หลังจากที่กินข้าวร่วมกันเหมือนดั่งครอบครัวสุขสันต์ กว่าท่านพ่อและท่านพี่จะยอมปล่อยนางออกมานั้นก็กินเวลาไปหลายชั่วยาม เหมือนพวกเขานั้นไม่เคยได้พูดคุยกันเช่นนี้มาก่อนเลย นั่นจึงทำให้นางยอมนั่งอยู่โดยที่นางแทบไม่ได้พูดสิ่งใดสักคำ เพราะนอกจากท่านพ่อจะคอยตักอาหารให้แล้วนั้น ท่านพี่ของนางกลับยกข้าวป้อนเข้าปากนางเสียทุกคำ แม้นางจะกล่าวห้ามเขาแต่บุรุษใบหน้าเย็นชาที่เห็นก่อนหน้านั้นกลับทำหน้าหงอยจนนางนึกสงสาร นางได้แต่จำใจยอมให้เขายกช้อนป้อนนางอย่างเสียไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตัวประกอบผู้นี้ถึงไม่ยำเกรงผู้ใดเพราะถูกท่านพ่อและท่านพี่สปอล์เยี่ยงนี้อย่างไรเล่า
แต่นางนั้นไม่คิดไม่ฝันเลยว่าท่านพี่ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งไม่ต่างจากตัวร้ายผู้นั้นจะติดน้องสาวจนงอมแงมเช่นนี้!
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าจะกลับเรือนแล้วหรือ ข้าสั่งคนให้ทำของหวานให้เจ้าไปทานด้วยกันที่ศาลาดีหรือไม่”
'นี่ไง ยังตามไม่หยุดเลย ทีตอนนั้นละทำหน้าเย็นชา!'
ฉูฉิงเฟยชะงักฝีเท้าลงจนคนที่ตามมาด้านหลังต้องหยุดการกระทำลงตาม นางหันไปทางบุรุษหน้าหล่อที่มีศักดิ์เป็นท่านพี่ของนาง ถึงแม้จะหล่อแต่ตามติดเช่นนี้น้องไม่ปลื้มนะเจ้าคะ!
“ท่านพี่ เฟยเอ๋อร์รู้สึกเหนื่อย ข้าอยากจะพักผ่อนเสียหน่อยเจ้าค่ะ” ใส่จริตเข้าไปเล็กน้อย
นางกล่าวด้วยน้ำเสียสุภาพพร้อมกับทำหน้าตาน่าสงสารที่นางคิดว่าต้องได้ผลเป็นแน่ นางอยากอยู่คนเดียวจะได้คิดแผนถูกว่าจะนำตัวท่านพี่ลู่มาได้อย่างไร!
“เช่นนั้นไปทานที่เรือนของเจ้าแล้วกัน พวกเจ้านำสำรับของหวานไปที่เรือนของเฟยเอ๋อร์”
ซะงั้น! มารดามันเถอะ ไม่ได้ผลหรอกเหรอ!
“ช้าก่อน ไปที่ศาลาก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างจำยอม
“เช่นนั้นก็รีบไปกันเถิด” เขาตอบกลับอย่างอารมณ์ดีพลางเดินนำนางไปยังศาลาภายในจวน นานๆ ทีนางจะยอมพูดคุยกับเขาเช่นนี้ เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะถามเรื่องท่านพี่ลู่ของนางเป็นแน่
ฉูหยงฉือพานางเดินผ่านสวนขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นได้กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด ใกล้ๆ กันนั้นนางได้ยินเสียงน้ำไหลผ่านทำให้จวนแห่งนี้ดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก นางเพิ่งจะรู้ตัวว่าจวนท่านแม่ทัพใหญ่เพียงใด นี่นางได้เกิดเป็นลูกคนรวยงั้นรึ โอ้มายก้อดดด นางพยายามเก็บความปลื้มใจนี้ไว้ภายใน ใบหน้าสวยลอบยิ้มมาตลอดทาง แต่ใบหน้ากลับง้ำงอลงเมื่อฉุกคิดได้ว่าอีกไม่กี่ตอนข้างหน้านางจะต้องตายอย่างอนาถเสียแล้ว นางยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของความรวยเลยให้ตายสิ!
ศาลาหลังนี้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก ภายในศาลามีโต๊ะตั่งเตี้ยตัวใหญ่วางอยู่ ร่างสูงเดินเข้าไปก่อนจะนั่งลงโดยที่นางก็ตามไปนั่งลงข้างๆ เขาเช่นกัน ไม่นานมากนักเหล่าสาวใช้ก็นำของหวานมากมายมาวางไว้ตรงหน้า นี่เขากะจะฆ่าข้าให้ตายด้วยโรคเบาหวานหรืออย่างไรกัน
“ของชอบของเจ้าทั้งนั้น”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
นางลอบมองยังร่างสูงองอาจใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลากำลังมองมายังนาง จนนางต้องหยิบขนมมาชิ้นหนึ่งก่อนจะกัดมันลงไป ดวงตาฉูฉิงเฟยเป็นประกายเมื่อรับรู้รสชาติที่อร่อยกว่าหน้าตาของมัน หยงฉือที่เห็นดังนั้นก็ระบายรอยยิ้มอ่อนโยนพลางหยิบผ้าขึ้นมายื่นให้กับนาง
“อร่อยหรือไม่”
“อร่อยเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางยิ้มพร้อมรับผ้าขึ้นเช็ดคราบเศษขนมที่ติดตรงริมฝีปาก ก่อนจะหยิบอีกชิ้นหนึ่งมากินจนแก้มตุ้ย
“ท่านพี่ลู่ของเจ้า ใช่คนที่ทิ้งสิ่งนั้นไว้ในห้องหรือไม่”
หยงฉือที่เห็นว่านางผ่อนคลายลงจึงถามคำถามที่กวนหัวใจของเขามาตั้งหลายชั่วยามออกไป
“อึก แค่กๆๆ ” คำกล่าวของหยงฉือทำให้นางถึงกับสำลัก
“ดื่มน้ำก่อนเฟยเอ๋อร์!”
เขารีบรินชาให้กับนางพร้อมกับยื่นไปให้ นางรับมาก่อนจะกระดกรวดเดียวจนหมด ถามอะไรไม่ทันให้ตั้งตัวเลย แล้วนั่นความคิดอะไรของเขากันท่านพี่! แต่เดี๋ยวก่อนนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ดีก็ได้ เมื่อฉุกคิดได้ดังนั้นนางจึงแสร้งทำท่าทีเขินอายแบบดัดจริตที่สุด หยงฉือที่เห็นดังนั้นก็เลือดขึ้นหน้า
“มันทำสิ่งใดกับเจ้าถึงกับต้องทิ้งสิ่งโสมมเช่นนั้นเอาไว้!”
“เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าข้านั้นวรยุทธ์ก็มีและสูงส่งใครจะรังแกข้าได้โดยง่ายกัน” นางกล่าวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวประกอบผู้นี้มีวรยุทธ์ที่เก่งกาจไม่แพ้ผู้ใด แต่นางใช้ไม่เป็นน่ะสิ ฮืออ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพูดไปก่อน หยงฉือที่ได้ยินดังนั้นก็เริ่มคิดถึงความเป็นจริง นั่นสิ นางนั้นเก่งกาจจะตาย ไปออกรบร่วมกับท่านพ่อและเขาหลายครา ฆ่าศัตรูมาตั้งมากมายผู้ใดจะกล้าหยามเกียรตินางกัน
“ที่จริงข้าเป็นผู้ที่ทำให้เขาเสียหายด้วยซ้ำ ข้าจะรับผิดชอบเขาเจ้าค่ะ!” นางยืนกรานเสียงแข็งเมื่อเห็นว่าหยงฉือเริ่มมีทีท่าที่อ่อนลง
“เห้อ เฟยเอ๋อร์เหตุใดเจ้าจึงกระทำสิ่งใดไม่คิดเช่นนี้ แล้วเอ่อ เจ้า”
“อะไรหรือเจ้าคะ”
“จะ เจ้าต้องกินยาห้ามครรภ์เข้าใจหรือไม่ หากปล่อยให้มีบุตรก่อนจะตบแต่งเช่นนี้..”
“ท่านพี่!!”
ใบหน้าสวยเห่อร้อนจนแดงก่ำเมื่อท่านพี่ของนางกล่าวเช่นนั้น แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ในเมื่อนางเป็นคนกล่าวให้เขาคิดเช่นนั้นเอง แง
ทั้งสองคนยังคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะสดใสดังคลอมาจากทางศาลาดึงสายตาคมให้มองไปยังตรงนั้น จางหลิงเหวินที่ถูกบังคับจากเสด็จพ่อให้มาเยี่ยมเยือนฉูฉิงเฟยด้วยเหตุที่ทำให้นางต้องอับอายต่อหน้าผู้คน และยังตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉูโดยที่ไม่ปรึกษา และอาจจะทำให้มีปัญหาในการจัดการกำลังพลที่จะทำศึกอันใกล้นี้ ทำให้เขาโดนตำหนิมาหลายวัน จนในที่สุดวันนี้เขาจึงต้องยอมมายังจวนแม่ทัพแห่งนี้
เบื้องหน้าตรงศาลาปรากฏร่างของหญิงสาวที่สวมชุดเรียบง่ายใบหน้าที่เคยตกแต่งจนหนาและสีแดงชาดบัดนี้กลับถูกตกแต่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเผยให้เห็นใบหน้างดงามขาวสะอาด เขาต้องยอมรับว่าฉูฉิงเฟยนั้นเป็นสตรีที่งดงามยากจะจับตัวยามที่นางเผยเนื้อเนียนสวยของนางไร้สิ่งตกแต่ง หากแต่นิสัยและการกระทำของนางทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนไม่อยากเข้าใกล้ แต่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้กลับเห็นเพียงสตรีงดงามบริสุทธิ์ที่ใบหน้าระบายรอยยิ้มที่สะกดสายตาจนเขาไม่อาจจะละสายตาไปได้ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วราวกับเสียงนกร้องมันหวานใสสลักเข้าไปภายในใจของเขา
จางหลินเหวินสะบัดไล่ความคิดนั้นออกไปเมื่อนึกถึงการกระทำของนางที่ผ่านมา ‘อย่าหลงกลนางเชียว นางอาจจะแสร้งทำเช่นนั้น’
เขาเดินเข้าไปใกล้ด้วยคงไว้ในท่าทีแต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจการมาเยือนของเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนยังพูดจาหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยที่เห็นท่านรองแม่ทัพผู้เงียบขรึมผู้นั้นกำลังป้อนขนมให้กับน้องสาวของเขาอย่างรักใคร่ นี่มันภาพบาดตาอะไรกัน!
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมไอทำให้ทั้งสองหยุดการกระทำลงก่อนจะหันไปมองยังผู้มาใหม่ ฉูฉิงเฟยมองไปยังผู้มาใหม่นั้น ร่างสูงสวมใส่อาภรณ์สูงศักดิ์ดวงตาคมทอดมองมายังนางด้วยแววตาเย็นชา ออร่าความหล่อและความน่ายำเกรงพวยพุ่งมาจากร่างของบุคคลมาใหม่ผู้นี้ เขาอยู่ในชุดสีขาวสะอาดตา รอยถักตามขลิบเนื้อผ้าอย่างดี ดวงตาที่สามารถตีราคาสิ่งของได้ของนางบอกว่านี่มันของแพงมาก!
เมื่อเห็นว่าผู้ใดมาหยงฉือรีบลุกขึ้นก่อนจะค้อมศีรษะลงเคารพผู้มาใหม่ผู้นี้ทันที แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้างที่คนที่ทำให้เฟยเอ๋อร์ของเขาต้องเสียใจมาเยือนถึงในจวน
“คารวะจางอ๋อง ท่านมีธุระกับท่านพ่อใช่หรือไม่ ท่านพ่ออยู่ในเรือนหลัก ท่านไปที่นั่นเพื่อพบท่านพ่อได้เลยขอรับ” หยงฉือกล่าวเสียงแข็งพร้อมกล่าวเหมือนไล่จางอ๋องไปในที
ห้ะ นั่นพระเอกของเรื่องงั้นเหรอ ก็ดูใช้ได้อยู่นะแต่ไม่ใช่สเป็กนางจริงๆ นั่นแหละ หยงฉือเหลือบตามองไปยังฉูฉิงเฟยที่ยังคงนั่งนิ่งมองสำรวจบุรุษมาใหม่ตรงหน้า เขารีบดึงนางเข้ามาให้ทำความเคารพจางอ๋อง
“เฟยเอ๋อร์!”
“รู้แล้วๆ ท่านพี่ก็”
นางละสายตาจากจางอ๋องก่อนจะหันไปค้อนให้หลงฉือ นางย่อกายลงอย่างอ่อนช้อยโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองจางหลินเหวินเลย “คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
นางกล่าวโดยที่ยังก้มหน้าอยู่ ทั้งที่ในยามปกติแล้วนั้นนางจะเข้ามาหาเขาแทบจะทันทีที่เห็นหน้า วันนี้นอกจากนางจะไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนั้นแล้วกลับมิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ
คนตรงหน้ากลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเขายังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนนางต้องช้อนสายตาขึ้นมองไปที่เขากลับพบว่าจางอ๋องผู้นี้กลับจ้องมายังที่นางเช่นกัน นางหลบตาลงเหตุใดเขาถึงจ้องนางเช่นนั้น หยงฉือที่เห็นแล้วว่าท่านอ๋องมองเฟยเอ๋อร์อย่างไม่วางตาจึงพูดขัดขึ้นก่อนที่นางจะถูกมองจนทะลุเป็นพรุน
“เอ่อ ท่านอ๋อง ท่านพ่ออยู่ที่เรือนรับรองขอรับ” หยงฉือกล่าวอย่างขัดใจ ทำน้องของเขาเสียใจแล้วไยจึงต้องมองเช่นนี้
“อืม ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษาท่านแม่ทัพอยู่เช่นกัน” จางหลินเหวินเอ่ยทั้งที่สายตายังไม่ละจากใบหน้างดงามตรงหน้า ฉูฉิงเฟยที่รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมายังนางก็รู้สึกแปลกๆ นางจึงลุกขึ้นก่อนจะกล่าวกับทั้งสองคน
“เช่นนั้นข้าไม่กวนพวกท่านแล้ว เชิญพวกท่านคุยกันเถิดเจ้าค่ะ”
นางทำท่าจะเดินออกไปไม่อยากจะอยู่ในสถานการณ์อึดอัดนี้ แต่แล้วเสียงหนึ่งกลับหยุดนางไว้
“เดี๋ยวก่อน ข้าขอคุยกับฉูฉิงเฟยตามลำพังได้หรือไม่ท่านรองแม่ทัพ” จางหลินเหวินเรียกตัวของนางไว้ก่อนจะหันไปบอกยังท่านรองแม่ทัพที่เริ่มมีสีหน้าเยือกเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด นี่เขาจะต่อยกันไหมเจ้าคะ!
ไม่ๆๆๆ กล่าวไม่สิเจ้าคะ นางส่งสายตาคาดคั้นไปยังท่านพี่ของนาง แต่เขากลับไม่อาจจะขัดคำสั่งของท่านอ๋องได้
“ขอรับ”
ด้วยความที่คนตรงหน้ามีศักดิ์เป็นถึงเชื้อพระวงศ์เขาจึงไม่อาจจะขัดคำสั่งได้ จึงได้แต่ถอยหลังเดินออกไปพร้อมกับมองนางด้วยสายตาละห้อย นางส่งสายตาคาดโทษไปให้กับท่านพี่ของนาง ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้กับพระเอกผู้วางมาดผู้นี้
โอ๊ยตายละแม่เอ๊ยยย ทำกับเขาไว้เยอะ เขาคงจะไม่มากล่าวต่อว่านางหรอกใช่หรือไม่ แถมยังทำตัวไม่ดีเสียอีก ดีแล้วแหละที่เขากล่าวปฏิเสธการหมั้นไปเช่นนั้น แต่ดูจากวีรกรรมของยายฉูฉิงเฟยตัวแสบคงจะกระทำงามหน้าไว้มิใช่น้อย นางสามารถนึกมโนภาพในทันทีว่าตัวประกอบร้ายกาจผู้นี้คงไปเกาะติดและระรานผู้อื่นไปทั่วเป็นแน่
“หม่อมฉันต้องขออภัยเจ้าค่ะ” ยังไม่ทันที่ตัวของจางหลินเหวินจะกล่าวอะไรนาง นางได้ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน เอาวะ วันนี้ก็เอาให้เคลียร์ไปเลยจะได้จบๆ!
“เจ้า ขออภัยข้างั้นรึ”
“ใช่เจ้าค่ะ หม่อมฉันสมควรโดนปฏิเสธแล้ว ด้วยวาจาและการกระทำที่ผ่านมาย่อมทำให้ท่านอ๋องลำบากใจไม่น้อย เพื่อเป็นการไถ่โทษหม่อมฉันจะไม่ยุ่ง ไม่ข้อง ไม่เกี่ยวสิ่งใดกับท่านอีก ห่างร้อยเมตร พันลี้เลยเจ้าค่ะ!”
นางกล่าวยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตากลมตาฉายแววใสซื่อและจริงใจอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“เจ้าไม่คิดโกรธข้างั้นรึที่ทำให้เจ้าเสียหน้าเช่นนั้น” เขากล่าวเรื่องที่สงสัย แม้จะมีข่าวแว่วว่านางประชดเขาด้วยการปรนเปรอบุรุษ แต่ยามนี้เขากลับไม่เห็นคำประชดหรือแง่งอนในการกระทำของนางเลย
“ไม่เจ้าค่ะ เรื่องที่แล้วมาเป็นหม่อมฉันที่ทำให้ท่านลำบาก หม่อมฉันควรขอให้ท่านอย่าโกรธหม่อมฉันเสียมากกว่า”
นางยิ้มก่อนที่จะตอบเขา เขามองรอยยิ้มที่สดใสของนางราวกับนางเปลี่ยนเป็นคนละคน จู่ๆ ใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ขะ ข้าต้องขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ! พวกเราเข้าใจกันแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”
นางกล่าวพร้อมกับที่กำลังจะเดินจากไป เพียงไม่กี่วันเท่านั้นนางกลับลืมเลือนเขาได้ง่ายดายเช่นนี้งั้นรึ รึว่าจะมีบุรุษที่ทำให้นางพึงใจได้มากกว่าเขาจริงๆ กัน
“เดี๋ยวก่อน”
นางชะงักเท้าลงอีกครั้ง 'ไอ้นี่ก็ขยันเดี๋ยวก่อนจริงวุ้ย'โธ่ ตื๊อเสียจริงเรียกอะไรหนักหนาเล่าเจ้าคะ! นางเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงพยายามสงบจิตสงบใจก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเขาอีกครั้ง
“ว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางถามลอดไรฟัน
“เรือนรับรองไปทางไหนงั้นรึ นำทางข้าไปได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
'พ่อพระเอกหน้าหล่อแต่ไม่ใช่สเป็กอะ ไม่กร้าวใจเท่าพี่ลู่เลย'
นางยิ้มรับก่อนจะรีบเดินนำทางไปเมื่อหันหลังให้กับเขาแล้วใบหน้างดงามก็หุบยิ้มลงทันที ให้ตายสิเมื่อไหร่นางจะได้อยู่สงบๆ คนเดียวกัน!