บทที่6. หลักทรัพย์ค้ำประกัน

1196 Words
“หน้าตารินดูออกขนาดนั้นเลยหรือคะ” รินรดาหัวเราะ “หนูริน...” ปานชีวาถอนหายใจ “ถึงจะมีชื่อเป็นลูกบุญธรรมแต่เขาก็เลี้ยงดูเราเหมือนคนรับใช้ จะไปทนอยู่ทำไมละ หนูรินก็ตอบแทนบุญคุณมามากพอแล้ว ต้องลาออกจากเรียนพยาบาลย้ายข้ามสายวิชาชีพมาทำงานดูแลบริษัทอีกต่างหาก แค่นี้มันก็มันก็มากพอแล้วล่ะ” “แต่มันก็เป็นบริษัทของพ่อ” หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ “รินทำงานที่นี่ก็เหมือนได้ใกล้ชิดพ่อ พ่อคงไม่อยากเห็นรินทอดทิ้งบริษัทที่พ่อสร้างขึ้นกับมือ” “ถ้าคุณพ่อหนูอยู่ก็คงคิดอย่างนั้น แต่หนูรินอยู่อย่างนี้เป็นแค่เลขาฯ ไม่ได้นั่งในตำแหน่งสูงอะไรเลย ถ้าปล่อยวางได้ก็ปล่อยซะเถอะนะ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำดีกว่ายังไงมันก็ชีวิตเราเองเลือกมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นดีกว่า” รินรดาฝืนยิ้มที่มุมปาก แม้ใบหน้าหวานจะมีรอยยิ้มแต่ในใจเธอเหมือนกำลังร้องไห้ ทั้งอยากประคองบริษัทไว้แต่อีกใจก็อยากเดินในหนทางของตนเอง อาจจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือเริ่มจากไม่มีอะไรเลยแต่มันก็คือหนทางชีวิตที่เธอเลือกเดิน คุณแพรวาเดินหยิบกระเป๋าหลุยส์เข้าไปในห้องทำงานของสามี นางไม่ได้สนใจสามีที่นั่งหน้าเครียดกับตัวเลขแดงๆ ในบัญชี “คุณค่ะ ทำไมฉันรูดบัตรไม่ผ่านละคะ ฉันกับลูกจองกระเป๋าหนังจระเข้ไว้คนละใบด้วย น่าอายจริงๆ เลย” “กระเป๋า? กระเป๋าอะไร? เพิ่งซื้อไปไม่ใช่เหรอคุณ” “นั้นมันตั้งสองเดือนก่อนค่ะ” คุณแพรวาทิ้งตัวนั่งที่โซฟารับแขกในห้อง “แล้วเดือนที่แล้วคุณซื้ออะไรไปตั้งแสนกว่าบาท” “สร้อยเพชรนะคะคุณ” ภรรยาหัวเราะคิกคัก “ฉันทำเพื่อคุณนะคะ ถ้าใส่เพชรเม็ดเล็กก็อายคนอื่นเขานะซิ” “พอเถอะ! แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาให้คุณใช้แล้วนะ” “คุณพูดอะไรคะ” คุณแพรวามองหน้าสามีอย่างงงๆ “เงินแค่นี้ทำเป็นบ่นไปได้” “ก็เพราะคุณคิดแบบนี้ไง เราจะล้มละลายกันอยู่แล้ว” คุณวิทยาเผลอตะคอกภรรยา “ใช้เงินกันเดือนละสามสี่แสนเป็นว่าเล่นแบบนี้ผมจะหาที่ไหนมาให้คุณผลาญได้เล่า” “ทำเป็นซีเรียสไปได้” แพรวาบีบไหล่สามีอย่างเอาใจ “คุยกับธนาคารหรือยังคะ” “ทั้งธนาคารทั้งไฟแนลไม่มีใครเพิ่มวงเงินให้เราแล้ว” “คุณพูดจริงเหรอคะเนี้ย” คราวนี้คุณแพรวาเริ่มหน้าเสีย ปกติเธอไม่ค่อยเห็นสามีเคร่งเครียดอย่างนี้ “ฉันจองกระเป๋าไว้เอาไงดี ไม่ไปเอาก็อายคนอื่นแย่” “นี่ยังจะห่วงกระป๋งกระเป๋าบ้าบอนั้นอีกเรอะ!” “คุณอย่ามาเสียงดังใส่ฉันซิ!” คุณแพรวาลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าสามี “ก็เอาเงินบริษัทมาใช้ก่อนก็ได้นิ” “ผมโยกเงินจนจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่แล้ว” “แล้วจะทำยังไง กู้นอกระบบไม่ได้เลยหรือคะ” “ผมกู้จนเขาไม่ยอมให้กู้แล้ว นอกจากจะหาหลักทรัพย์ไปค้ำประกันหรือไม่ก็จ่ายเงินของเก่าเขาก่อน” “งั้นก็เอารถไปค้ำซิคะ” แพรวายักไหล่ “รถเรามีตั้งหลายคัน ง่ายจะตายไป” “รถก็ไม่เหลือแล้ว ไฟแนลจะมายึดอยู่แล้ว ผมไม่ได้จ่ายค่างวดมาห้าเดือนแล้ว” “แล้วบ้านละคะ” “บ้านก็เข้าธนาคารไปตั้งนานแล้วไง” คนเป็นสามีหัวเสียที่ภรรยาไม่รู้เรื่องอะไรเลย “ที่คุณไปกู้นี่คุณพิชญะที่ว่าเป็นเศรษฐีชาวไร่อะไรนั้นเหรอคะ” ภรรยาเสียงอ่อนลง  “ใช่ คนอ้วนๆ ที่คุณเคยเจอที่โรงแรมเมื่อสามสี่เดือนก่อนไง “ วิทยาถอนหายใจหนักๆ เมื่อนึกถึงข้อเสนอของเจ้าหนี้รายใหญ่ที่พร้อมปล่อยกู้ให้อีกเท่าตัวถ้าเขา.... “คุณพิชญะไม่ยอมปล่อยกู้เพิ่มแล้วนอกจาก...นอกจาก...” “อะไรคะ คุณพิชญะอยากได้อะไร?” “เขาอยากได้ลูกสาวเราไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน!” “คุณพระคุณเจ้าช่วย” คุณแพรวายกมือทาบอกอุทาน “จะเอาลูกสาวเราไป... บ้านะซิ! ฉันไม่ยอมให้ลูกมาร์กี้ไปอยู่กับคนอย่างนั้นหรอก ถ้ารวยสักพันล้านก็ค่อยว่ากัน” “ได้ข่าวว่ารวยระดับนั้นแหละ” คุณวิทยาไม่รู้จะจัดการปัญหาชีวิตยังไง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อคุณวิทยาอนุญาตแล้ว รินรดาเดินเข้ามาพร้อมน้ำส้มกับคุ้กกี้ เธอวางถาดลงที่โต๊ะรับแขกในห้องท่านประทาน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของทั้งสองสามีภรรยาจึงไม่พูดอะไร ร่างบางจัดการทุกอย่างแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว คุณแพรวามองร่างในชุดเดรสสีเทาเชยๆ เดินผ่านสายตาจนพ้นประตูห้องทำงาน เธอเดินปิดประตูเพื่อความแน่ใจอีกครั้งแล้วรีบเดินกลับมาหาสามีด้วยสีหน้าระรื่น  “คุณคะ ฉันมีวิธีช่วยคุณแล้วค่ะ” “ช่วยยังไง? จะเอากระเป๋าแบรด์เนมออกมาขายหรือไง” “โอ๊ย! ฉันไม่ยอมทำแบบนั้นแน่ๆ อายคนอื่นเขา” ภรรยาหยิกต้นแขนสามีเป็นเชิงหยอก แล้วกระซิบกับสามีทั้งที่ในห้องมีกันอยู่แค่สองคน “ถ้าเรายกลูกสาวเราให้ เขาจะให้เงินเราเท่าไหร่คะ” “ให้อีกห้าล้านแถมล้างหนี้เก่าห้าล้านที่ค้างอยู่ให้ด้วย” คุณแพรววาหัวเราะคิกคัก “ถ้าเขาอยากได้ลูกสาวเราก็ยกให้เขาไปซิคะ” “คุณจะบ้าเรอะ! ผมมีลูกสาวคนเดียวผมไม่ยอมขายลูกกินเด็ดขาด!” “คุณลืมไปหรือเปล่าคะว่าเรามีลูกสาวสองคน” “?” ภรรยาแหงนหน้าหัวเราะ “เจ้าหนี้เราไม่ได้ระบุว่าจะ”เอาลูกสาวคนไหนไม่ใช่เหรอคะ งั้นเราก็ส่งลูกสาวคนเล็กของเราไปซิคะ” วิทยาเพิ่งคิดตามที่ภรรยาพูดแล้วก็พยักหน้าอย่างเพิ่งนึกได้ “แล้วมันจะดีเหรอ รินรดาจะยอมเรอะ” “จะยากอะไรคะ ก็อย่าให้รู้ซิ” ภรรยาเบ้ปากนิด “ถึงเป็นลูกบุญธรรมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ยังไงก็ต้องทำได้ไม่งั้นก็จะเป็นคนอกตัญญู” “มันก็จริงอย่างที่คุณพูด” สามีเห็นคล้อยตามที่ภรรยาเสนอ “ถ้างั้นคุณก็ไปตกลงเจรจากับคุณพิชญะได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องรินรดาทางฉันจะจัดการเอง” คุณแพรวาเดินมานั่งที่โซฟาแล้วยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม อารมณ์หงุดหงิดเริ่มเบาบาง เธอจะได้กระเป๋าที่จองไว้แล้วก็มีเงินใช้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหรอกนะรินรดา ยกให้เป็นเมียไปเลยไม่ต้องกลับมาให้รกหูรกตาอีกนั้นแหละดีที่สุด!.  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD