สิงห์คำกระโจนลงมาจากต้นไม้ทันทีแล้ววิ่งขึ้นเรือนไป ที่แท้สิ่งที่เขาเห็นบนต้นไม้นั้นคือจานใส่สำรับ ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงก้างกับหัวปลาเท่านั้นที่อยู่ในจาน
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าจานใบนี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วดูรอยสลักที่อยู่ตรงก้นจาน
'เฮือนคำ'
"นี่มันของเรือนข้ามิใช่รึ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า"
สิงห์คำวางจานไว้ที่เดิม ก้าวยาว ๆ เข้าไปในเรือนร้าง ผ้าที่เขาเอาไว้ใช้ปูนั่งตอนทำสมาธิยังอยู่ที่เดิม แต่บานประตูของแต่ละห้องกลับเปิดอ้าออกราวกับมีคนไปผลักเปิดมันทุกห้อง ทั้งที่เขาเป็นคนงับปิดเอาไว้เอง
เมื่อมั่นใจว่ามีผู้บุกรุกแน่แล้ว สิงห์คำจึงชักดาบที่เหน็บไว้ตรงเอวขึ้นมาถือกระชับไว้ในมือ เดินลงปลายเท้าเพื่อมิให้เกิดเสียงไปดูทีละห้อง จนกระทั่งถึงห้องสุดท้ายแต่ไม่พบใคร เขาจึงเดินปิดประตูแต่ละห้องไว้ตามเดิม
สิงห์คำเดินออกจากเรือนแล้วขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ตามเดิมเพื่อรอจับโจรที่บังอาจขโมยสำรับของเรือนเขามานั่งกินถึงที่นี่ ในใจคิดว่าน่าจักเป็นผู้หญิงที่เขาเคยเห็นผู้นั้นแน่ ฉะนั้นเขาต้องรู้ให้ได้ว่าโจรหญิงท่าทางแปลกประหลาดผู้นั้นต้องการอันใด แลมาทำกิจใดที่เชียงสานคร
ด้านคนที่เดินหาแอ่งน้ำ ตอนนี้กำลังนั่งแกว่งขาเล่นน้ำอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ ถัดออกไปไม่ไกลมีน้ำตกขนาดเล็กจึงทำให้เกิดลำธารขนาดกว้างประมาณสามเมตรขึ้น
ปานฤทัยใช้มือวักน้ำดื่มจนพอใจแล้วจึงรองใส่ขวดไว้จนเต็ม จากนั้นก็นั่งเล่นผ่อนคลายอยู่ที่นี่ ระหว่างนั้นหญิงสาวพยายามหลับตาแล้วนึกถึงบ้านของตนหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่สามารถกลับไป ณ จุดเดิมที่ตนจากมา จนเธอเริ่มหมดปัญญาแล้ว
ขณะที่กำลังนั่งคิดหาวิธีที่จะกลับบ้านอยู่นั้น ปานฤทัยพลันรู้สึกว่ามีอะไรเย็น ๆ ลื่น ๆ มาแตะเบา ๆ ที่เท้าของตนจึงก้มลงมอง ครั้นพอเห็นว่าสิ่งนั้นคืองูตัวเขื่อง หญิงสาวจึงลืมตัวกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ
"กรี๊ดดดดด"
เพราะเสียงร้องของปานฤทัย ส่งผลให้บรรดาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงโยกไหวอย่างรุนแรงราวกับเกิดพายุหมุน บรรดานกที่อาศัยเกาะ และทำรังอยู่บนต้นไม้ต่างพากันแตกฮือบินหนี น้ำในลำธารสาดซัดขึ้นสูงทั้งสองฝั่งราวกับมีกระบองยักษ์ตีลงมา แต่หญิงสาวหาได้สนใจไม่ เพราะทันทีที่คว้าหยิบรองเท้าของตนได้ เธอก็วิ่งหนีป่าราบไปอย่างรวดเร็ว
แรงสั่นไหวนั้นสะเทือนมาถึงต้นไม้ที่สิงห์คำนั่งห้างเฝ้าอยู่หน้าเรือนร้างจนเขาเกือบร่วงลงมา ต้นไม้ข้างเคียงไหวยวบยาบอย่างน่าประหลาด แลเสียงร้องนั้นเขาได้ยินเช่นกัน เป็นเสียงผู้หญิงมิผิดแน่
สิงห์คำรีบกระโดดลงจากต้นไม้แล้วพุ่งไปยังทิศทางของเสียงที่ตนได้ยินเมื่อครู่ทันใด
เมื่อมาถึงลำธารเฮือนริน อันเป็นแหล่งน้ำของชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับละแวกนี้ สิงห์คำต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างมิอาจเชื่อสายตาตน สภาพของที่นี่ราวกับมีกองทัพยักษ์มาเดินผ่าน ต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับลำธารต่างล้มระเนระนาดไปหมด
"เกิดอันใดขึ้นกันแน่ แล้วแม่หญิงผู้นั้นเล่า หายไปทางใดแล้ว"
สิงห์คำก้มมองบริเวณที่ตนยืนอยู่ แลมองเลยไปทางด้านข้างจึงเห็นว่าพื้นดินเปียกโชกไปทั้งแถบ ดูก็รู้ว่าเป็นเพราะถูกน้ำจากลำธารซัดสาดขึ้นมา แต่เหตุใดน้ำในลำธารถึงสาดขึ้นมาได้รุนแรงเพียงนั้นเล่า
"หญิงผู้นั้นมีอาคมกระนั้นรึ"
สิงห์คำเดินดูทั้งสองฝั่งของลำธาร ยิ่งเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบ ล้มลงบนพื้นราวกับถูกยักษ์ถอนเล่นด้วยมือ เขาจึงยิ่งมีสีหน้ามิสู้ดีนัก
...คงต้องปรึกษาคุณพ่อเสียแล้ว...
ทางด้านคนที่วิ่งหนีงูนั้น ขณะนี้กำลังนั่งหอบอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หญิงสาวลูบอกไปมาเพื่อปลอบตนเองพลางพึมพำกระท่อนกระแท่น
"ขวัญเอ๊ยขวัญมา ขวัญอย่าหนีไปไหน ขวัญกลับเข้าร่างไว ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา"
ปานฤทัยเกลียดและกลัวงูเป็นที่สุด เพราะตอนเด็กไปปูเสื่อนอนใต้ต้นไม้กับปานชีวา แล้วมีงูเขียวตัวหนึ่งหล่นใส่ลงบนตัว ปานฤทัยหวาดกลัวจนช็อกหมดสติไป ดวงใจต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน หลังจากนั้นแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วแต่เด็กน้อยก็ยังมีอาการหวาดผวา และร้องไห้ตอนกลางคืนตลอดจนมารดาต้องมากล่อมนอนทุกคืน
และเพลงนั้นคือเพลงท่อนที่ปานฤทัยกำลังกล่อมตัวเองอยู่ตอนนี้
กระบอกตาของปานฤทัยปวดหนึบ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมากบตา เธอโผล่มาอยู่ที่นี่ได้หลายชั่วโมงแล้วไม่รู้ว่าพี่สาวจะตกใจมากแค่ไหนที่ตนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น มารดาจะรู้หรือยังว่าเธอหายตัวไปอีกแล้ว อีกทั้งเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหน เพราะยังหาทางออกจากป่าแห่งนี้ไม่ได้ และถ้าถึงตอนกลางคืนเธอยังไม่ได้กลับไป เธอต้องนอนอยู่ในบ้านร้างนั่นเพียงลำพังน่ะหรือ
คิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหลอาบแก้มลงมาทันที ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แปลกประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก และเธอก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไรด้วย
ปานฤทัยนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้สักพักจึงลุกขึ้นแล้วหาทางเดินกลับไปที่บ้านร้าง หากแต่ครั้งนี้สายตาของหญิงสาวมีแต่ความหวาดระแวงไปตลอดทางเพราะกลัวจะเจองูตัวอื่นอีก
สิงห์คำกลับถึงเรือน เห็นบิดากำลังนั่งอ่านคัมภีร์ใบลานอยู่บนตั่งบริเวณชานเรือน เขาจึงเดินไปนั่งบนสาด วางดาบไว้ข้างตัว กำลังจักเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ลำธารเฮือนรินให้บิดาฟัง แต่เห็นบ่าวไพร่อยู่กันหลายคนจึงยั้งไว้
"พวกเอ็งออกไปก่อน ข้ามีกิจจักคุยกับคุณพ่อ"
บรรดาบ่าวไพร่ละงานในมือแล้วพากันลงเรือนไป เมื่อมิมีผู้ใดอยู่แล้วสิงห์คำจึงเล่าให้บิดาฟัง
"คุณพ่อขอรับ กระผมเจอเรื่องประหลาดที่เฮือนริน"
สิงห์คำเล่าเรื่องที่ตนพบเห็นมาให้ผู้เป็นบิดาฟังทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของสตรีผู้นั้น อินตายิ่งฟังหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดมุ่น คัมภีร์ใบลานถูกพับเก็บแล้ววางไว้ข้างตัว แววตาอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วมห้าสิบปีเริ่มมองเหม่อราวกับกำลังนึกถึงเรื่องบางอย่าง
สิงห์คำเห็นบิดามีท่าทีเหม่อลอยจึงเอ่ยเรียก "คุณพ่อขอรับ"
อินตาตื่นจากภวังค์ หันมาถามบุตรชาย "เจอตัวหรือไม่"
สิงห์คำขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะเขายังมิได้พูดถึงสตรีแปลกประหลาดที่ตนกำลังซุ่มจับผู้นั้นให้ท่านฟัง
"ผู้ใดหรือขอรับคุณพ่อ"
อินตามองหน้าบุตรชายชั่วครู่แล้วส่ายหน้าช้า ๆ
"น่าจักมีผู้อื่นทำมิใช่หรือ"
"กระผมคิดว่าคนผู้นั้นอาคมคงแกร่งกล้ามิใช่น้อย"
สิงห์คำมองหน้าบิดาอย่างชั่งใจว่าจักเล่าเรื่องสตรีผู้นั้นดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่า หากแต่กดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม