"กระผมเคยไปเชียงใหม่เมื่อครั้งธุดงค์ ชาวเชียงใหม่มิได้แต่งกายเยี่ยงนี้หนาขอรับคุณพ่อ" สิงห์คำยังคงไม่ไว้ใจสตรีแปลกประหลาดผู้นี้ ขณะที่คนฟังอย่างปานฤทัยได้แต่กลอกตามองบนแล้วพูดเสียงเอื่อยว่า
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โจร ขโมยปลาแค่จานเดียวเองอย่าทำซีเรียสนักสิ"
สิงห์คำขมวดคิ้วมุ่นแล้วพูดว่า "ชาวเชียงใหม่มิได้พูดจาแปลกประหลาดฟังมิรู้ความเยี่ยงนี้ด้วยขอรับ"
"คำก็แปลก สองคำก็ประหลาด" ปานฤทัยยู่หน้าใส่เขาก่อนหันไปหาลุงอินตาแล้วพูดว่า
"คุณลุงเจ้าขา ดูเหมือนคุณพระจะรังเกียจหนู" เธอพูดจบ สองพ่อลูกก็ทำหน้างุนงงสงสัย เธอจึงลองทวนประโยคของตนเมื่อครู่ก็คาดเดาได้ว่าสองหนุ่มต่างวัยนี้คงไม่เข้าใจคำว่ารังเกียจ จึงลองพูดใหม่
"หนูหมายถึง คุณพระชังหนู"
"ข้าหาได้ชังเอ็งไม่ แต่ข้ามิไว้ใจเอ็งต่างหาก" สิงห์คำโพล่งขึ้นมาทันที
"โธ่คุณพระ ฉันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวจะไปทำอะไรใครได้ ถ้าคุณพระไม่ไว้ใจฉันก็ให้คนมาเฝ้าไว้ก็ได้นี่นา"
สิงห์คำมองหน้าเธอ ปานฤทัยจึงจ้องกลับพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้อย่างผูกมิตร แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็หลบตาไป อีกทั้งยังมีสีหน้าแปลก ๆ ราวกับว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูก
"เอ็งชื่อกระไรแน่ ปานฤทัย มาย หนู ฉัน" เขาถามเธอเสียงเข้ม แต่คราวนี้ไม่ยอมมองหน้า
"ชื่อจริงคือปานฤทัย ชื่อเล่นหรือชื่อที่คนสนิทและคนในครอบครัวเรียกกันคือมาย หนูคือคำแทนตัวที่ใช้เวลาพูดกับผู้ใหญ่ ฉันคือคำแทนตัวที่ใช้เวลาพูดกับคนรุ่นเดียวกัน"
"เช่นนั้นก็เรียกฤทัยดีหรือไม่ ชาวบ้านที่นี่จักมีชื่อเดียว เว้นเสียแต่ว่ามี ยศถานำหน้าชื่อ" อินตาแนะอย่างเป็นกลาง ปานฤทัยจึงพยักหน้าเห็นด้วย
"เจ้าค่ะ"
ก๋องพาแม่หล้าเดินขึ้นเรือนมาตามคำสั่งพระยาอินตา ปานฤทัยหันไปมองจึงจำได้ว่าอีกฝ่ายคือผู้หญิงสูงวัยที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าของทุกคนจึงยกมือไหว้และยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
แม่หล้ามองหญิงสาวแปลกหน้าที่แต่งกายแปลกประหลาดอย่างสนใจแลสงสัย อินตาจึงเอ่ยขึ้นว่า
"แม่หล้า แม่หญิงผู้นี้ชื่อฤทัย เป็นญาติมาจากเชียงใหม่ อาจยังมิรู้ธรรมเนียมของชาวเชียงสานัก แม่หล้าช่วยอบรมสั่งสอนแลให้บ่าวมาจัดห้องบนเรือนด้วยหนา" อินตาพูดจบก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เมื่อมองสตรีผู้มาจากแดนไกลคนนี้ จึงเอ่ยอีกว่า
"จัดหาผ้าผ่อนให้แม่หญิงด้วย สอนแม่หญิงด้วยว่าต้องทำเยี่ยงไร"
"เจ้าค่ะ" แม่หล้ารับคำแล้วลงเรือนไป
ปานฤทัยหันไปมองอินตา หญิงสาวอ้าปากจะถามแต่ก็ไม่ถาม ได้แต่เงียบเอาไว้จนกระทั่งบ่าวหญิงทยอยยกสำรับขึ้นมาวางไว้ตรงหน้า ปานฤทัย ตาวาวขึ้นทันที รีบใช้มือวางทาบท้องของตัวเองเอาไว้เพราะกลัวว่ามันจะส่งเสียงโครกครากประจานเจ้าของให้ได้อับอายกันตรงนี้
อาหารที่เห็นส่วนใหญ่มักทำจากผักเช่นปลีกล้วย ผักหวาน ยอดมะขาม เนื้อสัตว์ก็มีปลากับไก่ แต่แกงชื่ออะไรบ้างนั้นปานฤทัยไม่รู้ เพราะหน้าตาไม่เหมือนแกงหรือกับข้าวที่ตนกินในปัจจุบันแม้แต่น้อย แต่ยังดีที่มีข้าวนึ่ง หรือข้าวเหนียวมาให้พออุ่นใจได้บ้าง ส่วนช้อนส้อมนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตอนเธออยู่บ้านก็มักใช้วิธีปั้นข้าวเหนียวจิ้มกับข้าวอยู่แล้ว
ปานฤทัยยังไม่กล้ากินเพราะเห็นสิงห์คำยังคงนั่งเฉย เธอจะรอให้เขากินก่อนแล้วตนค่อยกินตาม ซึ่งหญิงสาวสังเกตว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสสุดทำการ เปิดงานแล้ว สิงห์คำจึงค่อยลงมือกิน และเธอก็กินตามเขา
ทั้งสามคนนั่งกินกันไปเงียบ ๆ จนกระทั่งบ่าวมายกขันโตกออกไปแล้ว อินตาจึงถามหญิงสาวคราวลูก
"กินได้หรือไม่"
ปานฤทัยได้แต่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า "ดีเจ้าค่ะ"
จืดดี เหมือนไม่ได้ปรุงเลย...หญิงสาวได้แต่ต่อประโยคอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกไป เสียดายที่เธอทำกับข้าวไม่เก่ง มิเช่นนั้นถ้าต้องอยู่ที่นี่นาน ๆ คงได้ลงครัวเองแล้ว
ระหว่างนั้นมีบ่าวคนหนึ่งเดินมาบอกว่าห้องของปานฤทัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว อินตาจึงให้หญิงสาวไปดูห้องของตนเอง เธอจะลุกไปดูแต่เพราะติดขัดที่ขาข้างหนึ่งของตนเส้นพลิกจนลุกเดินไม่สะดวกนัก เงยหน้าขึ้นเห็นสิงห์คำยืนตัวตรง และทำท่าจะผละจากไป เธอจึงรีบเรียกเอาไว้ก่อน
"คุณพระเจ้าคะ"
สิงห์คำหันมามอง ปานฤทัยจึงยื่นมือของตัวเองให้แล้วพูดว่า
"ช่วยดึงขึ้นหน่อยได้ไหมคะพี่ชาย เจ็บขาน่ะ ลุกไม่ขึ้น" ไม่พูดเปล่า แต่เธอเลิกขากางเกงขึ้นให้เขาดูด้วยว่าบริเวณข้อเท้าตอนนี้บวมมากแค่ไหน
สิงห์คำขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจ เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ผู้เป็นบิดาก็พูดขึ้นมาก่อน
"เอ็งช่วยน้องหน่อย คิดเสียว่าเป็นน้องเป็นนุ่ง"
สิงห์คำพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดจนปานฤทัยอดหมั่นไส้ไม่ได้ ถ้าข้อเท้าเธอไม่บวม เธอก็ไม่อยากขอความช่วยเหลือจากเขาหรอก
แต่แล้วปานฤทัยก็ต้องมองชายหนุ่มด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อจู่ ๆ เขาก็ยื่นบางอย่างมาให้เธอจับ
ฝักดาบเนี่ยนะ!
ปานฤทัยมองฝักดาบที่น่าจะทำจากเหล็ก และมีการสลักอักขระบางอย่างไว้เป็นแถว ๆ อย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะมองเลยไปที่ใบหน้าของเจ้าของดาบ ก็แค่ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นเท่านั้นเองแต่เขากลับไม่ยอมทำ ดันยื่นฝักดาบมาให้เธอจับแทนการพยุงเสียได้
ครั้นพอคิดอีกที อาจเป็นเพราะผู้ชายสมัยก่อนจะระวังเรื่องการแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงก็เป็นได้กระมัง
คิดได้ดังนั้น หญิงสาวจึงใช้มือข้างหนึ่งคว้าฝักดาบของเขาไว้แน่น อีกข้างก็วางทาบกับพื้นเพื่อเป็นแรงส่ง แล้วดึงตัวเองขึ้น ทว่าเมื่อยืนได้แล้ว ปานฤทัยเผลอลงน้ำหนักบนเท้าข้างที่เจ็บ ส่งผลให้เจ้าตัวรีบชักเท้าขึ้นจากพื้นทำให้ต้องยืนขาเดียว แต่เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี หญิงสาวจึงโงนเงนทำท่าจะล้มลงไปอีกครั้ง
ปานฤทัยคิดว่าคราวนี้คงไม่แคล้วได้เจ็บสะโพกกับก้นเพิ่มขึ้นมาอีกแน่ แต่ใครจะคาดคิดว่าคนที่ไม่ยอมยื่นมือมาให้เธอจับตอนแรก คราวนี้เขากลับทิ้งดาบลงพื้นแล้วคว้าจับแขนของเธอเอาไว้ทั้งสองข้าง!
"ยืนให้มั่น!" เขาพูดเสียงดุแล้วรีบปล่อยแขนเธอด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่น
"ไอ้ก๋อง! มึงมานี่"
ปานฤทัยแอบหันไปมองอินตา เห็นอีกฝ่ายนั่งอมยิ้มแล้วหลับตานิ่งเหมือนเข้าฌานไปแล้วจึงไม่กล้ารบกวน คิดว่าสิงห์คำน่าจะให้ก๋องช่วยพยุงพาเธอไปที่ห้อง แต่พอก๋องมาถึง เขาก็สั่งความกับบ่าวคนสนิทว่า
"มึงไปตามแม่อุ๊ยขึ้นมา นำยาคลายปวดเส้นมาให้แม่หญิงแลตามบ่าวหญิงมาอีกสองคน"
หญิงสาวได้แต่ยืนทำหน้าง้ำด้วยความปวด ตอนใช้ไม้เท้าพยุงเดินมาก็ยังไม่ปวดเท่านี้ แต่พอทิ้งระยะเวลาไปไม่เท่าไร ความเจ็บปวดกลับทบทวีจนอยากร้องไห้