ดวงตากลมโตของชมพูนุชเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจกับจินตนาการน่าอับอายที่บังเกิดขึ้นในสมอง หล่อนสะบัดศีรษะแรงๆ จนเส้นผมสีดำขลับสยายยุ่งเหยิง และก็ตั้งใจว่าจะรีบออกไปจากตำหนักของ จามีลให้เร็วที่สุด แต่...
“เจ้าเข้ามาทำอะไรในห้องนอนของเรา!”
ชมพูนุชช็อกตาตั้ง เพราะจดจำน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ดังขึ้นด้านหลังได้เป็นอย่างดี
“องค์... รัชทายาท...”
หล่อนครางชื่อของเจ้าของเตียงนอนใหญ่ออกมาเสียงเบาหวิว ก่อนจะกัดฟันหมุนตัวไปเผชิญหน้า แต่แล้วก็ต้องช็อกตาค้างเป็นคำรบที่สอง
โอ้... พระเจ้า ทำไมจามีลถึงหล่อล่ำน่าลากเข้าป่าแบบนี้นะ?!
ชมพูนุชรีบเบรกความคิดน่าสะอิดสะเอียนของตัวเองเอาไว้สุดแรงเกิด และสลัดมันทิ้งลงไปในทะเลลึกด้วยความเร็วแสง พยายามตั้งสติให้มั่น แต่เรือนกายกำยำสมบูรณ์ไปด้วยมัดกล้ามเนื้องามๆ ตรงหน้าทำให้หล่อนถึงกับหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
ดวงตาไม่รักดีตวัดมองแผ่นอกเปลือยที่มีเส้นขนหยิกคอดสีเข้มมากมายปกคลุมอยู่อย่างฉวยโอกาส และความงดงามสมบูรณ์ของบุรุษเพศที่เห็น ก็ทำให้กายสาวตึงเครียด เลือดร้อนๆ ไหลพุ่งทะยานไปทั่วทั้งร่างกายรุนแรง
ลำคอสาวแห้งผาก ริมฝีปากก็แห้งเหือดไม่ต่างจากทะเลทรายที่ขาดน้ำมาเนิ่นนาน ลิ้นเล็กสีแดงสดแลบออกมาเลียกลีบปากอิ่มเพียงเพื่อให้ความชุ่มชื้น แต่เจ้าของสายตาสีทองดุกระด้างกลับคิดไปในทิศทางเลวร้าย
“เจ้าคงหิวมากสินะ ใช่ไหม”
แม้น้ำเสียงขององค์รัชทายาทจะแผ่วเบา แต่มันก็เต็มไปด้วยความเดือดดาลและชิงชัง จนชมพูนุชที่ถูกเสน่ห์ของเพศชายฟาดเข้าใส่หน้าจนมึนเมาได้สติ หล่อนรีบถอยออกห่าง และละล่ำละลักอธิบายเสียงสั่นเทา
“หม่อมฉัน... ขอประทานอภัยเพคะ”
“เราไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากเจ้า แต่เราต้องการรู้ว่าเจ้าเข้ามาในนี้ด้วยวัตถุประสงค์อะไร!”
เขาเค้นเสียงกระด้างถามออกมา พร้อมกับจ้องมองหล่อนด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ
“หม่อมฉัน... นำพานขนมหวานจากพระชายาจัสมินมาถวายองค์รัชทายาทเพคะ”
หล่อนละล่ำละลักตอบออกไป หน้าตาซีดเผือด และก้มต่ำมองพื้นตลอดเวลา
“ในห้องนอนของเราเนี่ยนะ?”
“เอ่อ... ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉัน... เผลอเดินเลยเข้ามาเพคะ”
“หึ...”
องค์รัชทายาทจามีลที่ตอนนี้มีเพียงผ้าขนหนูพันกายส่วนล่างเอาไว้เท่านั้น ก้าวเดินเข้าไปหานางกำนัลหน้าหวาน ผู้หญิงที่เขาไม่ต้องการอยู่ใกล้แม้แต่วินาทีเดียว แต่สวรรค์กับทำให้เขาพบเห็นหน้าหล่อนได้แทบทุกวัน และวันละหลายๆ ครั้งอีกต่างหาก
“อย่ามาปดเรา”
“หม่อมฉันไม่ได้...”
ชมพูนุชเผลอตัวช้อนตาขึ้น และก็สบประสานสายตากับดวงตาสีทองเข้าพอดิบพอดี เสมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ปีกผีเสื้อมากมายกระพือว่อนอยู่ในช่องท้อง หล่อนรู้สึกอบอุ่นซาบซ่านในทรวงอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำไมจามีลถึงได้งดงามถึงเพียงนี้นะ...
“เจ้าต้องการนอนบนเตียงของเรา อย่าคิดว่าเราไม่รู้”
คนฟังช็อกตาค้าง กลีบปากอิ่มสั่นระริกยามละล่ำละลักปฏิเสธออกไป “มะ... ไม่ใช่เพคะ... ไม่ใช่อย่างนั้นนะเพคะ”
“เจ้านี่มันใฝ่สูงจนน่าสังเวชจริงๆ นะ”
สายตาคมกริบมองมาอย่างดูแคลน ทำให้หล่อนแสนเจ็บปวดจนแทบจะล้มลงไปนอนแดดิ้นบนพื้นพรมเสียให้ได้
“แต่จำเอาไว้ เราไม่มีทางเลือกเจ้ามาขึ้นเตียง ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน และไม่ว่าจะในฐานะนางบำเรอหรือเมียเก็บ หวังว่าเราพูดชัดเจนขนาดนี้แล้วเจ้าจะเข้าใจ”
หล่อนรู้สึกไม่ต่างจากการถูกกระชากจิกทึ้งเส้นผมไปตบกลางสีแยกไฟแดง ทั้งเจ็บปวด ทั้งเสียใจ และแสนอับอาย จนไม่อยากจะหายใจบนโลกใบนี้อีก
“หม่อมฉันไม่เคย... คิดอาจเอื้อมอย่างที่พระองค์เข้าพระทัยเลย เพคะ นี่คือความสัตย์จริง...”
“แต่เราไม่เชื่อคำพูดของเจ้า”
หล่อนทำอะไรไม่ได้อีก นอกจากก้มหน้าซ่อนความปวดร้าวเอาไว้เท่านั้น
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะให้อภัยกับความจุ้นจ้านของเจ้า เพราะหากเจ้าเข้ามาในที่ส่วนตัวของเราอีกครั้งเดียว เจ้าจะต้องถูกทำโทษ จำเอาไว้”
หล่อนน้อมรับคำประณามของเขาด้วยการนิ่งเงียบ
“ออกไปได้แล้ว และถ้ามันไม่ยากเย็นนัก อย่าให้เราเห็นหน้าเจ้าอีก”
“เพ... เพคะ”
หล่อนจำไม่ได้ว่าตัวเองออกมาจากตำหนักขององค์รัชทายาทด้วยวิธีการไหน เดิน วิ่งหรือว่าหายตัวออกมา รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้หล่อนมาทรุดตัวอยู่ในที่ลับสายตาของผู้คน และยกมือขึ้นปิดหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้นออกมาปิ่มจะขาดใจ
หล่อนเกลียดตัวเองนักที่รักเขา และก็รักเขา แม้เขาจะเลือดเย็นใส่สักแค่ไหน แต่ในหัวใจก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์และภักดี นี่หล่อนเจ็บไม่รู้จักจำเลยหรือไงนะ
น้ำตาแห่งความอัปยศอดสูไหลรินออกมาเป็นทาง ความปวดร้าวสำแดงฤทธิ์เดชออกมาจนยากจะต้านทานได้ เนื้อตัวสาวสั่นเทา ความรวดร้าวกัดกินหัวใจจนขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี
ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยที่องครักษ์ผู้เชี่ยวชาญเพลงรบอย่างฟีรัสจะลักลอบพานางในดวงใจหนีหายออกมาจากรั้วกำแพงราชวังซาเรีย เขาอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน รู้ทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี และนั่นก็ทำให้เขาไม่ลังเลเลยเมื่อมัสรานีเอ่ยปากพูดถึงเรื่องการหลบหนีออกไปจากซาเรีย
สองร่างเร้นกายมาตามเงามืด รถกระบะยกล้อสูงจอดรออยู่ที่นัดหมาย ทั้งสองคนกระโดดขึ้นไปบนนั้น และไม่นาน ยานพาหนะสีดำทะมึนไม่ต่างจากคืนเดือนดับก็แล่นจากไปด้วยความเร็ว
ชมพูนุชวิ่งกระหืดกระหอบตามออกมานอกกำแพงวัง ไฟท้ายของรถกระบะที่แล่นจากไปไกลแล้ว ทำให้หล่อนรู้ดีว่าการมาของตัวเองมันสายเกินไปแล้ว
“ท่านพี่... ทำไมท่านพี่ไม่ฟังฉันเลย...” ร่างเล็กทรุดกองกับพื้นทราย น้ำตาแห่งความหวาดวิตกไหลซึมอาบแก้ม หล่อนรู้ว่ามัสรานีกับฟีรัสมีแผนการจะหนีออกจากซาเรีย แต่ไม่คิดว่าจะเดินทางกันในค่ำคืนนี้
“แล้วนี่... ถ้าองค์รัชทายาทรู้เรื่องเข้า พี่จะทำยังไง...”
“แม่นางมาทำอะไรตรงนี้ขอรับ”
เสียงของทหารที่เฝ้าประตูวังดังขึ้นด้านหลัง หญิงสาวต้องรีบยกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งจนแห้ง ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นยืน และหันไปยิ้มให้กับทหารทั้งสองคน
“ไม่... ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่... ออกมาเดินเล่นเฉยๆ น่ะ”
“ดึกดื่นแบบนี้หรือขอรับ”
“เอ่อ ใช่ค่ะ แต่นี่ก็กำลังจะกลับเข้าไปแล้วจ้ะ”
หล่อนพยายามจะปลีกตัว แต่ทหารยามเอ่ยถามขึ้นเสียก่อน
“แล้วแม่นางออกมาทางไหนหรือขอรับ ทำไมพวกข้าไม่เห็นตอนออกมาเลย”
“อ้อ... ฉันออกมาทางประตูด้านทิศตะวันออกน่ะ ตรงนี้มีพี่ทหารอีกชุดหนึ่ง พวกพี่ก็เลยไม่เห็นตอนฉันเดินออกมายังไงล่ะคะ”
ทหารสองคนมองหน้ากัน พยักพเยิดอยู่สักครู่ก็ยอมให้หล่อนเดินกลับเข้าไปในอาณาเขตของราชวังอีกครั้ง
ชมพูนุชเป่าปากอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบย่ำเท้ากลับไปยังเรือนพักของตัวเอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไกลโข แต่เพราะความร้อนใจทำให้หล่อนวิ่งและก็วิ่งอย่างไม่รู้เหนื่อย จนกระทั่งถึงบ้าน
“เจ้าออกไปไหนมาหรือชมพูนุช”
องครักษ์อัฟนานในอดีตที่ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าองครักษ์ประจำตำหนักองค์สุลต่านเอ่ยขึ้นที่ริมระเบียง เจ้าของชื่อชะงักเท้ากึก และหันไปมองบิดาเลี้ยง
“ท่านพ่อ...”
“พ่อถาม ทำไมไม่ตอบล่ะ ออกไปไหนมา มืดค่ำแบบนี้น่ะมันอันตรายไม่รู้หรือไง”
อัฟนานเดินออกมาหยุดตรงหน้าของลูกเลี้ยงของตนเอง มองด้วยความเป็นห่วง
ชมพูนุชอึกอักไม่กล้าตอบ ในหัวกำลังสับสนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะบอกความจริงเรื่องของฟีรัสกับบิดาดีไหม แต่ถ้าไม่บอก ใครล่ะจะมาช่วยหล่อนแก้ปัญหาเรื่องนี้
“หรือว่าเจ้าริอ่านลักลอบออกไปหาคนรัก”
“เปล่านะท่านพ่อ ลูกยังไม่มีคนรักเลย” หล่อนปฏิเสธด้วยคำพูดและการส่ายหน้าดิก
“งั้นเจ้าออกไปนอกบ้านทำไมล่ะ”
“คือว่า...” หล่อนมองหน้าบิดา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกความกล้าให้กับตัวเอง ก่อนจะพูดความจริงออกมา “ฉันไปตามพี่ฟีรัสค่ะพ่อ”
สีหน้าของอัฟนานเต็มไปด้วยความแคลงใจ เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของลูกเลี้ยงคนสวย “เรื่องนี้มันเกี่ยวกับพี่ฟีรัสของเจ้าด้วยหรือ”
“ค่ะ เกี่ยวค่ะท่านพ่อ”
อัฟนานยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ “พ่อไม่เข้าใจ ไหนเจ้าช่วยอธิบายให้พ่อฟังซิ”
“พี่... พี่ฟีรัสพาคุณมัสรานีหนีออกไปจากซาเรียแล้วค่ะท่านพ่อ”
หล่อนมองหน้าบิดาเลี้ยงตลอดเวลาที่พูดความจริงออกไป และก็ได้เห็นความประหลาดใจและไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้าของท่านอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าพูดเป็นเล่นไปได้ แม่นางมัสรานีเป็นผู้หญิงที่องค์รัชทายาททรงหมายตาเอาไว้ ใครจะกล้าไปพาหนีกัน”
ชมพูนุชมองหน้าบิดาผู้มีพระคุณ ท่านไม่ผิดหรอกที่จะคิดแบบนี้ เพราะฟีรัสแอบคบหากับมัสรานีเงียบเชียบมาก ไม่มีใครในราชวังนี้รู้ระแคะระคายเลย นอกจากหล่อนที่บังเอิญไปเห็นทั้งคู่พลอดรักกันเข้าโดยบังเอิญ และก็อาจจะมีคนในครอบครัวของมัสรานีเท่านั้นที่ทราบเรื่อง
“พี่ฟีรัส... ลักลอบคบหากับคุณมัสรานีมานานแล้วค่ะท่านพ่อ”
หล่อนย้ำออกไป และบิดาก็ตัดบทเพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เจ้ายังจะพูดเป็นเล่นอีกนะชมพูนุช เดี๋ยวก็หัวขาดกันทั้งตระกูลพอดี”
“แต่ฉันได้พูดเล่นนะท่านพ่อ สิ่งที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริง พี่ฟีรัสหนีไปกับคุณมัสรานีแล้วจริงๆ”
คราวนี้อัฟนานหน้าเครียดขรึมขึ้นทันที เมื่อชมพูนุชยังย้ำคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ถ้าท่านพ่อไม่เชื่อ พรุ่งนี้ก็คอยฟังข่าวได้เลย”
ความเงียบกลืนกินกระทั่งลมหายใจของหัวหน้าองครักษ์อัฟนาน เขาคาดไม่ถึงว่าลูกชายที่ทำตัวดีมาตลอดอย่างฟีรัสจะก่อเรื่องร้ายแรงใหญ่หลวงแบบนี้
“แล้วทำไมเจ้าเพิ่งมาบอกให้พ่อรู้ตอนนี้ล่ะ มันสายไปแล้วเห็นไหม”
สีหน้าซีดเผือดของบิดาทำให้ชมพูนุชน้ำตาไหล
“ฉันไม่คิดว่าพี่ฟีรัสจะตัดสินใจทำแบบนี้น่ะท่านพ่อ”
ร่างของอัฟนานเซแทบล้มเพราะสองขาหมดแรงที่จะทรงตัวยืนอีกต่อไป ชมพูนุชต้องรีบประคองเอาไว้
“ท่านพ่อนั่งก่อนค่ะ”
หล่อนประคองร่างของบิดาเลี้ยงไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะท่านพ่อ”
“จะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อฟีรัสเลือกที่จะชิงตัวผู้หญิงขององค์ รัชทายาทหนีไปแบบนี้น่ะ พวกเราก็คงจะหัวขาดกันทั้งหมด”