคืนก่อนนั้นจางอ๋องปฏิเสธการหมั้นหมายจากคุณหนูกลางงานเฉลิมฉลอง ทำให้คุณหนูเสียหน้าและเสียใจเป็นอย่างมากจนถึงกับกักขังตัวเองไว้ในห้องแล้วเรียกพวกเขาเข้าไปปรนนิบัติเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเป็นห่วงคุณหนูมาก”
“ชะ ใช่ขอรับ พวกข้าทำสิ่งใดให้คุณหนูไม่พอใจรึขอรับ จะให้พวกข้าร่ายรำให้ท่านดูอีกสักคราดีหรือไม่”
“หยุด!!” อาเฟยรีบยกมือห้ามในทันทีเมื่อพวกเขาเตรียมตัวที่จะถอดเสื้อผ้าที่น้อยชิ้นนั้นออก บิดามันเถอะ นางฉูฉิงเฟย เธอชอบอะไรแบบนี้เหรอยะ! เข้าใจแล้วว่าทำไมพระเอกถึงปฏิเสธเธอน่ะ! พวกเขาหน้าง้ำงองอลงเมื่อฉูฉิงเฟยปฏิเสธลงอย่างไม่ไยดีทั้งๆ ที่นางชอบให้พวกเขาทำเยี่ยงนั้นให้นางดูอยู่เสมอยามเรียกพวกเขามาปรนนิบัติ
“ฮึก” หนึ่งในบุรุษนั้นเริ่มน้ำตาคลอ
“จะ เจ้าจะร้องไห้ทำไม” อาเฟยเอ่ยเสียงตะกุกตะกักเมื่อจู่ๆ ชายผู้หนึ่งก็ได้ร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“พวกข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจจะทำให้ท่านมีความสุขได้ ท่านปฏิเสธพวกข้า ท่านจะทิ้งพวกข้าแล้วหรือขอรับ”
พวกเขาต่างพยักหน้ารับให้กับคำพูดนั้นพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนมายังนาง
“ขะ ข้าไม่ได้จะทิ้งพวกเจ้าเสียหน่อย โอ๊ยยยย!”
พูดจบเหล่าบุรุษทั้งห้าก็ส่งสายตาเป็นประกายพร้อมกับยิ้มพิมพ์ใจมาให้กับนางราวกับกระต่ายตัวน้อยๆ ที่เจอแม่ของมัน ให้ตายสิ ฉูฉิงเฟย ตัวประกอบที่ถูกบรรยายไว้แค่ไม่กี่บรรทัดว่าแข็งแกร่ง เอาแต่ใจ และมากบุรุษ ขนาดนางเป็นว่าที่คู่หมั้นของพระเอกของเรื่อง แต่กลับมีเรื่องฉาวไม่เว้นแต่ละวันถึงความเอาแต่ใจ แต่ที่นางทำตัวเช่นนี้คงต้องการจะเรียกร้องความสนใจจากจางหลินเหวิน แต่หารู้ไม่ว่าเขาไม่แม้แต่จะสนใจนางด้วยซ้ำไป ตัวประกอบผู้นี้เป็นแค่หนึ่งในตัวประกอบที่ชื่นชอบพระเอกอย่างจางหลิงเหวิน ปรากฏตัวแค่ไม่กี่บรรทัด และเป็นตัวประกอบที่แค่แสดงตนออกมาเพื่อให้พระเอกได้แสดงความจริงใจต่อนางเอกก็เท่านั้น โอ๊ยเป็นตัวละครที่ใช้แล้วเขี่ยทิ้งดีๆ นี่เอง แม้จะมีบทอีกตอนแค่ตอนที่พระเอกมาขอยืมกำลังของท่านพ่อของนางเพื่อไปปราบเหล่าทัพของตัวร้ายในเรื่องก็ตาม แต่สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือของตัวร้ายอยู่ดี คิดจะใช้แล้วเขี่ยทิ้งงั้นรึไง พระเอกชั่วเอ๊ย!
ตอนนี้อาเฟยแน่ใจแล้วว่านางได้เข้ามาอยู่ในนิยายเรื่อง ดั่งบุปผาร่วงโรย หญิงสาวกุมขยับแน่น นี่นางตายไปแล้วหรือแค่หลุดมาชั่วคราวเหมือนละครเกาหลีกันแน่ เหมือนนางเพียงแค่หลับไปเฉยๆ หรือว่านางไหลตายกัน! หญิงสาวพยายามปรับตัวให้ชินว่าตอนนี้ตนเองเป็นฉูฉิงเฟยไปแล้ว เมื่อทำใจยอมรับได้ในระดับหนึ่งนางจึงเริ่มนึกถึงเนื้อเรื่องที่อ่านมาจากนิยาย หากนี่เป็นตอนที่ตัวประกอบอย่างนางโดนปฏิเสธแปลว่าช่วงนี้แค่เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของนิยายเท่านั้น และอีกไม่กี่บทข้างหน้าจะเกิดศึกระหว่างพระเอกและตัวร้าย และเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ตัวร้ายของนางต้องเจอกับแม่นางเอก และเข้าสู่ทางเดินแห่งความตายในตอนท้ายเรื่อง
แม้จะขัดใจไม่น้อยที่ตัวร้ายที่เก่งและฉลาดอย่างเขาดันมาจบชีวิตลงง่ายๆ เพียงเพราะผู้หญิงเพียงผู้เดียว แต่ในเมื่อนางอยู่ที่นี่แล้วและรู้ทุกอย่างของเนื้อเรื่อง นางจะไม่ทำให้มันเกิดเหตุการณ์นั้นโดยเด็ดขาด! ถ้านักเขียนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ นางเนี่ยแหละจะทำเอง หึหึหึ
ลีมี่มองคุณหนูของนางที่ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มร้ายกาจ ร่างนางพลันสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ นางได้แต่ภาวนาขอให้คุณหนูของนางอย่าได้ทำอะไรผลีผลามดั่งเช่นทุกทีเลย
“ลีมี่ใช่หรือไม่ ท่านพ่อของข้าจะมาตอนไหน ข้าต้องไปพบท่านพ่อ”
“ที่ข้าเข้ามาขัดความสุขของคุณหนูเยี่ยงนี้ ก็เพราะต้องการเรียนท่านว่า ท่านแม่ทัพใกล้ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”
ลีมี่เอ่ยร้อนรน หากนายท่านรู้ว่าคุณหนูพาบุรุษเรือนหลังเข้ามาปรนเปรอเช่นนี้หลังจากที่ถูกปฏิเสธงานหมั้นหมายภายในงานคงต้องเป็นเรื่องหนาหูเป็นแน่ ท่านแม่ทัพคงมีโทสะเป็นแน่ แม้จะรักและประคบประหงมคุณหนูมากเพียงใด แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากนัก และคุณหนูไม่เคยจะปล่อยปละละเลยให้ท่านแม่ทัพจับได้เลยสักครา
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้เล่า พวกเจ้าก็รีบๆ กลับไปได้แล้ว หากท่านพ่อข้ามาเห็นพวกเจ้า พวกเจ้าได้ถูกตัดตอนเป็นแน่!!”
ฉูฉิงเฟยรีบลุกขึ้นออกจากเตียงทันทีด้วยความตื่นตระหนก ร่างบางรีบก้มลงเก็บของที่ตกอยู่ตามพื้นอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวไล่บุรุษทั้งห้าชีวิตที่กำลังนั่งนิ่งทำตัวไม่ถูก
‘ข้าบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก’
“คุณหนูข้าทำเองเจ้าค่ะ” ลีมี่ได้แต่ร่ำร้องภายในใจ แต่นางก็รีบลุกขึ้นห้ามฉูฉิงเฟยก่อนจะเป็นคนเก็บของเหล่านี้เอง
“ทำสองคนย่อมเร็วกว่า ไปเร็วๆ สิ ” นางกล่าวพลางเอ่ยไล่พวกเขาทั้งห้าอีกครั้งโดยที่ยังไม่หันไปมองทางพวกเขา
“อึก”
คำกล่าวไล่อย่างกับไล่หมูไล่หมาของนางทำให้พวกเขาถึงกับสะอึกไปตามๆ กัน พวกเขาคงคิดว่าพวกเขาต้องโดนทอดทิ้งไปแล้วเป็นแน่
“พวกเจ้าจะทำหน้าตาน่าสงสารทำไมกัน ข้าไม่ได้จะไล่พวกเจ้าออกไปเสียหน่อย หากพวกเจ้ายินดีที่จะอยู่ในจวนนี้ก็จงทำงานใช้แรงแลกเบี้ยเสีย หากมีผู้ใดต้องการออกจากจวนนี้ไป เจ้ามิต้องห่วงข้าจักให้เงินพวกเจ้าไปตั้งตัว”
ฉูฉิงเฟยที่ฉุกคิดได้ว่านางอาจจะดูไม่แยแสพวกเขาเกินไปหรือไม่ จึงได้หันมากล่าวกับพวกเขาอีกครั้งพร้อมยื่นข้อเสนอให้กับพวกเขา คำพูดนี้ทำให้พวกเขาทั้งหกคนต้องตกตะลึงเมื่อคุณหนูของพวกเขากลับเห็นใจทาสต่ำต้อยเช่นพวกเขา แม้ที่ผ่านมานางจะไม่เคยไยดีสิ่งใดเลย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นฉูฉิงเฟยมีเมตตา และสนใจพวกบ่าวรับใช้ภายในเรือน
“ข้ายินดีรับใช้คุณหนูขอรับ”
“พวกข้าก็เช่นกันขอรับ”
นางมองใบหน้าพวกเขาที่ส่งสายตาเว้าวอนทำราวกับเห็นนางเป็นนางฟ้านางสวรรค์ รวมถึงลีมี่ที่เริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นอีกครั้งด้วยความตื้นตันใจ
ฉูฉิงเฟยได้แต่คิดในใจว่านางทำสิ่งใดให้คนพวกนี้ต้องรู้สึกตื้นตันถึงเพียงนั้นกัน ถึงกับต้องน้ำตาคลอเลยเรอะ! นางฉูฉิงเฟยคนเก่านี่แกร้ายขนาดไหนกันยะ แค่ทำตัวดีนิดหน่อยทุกคนถึงกับต้องปลื้มปริ่มกันถึงขนาดนี้!
“ละ เลิกมองข้าเช่นนั้น ข้าต้องเตรียมตัวก่อนจะที่ท่านพ่อจะถึงจวน”
นางเสหน้ามองไปทางอื่น ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจอสายตาพวกนั้นเข้า ในขณะที่พวกเขาพร้อมใจกันคิดว่า
นะ นี่นางก็เป็นคนดีเหมือนกันสินะ
ไม่นานหลังจากจัดการเรื่องหน้าปวดหัวทั้งหลายลงหมดแล้ว ทั้งสองจึงรีบช่วยกันเก็บกวาดห้องที่ ยับเยินราวกับหลุดออกมาจากสนามรบ โดยที่มีลีมี่คอยห้ามนางอยู่เป็นระยะ แต่นางหาสนใจไม่
“นี่คือสิ่งใด” ฉูฉิงเฟยหยิบผ้าบางสีขาวผืนหนึ่งขึันมา
“ตายแล้วคุณหนู! อย่าหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาเจ้าค่ะ วางลงเจ้าค่ะ ”
ลีมี่ที่เห็นว่าคุณหนูของนางหยิบสิ่งใดขึ้นมาก็รีบกล่าวห้ามพลางใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ นางมองการกระทำของบ่าวคนสนิทของนางก่อนจะกางผ้าบางสีขาวตัวนั้นออกเพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าเหตุใดลีมี่จึงมีอาการเช่นนี้กัน
ผ้าบางตัวยาวสีขาวมีปมผูกยาวด้านข้าง อืม น่าจะเป็นที่ใส่ไว้ข้างในหรือเปล่านะ ตัวใหญ่อยู่ด้วยคงไม่ใช่ของเราเป็นแน่ และในขณะนั้นภาพมโนของบุรุษห้าคนก็โผล่ขึ้นมาในหัว ภาพชายหนุ่มเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไร้อาภรณ์ปกปิดร่างกาย
“เห้ยยย”
'กางเกงในผู้ชายเรอะ!"
ปึง!
“เฟยเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ประตูหน้าเรือนถูกเปิดออก ทำให้นางชะงักการกระทำของนางลงก่อนจะหันไปมองยังผู้มาใหม่มาเยือนที่หน้าเรือนของนาง เขามีใบหน้าหล่อเหลาแม้จะมีร่องรอยแห่งวัยขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดความหล่อเหลาของเขาได้ เขาอยู่ในชุดเกราะออกรบเต็มยศบ่งบอกถึงฐานะอันสูงศักดิ์
“เฟยเอ๋อร์”
เสียงทุ้มเรียกชื่อของนาง ทำให้นางละสายตาจากบุรุษตรงหน้าหันไปมองบุรุษผู้มาใหม่ที่แต่งตัวไม่ต่างกันมากนัก แต่ใบหน้านั้นดูหนุ่มกว่ามาก และยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับหลุดมาจากเทพนิยายไม่ต่างจากชายตอนแรกเสียด้วยซ้ำ
ฉูฉิงเฟยสายตาพร่าราวกับเห็นแสงประกายระยิบระยับของเขาทั้งสองคนจนนางเผลอยิ้มออกมา
‘โห ใครอะหล่อเวอร์’
โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าข้างหลังพวกเขานั้นก็มีเหล่าองครักษ์และทหารตามติดมาเป็นกระบวน พวกเขาต่างมองนางด้วยแววตาสงสัย แต่แล้วสายตาของพวกเขากลับจับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของนาง
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!”
“หะ หือ” เสียงเรียกของลีมี่ทำให้นางหลุดออกจากภวังค์ของความหล่อแสบตา ใบหน้าเหลอหลาของนางไม่อาจจะหลุดรอดพ้นจากสายตาของท่านแม่ทัพและท่านรองแม่ทัพไปได้
“ในมือเจ้าค่ะ ในมือ!”
ลีมี่กระซิบกระซาบเสียงร้อนรนพลางมองสิ่งในมือของนางสลับกับมองท่านแม่ทัพที่เริ่มแผ่รังสีอำมหิตราวกับจะกินหัวกันอย่างน่ากลัว
'ฉิบหายละ! ถือกางเกงในผู้ชายอยู่นี่หว่า'
“วะ ว้าย!”
นางรีบโยนไอ้เจ้าเกงในนั่นออกไปเมื่อนางรู้ตัวว่ากำลังถือสิ่งใดอยู่ แต่แล้วเจ้ากรรมซ้ำซ้อนผ้าผืนนั้นกลับลอยละลิ่วไปตกอยู่บนบ่าอันองอาจของชายหนุ่มผู้มาใหม่หน้าประตู สายตากำลังแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาแฝงความน่ากลัวในแววตา
ฉูหยงฉือ ค่อยๆหยิบสิ่งที่ปลิวตกลงบนไหล่ขึ้นมา พร้อมกับกำผ้าผืนนั้นไว้แน่น แววตาเย็นเฉียบราวกับจะเฉือนเข้ากระดูกของนางถูกส่งมายังนางจนนางต้องสะดุ้งแล้วหลบสายตาต่ำลงเพื่อหลบสายตานั่นของเขา
'อย่าดุคนสวยสิคะพ่อรูปหล่อ!'
ขณะนี้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำผิดอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงอย่างมากกกก! เหงื่อผุดขึ้นตามกรอบใบหน้างามขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เรามีเรื่องต้องคุยกับเฟยเอ๋อร์หน่อยจริงหรือไม่ขอรับท่านพ่อ”
“อืม ตามข้ามาในเรือนรับรองเดี๋ยวนี้เฟยเอ๋อร์” น้ำเสียงเยียบเย็นถูกกล่าวทิ้งไว้ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไป
ฟุบ!
“พะ พวกเขาเป็นใครกัน น่ากลัวมากเลยง้าา” นางล้มนั่งลงบนเตียงใหญ่ สายตาเมื่อสักครู่นี้น่ากลัวกว่าหัวหน้าแผนกตอนนางขอลาอีกนะเว้ย
“คุณหนูจำท่านแม่ทัพกับท่านรองแม่ทัพไม่ได้งั้นรึเจ้าคะ ท่านเป็นท่านพ่อกับท่านพี่ของคุณหนูนะเจ้าคะ”
ลีมี่ที่รีบเดินเข้าไปประคองนางกล่าวเสียงฉงนปนหายใจหอบถี่ บรรยากาศเมื่อสักครู่แม้จะชั่วครู่เดียวแต่กลับกดดันจนนางสั่นไปทั้งตัว
“ฮ้าาา! ท่านพ่อกับท่านพี่ของตัวประกอบฉูฉิงเฟยงั้นหรือ!”
“อะ เอ่อใช่เจ้าค่ะ”
แม้นางจะสงสัยว่าเหตุใดคุณหนูของนางจึงเรียกตัวเองเช่นนั้นราวกับไม่ใช่ตัวนางเอง แต่สงสัยคุณหนูคงกำลังตกใจเหตุการณ์ที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้กระมัง
“ซี้แหงแก๋ ตายแน่ สู่ขิตแน่!”
นี่มันเหตุการณ์โบ๊ะบ๊ะอะไรกันวะเนี่ย มันไม่มีในต้นฉบับนะเว้ยยย ฉูฉิงเฟยตอนนี้ได้สู่ขิตไปเป็นที่เรียบร้อย น้ำตาตกในเมื่อนึกถึงใบหน้าเย็นชาที่ส่งมาให้กับนาง แม้นางจะรู้ว่าพวกเขาตามอกตามใจในตัวฉูฉิงเฟยผู้นี้เพียงไร แต่สีหน้าและน้ำเสียงนั่นเหมือนจะฆ่าแกงกันเลยอ้า!