บทที่ 3 สตรีจากแดนไกล! - 2

1377 Words
ปานฤทัยมองเรือนหลังใหญ่ด้วยสายตาเรียบเฉย ดูไปแล้วการจัดวางห้องหับต่าง ๆ เหมือนกับบ้านร้างที่เธอไปเดินสำรวจมา เพราะเมื่อเดินเข้าไปก็เจอกับชานบ้านซึ่งใช้สำหรับนั่งเล่นเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนคือบ้านหลังนี้มีผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งนั่งอยู่ และกำลังมองเธอตาแทบไม่กะพริบ "คุณพ่อขอรับ" ชายหนุ่มที่บังคับพาเธอมา เรียกผู้ชายคนนั้นว่าคุณพ่อ ปานฤทัยจึงยกมือไหว้อีกฝ่ายในฐานะที่เขาอาวุโสกว่า จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งพับเพียบบนสาดตามเขา "แม่หญิงผู้นี้รึที่เอ็งเล่าให้พ่อฟัง" น้ำเสียงของชายสูงวัยผู้นั้นฟังดูอบอุ่น ไม่ดุดันเหมือนบุตรชายของเขาเลยสักนิด "ขอรับ กระผมเห็นมายืนแอบอยู่หลังครัว คงคิดจักมาขโมยอาหารไปกิน จึงจับตัวมาพบคุณพ่อ ดูเหมือนสติจะมิเต็มเต็ง วาจาก็แปลกประหลาดนักขอรับ" ปานฤทัยหันไปมองค้อนคนพูดทันทีที่อีกฝ่ายมาหาว่าตนสติไม่ดี แต่พอคิดไปคิดมาก็อดขำไม่ได้ เธอก็คิดว่าเขาเป็นคนบ้า เขาเองก็คิดว่าเธอสติไม่เต็มเต็ง "ชื่อกระไรรึแม่หญิง" ชายสูงวัยคนนั้นถามเธอเสียงอ่อน ปานฤทัยรู้สึกได้ถึงมิตรไมตรีที่อีกฝ่ายมีให้ จึงยิ้มอย่างจริงใจก่อนจะตอบไปว่า "ปานฤทัยค่ะ ชื่อเล่นว่ามาย" เธอเห็นเขาพยักหน้ารับรู้ คิดแล้วอดแปลกใจไม่ได้ที่ชายสูงวัยคนนี้ไม่มองเธอแปลก ๆ เหมือนคนอื่น เธอเห็นเขานั่งนับนิ้วทำท่าครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้นมาว่า "ปีนี้อายุสิบแปดแล้วสินะ" ปานฤทัยเบิกตากว้าง "ใช่ค่ะ คุณลุงรู้ได้ยังไงคะ" ลุงคนนั้นไม่พูดอะไร เขาแค่ยิ้มนิด ๆ มองสร้อยตะกรุดที่ห้อยคอของเธอสักพักแล้วพูดอีกว่า "ขอลุงดูตะกรุดของเอ็งได้หรือไม่" "ได้ค่ะ" เธอถอดสร้อยหนังออกทางศีรษะแล้วยื่นส่งให้ อีกฝ่ายรับไปดูครู่ใหญ่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ แล้วยื่นสร้อยตะกรุดคืนให้เธอ "อย่าทำหายเสียเล่า แล้วนี่เอ็งมิมีที่ไปใช่หรือไม่" ได้ยินเขาถามอย่างนั้น กระบอกตาของปานฤทัยก็ปวดหนึบขึ้นมาทันที เธอมีบ้าน มีครอบครัว แต่เธอกลับไปหาพวกเขาไม่ได้ และไม่รู้ด้วยว่าจะกลับไปอย่างไร จึงได้แต่พยักหน้าให้อีกฝ่ายแทนการยอมรับ เพราะคิดว่าอย่างไรเสียหากสองพ่อลูกให้เธอพักที่นี่ ยังดีกว่าที่ต้องไปนอนหนาว ๆ มืด ๆ เพียงลำพังในบ้านร้าง "เช่นนั้นก็พักที่นี่เถิด คิดเสียว่าเป็นเรือนของเอ็งนะ" "คุณพ่อว่ากระไรนะขอรับ จะให้สตรีผู้นี้พักที่เรือนของเรากระนั้นหรือ" จู่ ๆ ชายหนุ่มที่คนในเรือนพากันเรียกว่าคุณพระก็โพล่งขึ้นมาราวกับตกใจนักหนา ปานฤทัยจึงมองหน้าเขาแล้วยักคิ้วให้ข้างหนึ่งพร้อมกับยิ้มมุมปาก "ขออาศัยอยู่ด้วยชั่วคราวนะคะคุณพระ" สิงห์คำขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนมองหน้าปานฤทัย ก่อนหันไปพูดกับบิดาอีกครั้ง "แต่คนผู้นี้เป็นมาอย่างไรเราหารู้ไม่นะขอรับคุณพ่อ" อินตายิ้มเอ็นดูให้หญิงสาว "เอ็งมาจากที่ใดรึ" "เชียงใหม่ค่ะ เห็นคุณพระบอกว่าที่นี่คือเชียงสานคร ไม่ทราบว่าเป็นพ.ศ.อะไรหรือคะ แล้ว...เอ่อ...อยู่ในประเทศไทยรึเปล่า" ครั้นพอพูดออกไปแล้วปานฤทัยนึกขึ้นได้ว่าหากนี่คือการย้อนอดีตกลับมาจริง ๆ ประเทศไทยน่าจะถูกเรียกว่าสยามกระมัง จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ "หนูหมายถึงสยามน่ะค่ะ" "สิ่งใดคือพ.ศ." สิงห์คำมองหญิงสาวอย่างสงสัยใคร่รู้ ส่วนคนถูกมองนั้นได้แต่คิดวุ่นวายอยู่ในหัวว่าถ้าที่นี่ไม่เรียกพุทธศักราชแล้วจะใช้คำไหนมาเรียกแทน เวรแล้วไหมละ เนี่ยแหละผลของการไม่ตั้งใจเรียนประวัติศาสตร์! ปานฤทัยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พยายามอธิบายในแบบของตนเพื่อให้สองพ่อลูกเข้าใจสิ่งที่เธอพูด "หมายถึงปีน่ะค่ะ ปีนี้คือปีอะไร" หญิงสาววาดมือไปมากลางอากาศ สิงห์คำก็คงเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อ เพราะเขาพยักหน้าช้า ๆ และเป็นฝ่ายตอบเองว่า "จุลศักราชที่เจ็ดร้อยสิบเจ็ด" "อ๋อ...เรียก จ.ศ.สินะ ไม่ใช่ พ.ศ." แล้วเจ็ดร้อยสิบเจ็ดนี่มันคือพุทธศักราชที่เท่าไรล่ะ...อืม...ช่างมันเถอะ ปานฤทัยรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันทีเพราะรู้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าตนได้ย้อนเวลากลับมาอดีตจริง ๆ หนำซ้ำยังเป็นอดีตที่เธอไม่รู้ด้วยว่าเป็นพุทธศักราชที่เท่าไร สมัยของพระเจ้าหรือกษัตริย์องค์ไหน เพราะถึงเขาจะบอกมา เธอก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเธอนั้นมีแค่หางอึ่ง "เอ็งกินข้าวแล้วหรือไม่" อินตาถามสมาชิกใหม่ของเฮือนคำ ปานฤทัยได้ยินคำถามจึงรีบส่ายหน้าไปมาทันที "ยังค่ะ ยังไม่ได้กินอะไรเลย กำลังหิวพอดี" เธอพูดจบก็ลอบมองคนที่นั่งอยู่อีกด้าน จะว่าไปแล้วต้องขอบคุณเขาที่อุตส่าห์บังคับพาเธอมาที่นี่ ดังนั้นปานฤทัยจึงหันไปยิ้มหวานให้เขาพร้อมกับยกมือไหว้ "ขอบคุณนะคะคุณพระที่พามายมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นคืนนี้มายต้องนอนหนาวอยู่คนเดียวในบ้านร้างมืด ๆ แน่เลย ว่าแต่คุณพระชื่ออะไรหรือคะ หรือว่าชื่อพระ" เธอพูดจบ ผู้อาวุโสสุด ณ ตรงนี้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนตอบ "สิงห์คำ เอ็งจะเรียกอ้ายสิงห์คำหรือเรียกคุณพระเหมือนเดิมก็ย่อมได้ ลุงชื่ออินตา" "งั้นหนูเรียกคุณพระกับคุณลุงก็แล้วกันค่ะ ส่วนตัวหนูเรียกมายก็ได้นะคะ เพราะแม่กับพี่สาวก็เรียกแบบนี้" อินตาพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ "ที่แห่งนั้นเอ็งอยู่ดีมีสุขใช่หรือไม่" "ค่ะ หนูสุขสบายดี" สิงห์คำเฝ้ามองบิดากับสตรีแปลกหน้าพูดคุยโต้ตอบกันราวกับรู้จักกันมาช้านานด้วยแววตาฉงน แต่กระนั้นเขามิคิดถามท่านตอนนี้ เขาจักรอเพลาที่อยู่กับบิดาสองคนแล้วค่อยถาม ตอนเขาวิ่งไล่แม่หญิงผู้นี้ในป่า เขากลัวว่าจักถูกอาคมของอีกฝ่ายเข้าจึงระวังภัยอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งตอนที่จับตัวได้ แต่หล่อนกลับมิลงมือทำอะไร ทั้งยังมิมีกลิ่นอายของผู้ที่มีอาคมติดตัวเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกฉงนยิ่งนัก "เรียกไอ้ก๋องกับแม่หล้ามาที" อินตาเอ่ยกับบุตรชาย สิงห์คำจึงหันไปตะโกนเรียกบ่าวคนสนิท "ไอ้ก๋อง!" "ขอรับคุณพระ!" ก๋องวิ่งหน้าตื่นขึ้นเรือนมา เมื่อถึงบริเวณชานบ้านจึงทรุดตัวลงคลานเข่าเข้ามาหาผู้เป็นนาย "เอ็งไปตามแม่หล้ามา บอกบ่าวในครัวให้ยกสำรับมาสามที่บัดเดี๋ยวนี้" อินตาสั่งบ่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้อยหลังก๋องแล้วจึงพูดกับบุตรชายว่า "หากมีผู้ใดถามเรื่องปานฤทัย ให้บอกว่าเป็นญาติฝ่ายแม่มาจากเชียงใหม่ เข้าใจหรือไม่" สิงห์คำเหลือบมองญาติฝ่ายแม่ แล้วพยักหน้ารับ "ขอรับคุณพ่อ" "นับจากนี้ให้แม่ปานฤทัยพักอยู่เฮือนคำ ธรรมเนียมของชาวเชียงสาให้แม่หล้าเป็นผู้สอนสั่ง เอ็งมาอยู่ที่แห่งนี้จักมิรู้ธรรมเนียมมิได้ เครื่องแต่งกายก็จักต้องใส่อย่างชาวเชียงสา" อินตาบอกปานฤทัยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเช่นเคยราวกับบิดาสั่งสอนบุตร ปานฤทัยจึงผงกศีรษะรับคำแต่โดยดี "ค่ะ เอ๊ย...เจ้าค่ะ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD