"คุณพ่อขอรับ กระผมเจอแม่หญิงผู้หนึ่งแถวเฮือนปัน แต่งกายประหลาดนัก น่าจักมีอาคมแกร่งกล้าเพราะหายตัวได้ราวกับผีสาง แต่กระผมเจอตอนกลางวันมิใช่กลางคืน"
เฮือนปันที่สิงห์คำพูดถึงคือเรือนร้างหลังนั้น หลังจากอินตาได้ยินที่บุตรชายเล่าก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"เอ็งได้คุยกับแม่หญิงผู้นั้นหรือไม่"
สิงห์คำส่ายหน้า "ไม่ขอรับ กระผมซุ่มจับตัวแต่ยังจับมิได้ เรื่องที่เฮือนรินกระผมคิดว่าน่าจักเป็นฝีมือของแม่หญิงผู้นี้"
"สิงห์คำ ถ้าเอ็งจับแม่หญิงผู้นั้นได้ พ่อขอให้เอ็งพามาพบพ่อก่อน เอ็งอย่าลงมือเป็นอันขาด" อินตากำชับบุตรชายด้วยสีหน้าจริงจัง สิงห์คำรู้สึกฉงน แต่พยักหน้ารับคำ
"ขอรับคุณพ่อ"
"อย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด" อินตากำชับอีกเรื่อง บุตรชายพยักหน้ารับแต่โดยดี
"เช่นนั้นกระผมจักไปดักซุ่มอีกครา หากครานี้จับตัวได้ กระผมจักพามาพบคุณพ่อขอรับ"
"ไปเถิด"
สิงห์คำลุกขึ้นแล้วเดินลงจากเรือน เมื่อเดินผ่านเรือนด้านหลัง มีบ่าวชายผู้หนึ่งเดินค้อมตัวเข้ามาแล้วยกมือกระพุ่มไหว้แนบอก
"คุณพระขอรับ"
"มีเรื่องอันใด"
"หลายวันมานี้คุณพระไปที่แห่งใดหรือขอรับ เหตุใดมิให้กระผมติดตามไปด้วย"
"กูไปที่ใดกูต้องแจ้งมึงทุกครั้งกระนั้นรึไอ้ก๋อง" สิงห์คำแกล้งโมโหใส่บ่าวคนสนิท
"มิใช่ขอรับ แต่กระผมเป็นบ่าวประจำตัวคุณพระ คุณพระไปที่ใดกระผมย่อมต้องตามไปรับใช้สิขอรับ"
"ครานี้กูจักไปคนเดียว มึงมิต้องตามกูมา"
"มิใช่ว่าคุณพระไปต้องตาแม่หญิงบ้านอื่นหรือขอรับ"
ก๋องยิ้มแป้น ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปให้พ้นหน้าแข้งของผู้เป็นนาย
สิงห์คำส่ายหน้าช้า ๆ พลางยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย กำลังจักเดินต่อ พลันได้ยินเสียงหญิงชราจากด้านหลัง
"คุณพระเจ้าขา"
"ว่าอย่างไรอุ๊ยหล้า" น้ำเสียงของสิงห์คำอ่อนโยนลงกว่าตอนพูดกับก๋อง บ่าวประจำตัว
"เมื่อตอนเที่ยงวัน มีโจรมาลักสำรับเจ้าค่ะ"
สิงห์คำได้ยินจึงนึกถึงจานปลาที่เห็นบนชานเรือนร้างขึ้นมาทันใด แม่หญิงผู้คนนั้นคงมาขโมยสำรับจากเรือนของเขาแน่แล้ว มิแน่ว่าใกล้ย่ำค่ำนี้อาจจักมาขโมยอีก
"คงเป็นลิงมาขโมยไปกินกระมังแม่อุ๊ย ข้าได้ข่าวมาว่าพวกฮ่อที่อยู่ท้ายคุ้งน้ำเอาลิงมาเลี้ยง แม่อุ๊ยอย่าได้ตื่นตระหนกไป อย่าลืมว่าที่นี่คือเฮือนคำ คงมิมีโจรที่ไหนใจกล้ามาขโมยของตอนฟ้าแจ้งกระมัง" เขามิต้องการให้บ่าวไพร่ในเรือนตื่นตระหนกกับเรื่องนี้จึงปดออกไป
สิงห์คำเร่งมุ่งหน้าไปเฮือนปัน เรือนร้างที่อยู่ติดกับอาณาบริเวณเฮือนคำของตน เขาเงยหน้ามองฟ้า ใกล้เย็นย่ำแล้ว มิรู้ว่าจักได้เจอแม่หญิงผู้นั้นหรือไม่ คิดได้ดังนั้นจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
โครก...
ปานฤทัยจับท้องของตนเองแล้วต้องถอนหายใจอย่างปลงตก หญิงสาวดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ ใกล้สิบเจ็ดนาฬิกาแล้ว ทว่าตั้งแต่เที่ยงจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย จึงไม่แปลกหากจะหิวขึ้นมาอีก เพราะหากอยู่ที่บ้านในช่วงระหว่างวัน อย่างน้อยก็ต้องมีขนมหรือผลไม้ในตู้เย็นให้หยิบกินได้ตลอด
แต่ที่นี่ นอกจากต้นไม้ใบหญ้าแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย
ปานฤทัยไม่กล้าย้อนกลับไปที่ลำธารนั้นอีกครั้งเพราะกลัวเจองู แต่ถึงกล้าเดินกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะจับปลาในนั้นได้หรือเปล่าเพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรสักอย่าง จะหุงหาอาหารก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีไฟแช็กไว้ก่อไฟ ฉะนั้นวิธีสุดท้ายที่ตนจะทำได้เพื่อให้ท้องอิ่มคือการขโมยอาหารจากบ้านหลังเดิม
หญิงสาวลุกขึ้นจากขั้นบันไดขั้นเดิมที่ตนเคยโผล่มานั่ง เพราะคิดว่าถ้านั่งตรงตำแหน่งนั้นอาจจะได้กลับบ้านก็เป็นได้ แต่เธอนั่งมาร่วมชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ได้ไปไหน ไม่ว่าจะหลับตาอีกกี่ที ลืมตาขึ้นมาก็ยังเป็นที่นี่ที่เดิม
จู่ ๆ เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกใครบางคนจับจ้อง หญิงสาวรีบหันไปมองด้านหลังของตนซึ่งเป็นป่า แต่ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ทุกอย่างยังคงสงบนิ่ง ทว่าหัวใจของเธอกลับเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดหวั่นเป็นที่สุด
หญิงสาวรีบก้าวเร็ว ๆ ไปยังทางที่จะไปบ้านหลังนั้น ตั้งใจไว้ว่าคืนนี้นอกจากจะขโมยอาหารแล้ว เธอต้องขโมยไม้ขีดไฟมาสักกลักหรือไฟแช็กสักอันด้วยก็คงดี เอาไว้พกติดตัวเผื่อต้องใช้งาน
ขณะที่กำลังเดินนั้น ปานฤทัยรู้สึกอยู่ตลอดว่าเหมือนมีคนคอยมองอยู่ แต่ไม่ว่าจะหันกลับไปมองกี่ครั้งก็ยังไม่เห็นใครที่ว่าเช่นเคย ทว่าครั้งนี้เธอเตรียมรับมือเอาไว้ หากคน ๆ นั้นไม่ได้มาดี เธอจะใช้พลังจิตซัดเขาให้ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้สูง ๆ ไม่ต้องลงมาเลยยิ่งดี
ปานฤทัยมาแอบซุ่มอยู่ที่เดิม สองตาเขม้นมองไปยังครัวของบ้านหลังนั้นเพราะอยากรู้ว่าวันนี้จะมีอะไรให้กินบ้าง แต่ดูเหมือนยังไม่มีอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วเลยสักอย่าง แม่ครัวแต่ละคนยังง่วนอยู่หน้าเตาอยู่เลย
ระหว่างรออาหารปรุงเสร็จ ปานฤทัยรู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ด้านหลังจึงลองหันไปดู แล้วหญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าห่างออกไปไม่กี่เมตรมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำลังยืนชี้ดาบมาทางตน
"เอ็งคือผู้ใด!" น้ำเสียงดุดันของเขาไม่ได้ทำให้ปานฤทัยตกใจมากนัก เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหญิงสาวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้ชายคนนี้
คนบ้ารึเปล่าวะเนี่ย แต่งตัวอย่างกับพวกจักร ๆ วงศ์ ๆ ในละคร!
แต่ทว่าแสงแดดที่สะท้อนจากปลายดาบนั่นคือของจริง! และดูแล้วคงจะคมไม่น้อยเลย ถ้าผู้ชายคนนี้เป็นบ้าจริงเธอก็ต้องระวังตัวให้มากเพราะเขาอาจจะฟันเธอจริง ๆ เมื่อไรก็ได้
"เอ่อ...ใจเย็นนะพี่ คือว่าบ้านหนูอยู่แถวนี้ หนูแค่มาเดินเล่นเฉย ๆ น่ะเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว หนูมาดีนะ" ปานฤทัยพูดไปก็ค่อย ๆ เดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ แต่ชายหนุ่มคนนั้นก็ก้าวเท้าตามเธอมาเช่นกัน
หญิงสาวเค้นสมองอย่างหนัก สายตาเอาแต่จับจ้องคมดาบนั้นว่าจะฟาดลงมาเมื่อไรตนจะได้ตั้งรับได้ทันท่วงทีด้วยการใช้พลังจิตโยนมันให้กระเด็นออกไปไกล ๆ แต่ถ้าเขายังไม่ฟาดลงมาเธอก็ยังไม่ทำอะไร เพราะเธอเคยสัญญากับมารดาเอาไว้แล้วว่าจะไม่ใช้พลังจิตพร่ำเพรื่อโดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าคนไม่รู้จัก
ทันใดนั้นปานฤทัยคิดแผนอะไรบางอย่างได้ เธอทำทีเป็นมองไปด้านหลังเขาแล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"เฮ้ยงู!" ได้ผล ผู้ชายคนนั้นหันไปมองทันที ส่วนเธอก็สับเท้าวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
"หยุดนะ!" เสียงตวาดกร้าวดังจากด้านหลัง แต่หญิงสาวไม่คิดจะหันกลับไปมอง
หยุดก็โง่แล้ว!