ชมพูนุชลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันถัดมา แสงสีเงินยวงของพระอาทิตย์สะท้อนอยู่กับขอบฟ้ากว้าง หล่อนยืนมองทางหน้าต่างของห้องพัก ยิ้มเศร้าๆ ให้กับความต่ำต้อยของตัวเอง
จะดีแค่ไหนนะ หากหล่อนได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนขององค์ รัชทายาทจามีลในทุกๆ เช้า ผู้ชายที่หล่อนเฝ้ารัก เฝ้าภักดีมาตลอดตั้งแต่หัวใจรู้จักความรักระหว่างชายหญิง ชื่อของเขาเฝ้าวนเวียนอยู่ในสมอง ลมหายใจของหล่อนก็มีแต่เขาและเขาเรื่อยมา แม้จะรู้ดีว่าทำได้แค่แอบรักเท่านั้นก็ตาม
หญิงสาวฝืนยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะกัดฟันสลัดความเศร้าหมอง และเตรียมตัวไปรับใช้พระชายาจัสมินที่ตำหนัก หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้ว หล่อนเดินออกมาจากเรือนพัก แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้ากึก เมื่อหางตาแลไปเห็นแผ่นหลังของพี่ชายอยู่ในมุมเสาด้านในสุดของตัวบ้าน
“คืนนี้เราจะหนีออกไปจากวังด้วยกัน เจ้าไปรอพี่ที่ประตูวังทางด้านทิศตะวันออกตอนสองยาม”
ดวงตากลมโตของชมพูนุชแทบถลน สิ่งที่ได้ยินทำให้ความหวาดกลัวแล่นเข้ามาแน่นอก หล่อนน้ำตาคลอ มองแผ่นหลังของพี่ชายด้วยความเป็นห่วง
“พี่ฟีรัส... นี่พี่คิดจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันคะ” หล่อนพึมพำด้วยความวิตกกังวล และก็ยืนรอจนพี่ชายส่งมัสรานีออกไปจากอาณาเขตของบ้านพักแล้ว หล่อนจึงก้าวออกมาจากที่ซ่อน เผชิญหน้ากับพี่ชาย
“ชมพูนุช!” สีหน้าของฟีรัสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือชมพูนุช”
ผู้เป็นน้องสาวเม้มปากแน่น ช้อนตามองพี่ชาย ก่อนจะพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง “สิ่งที่พี่ฟีรัสจะทำ... มันเป็นเรื่องผิดมากนะคะ ฉัน... เป็นห่วงพี่ ได้โปรดยุติเรื่องนี้ลงเถอะค่ะ”
“พี่ตัดสินใจแล้ว และถ้าเจ้ารักพี่ ไม่อยากให้พี่ตาย เจ้าก็ต้องเก็บเรื่องที่เจ้าได้ยินเอาไว้เป็นความลับ”
“พี่ฟีรัส...”
“แต่ถ้าเจ้าต้องการเห็นพี่รับโทษจนตาย เจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปกราบทูลองค์รัชทายาทได้เลย”
หล่อนส่ายหน้าไปมา มองพี่ชายอย่างวิงวอน น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความเสียใจ
“แล้วพี่คิดว่าจะหนีพ้นเหรอคะ มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่พี่จะทำแบบนี้”
“นี่คือทางออกเดียวที่พี่กับน้องมัสรานีจะได้อยู่ด้วยกัน”
“มันยังมีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้อีกนะพี่ฟีรัส แต่พี่กับคุณมัสรานีไม่ยอมทำเท่านั้นเอง”
ฟีรัสมองน้องสาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พี่รู้ว่าเจ้าหมายความว่าอะไร แต่พี่ไม่กล้าพอที่จะไปสารภาพความจริงกับองค์ รัชทายาทหรอก และน้องมัสรานีเองก็ไม่กล้าเช่นกัน ดังนั้นการหนีจากไป คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
“แต่ว่า...”
พี่ชายต่างมารดายกมือขึ้นวางบนบ่าบอบบางของหล่อน และพูดสั่งเสีย “ฝากดูแลพ่อของพี่ด้วยนะ”
“พี่ฟีรัส... อย่าทำแบบนี้เลย...”
“เจ้าหยุดพูดเถอะ แล้วก็ไปทำหน้าที่ของเจ้าได้แล้ว พี่เองก็จะไปอาบน้ำ และไปเข้าเวรที่ตำหนักของเจ้าชายเซรีมเหมือนกัน”
“พี่ฟีรัส...”
พี่ชายไม่สนใจเสียงเรียกของหล่อนอีกแต่อย่างใด เขาหมุนตัวและเดินหายเข้าไปในบ้านพักทันที
ชมพูนุชยืนหน้าซีดเผือด สมองจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากที่ฟีรัสและมัสรานีหนีออกไปจากซาเรียได้เป็นอย่างดี ทุกคนจะต้องเดือดร้อนโดยเฉพาะพ่อของฟีรัสนั่นเอง
“ฉัน... ยอมให้พี่ทำแบบนี้ไม่ได้หรอกพี่ฟีรัส” กลีบปากอิ่มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง “มันผิด และพี่ก็จะต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปตลอดชีวิต ฉันทนเห็นพี่ลำบากแบบนั้นไม่ได้หรอก”
หล่อนก้าวเท้าออกไปจากบ้าน ในหัวพยายามขบคิดหาหนทางที่จะขัดขวางแผนการของมัสรานีและพี่ชายของตัวเองตลอดเวลา
“เป็นอะไรหรือเปล่าชมพูนุช”
คนที่นั่งจัดดอกไม้ใส่พานไปและนั่งเหม่อลอยไปสะดุ้งโหยง เมื่อคำถามจากพระชายาในเจ้าชายเซรีมดังขึ้น
“เอ่อ... เปล่าเพคะพระชายา”
“แต่เราเห็นเจ้านั่งเหม่อลอยมาตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วนะ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว เจ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายความโศกเศร้าลงเลย มีอะไรหรือเปล่า”
สิ่งที่มะลิสงสัยมันคือเรื่องจริง แต่หล่อนไม่อาจจะปริปากบอกเรื่องทุกข์ในใจออกไปได้ เพราะมันอันตรายถึงชีวิตของคนในครอบครัวเลยทีเดียว
“ไม่มีอะไรจริงๆ เพคะพระชายา”
มะลิระบายยิ้มบางๆ และไม่เชื่อคำแก้ตัวของนางกำนัลคนสนิทแม้แต่น้อย
“หรือว่าเรื่ององค์รัชทายาทล่ะ”
จากหน้าซีดเผือด กลับกลายเป็นแก้มแดงระเรื่อขึ้นมาทันตา หญิงสาวรีบส่ายหน้าดิกจนหัวแทบหลุดขาดออกจากลำคอ
“หม่อม... หม่อมฉันไม่กล้าอาจเอื้อมคิดถึงองค์รัชทายาทหรอก เพคะพระชายา”
“แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”
“เอ่อ...” ชมพูนุชยกมือขึ้นกุมแก้มทั้งสองข้างของตนเอง และก็พบว่ามันร้อนผะผ่าวจนน่าอับอาย
“เอาละ เราไม่แซวเจ้าแล้ว” มะลิหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่สามารถทำให้ชมพูนุชยิ้มออกมาได้ แม้จะเป็นเพียงแค่รอยยิ้มเอียงอายก็ตามที “แต่เรามีงานให้เจ้าทำน่ะ”
คนที่ก้มมองพื้นพรมหนาสีสวยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “เพคะพระชายา”
มะลิพยักหน้าให้กับนางกำนัลอีกคน ไม่ช้า นางกำนัลคนนั้นก็เดินออกไปตำหนัก แต่พักเดียวก็เดินกลับมาพร้อมกับพานใส่ขนมหวานในมือ
“เมื่อคืนเราได้ยินเจ้าชายเซรีมตรัสว่าองค์รัชทายาทอยากรับประทานขนมหวานน่ะ เจ้าช่วยเอาไปให้พระองค์ที่ตำหนักทีนะ ชมพูนุช”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ชมพูนุชช็อกตาค้าง หากทำได้ หล่อนคงส่ายหน้าและปฏิเสธออกไป แต่นี่หล่อนเป็นแค่เพียงคนรับใช้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจจะขัดคำสั่งของเจ้านายได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า คนที่ต้องไปพบนั้นชังน้ำหน้าหล่อนมากแค่ไหน
“เพ... เพคะ”
“ขอบใจนะชมพูนุช เอสม่าส่งพานใส่ขนมหวานให้กับชมพูนุชสิ” มะลิหันไปสั่งนางกำนัลอีกคน
“เพคะพระชายา” เอสม่ายื่นพานใส่ขนมหวานที่ถูกจัดแต่งอย่างประณีตสวยงามให้กับหล่อน ซึ่งหล่อนก็จำต้องรับเอามาถือประคองเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง
มะลิมองชมพูนุชด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะออกคำสั่ง “หลังจากเจ้าเอาพานขนมหวานไปถวายองค์รัชทายาทเสร็จแล้ว เจ้าก็กลับเรือนไปได้เลยนะ พรุ่งนี้ค่อยมารับใช้เราใหม่”
“เพ... เพคะพระชายา”
“ไปเถอะ”
“เพคะ”
หล่อนย่อตัวลงถวายความเคารพ ก่อนจะประคองพานใส่ขนมหวานแสนสวยออกไปจากตำหนักของมะลิ ทุกย่างก้าวช่างเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หล่อนภาวนาไปตลอดทางให้ไม่พบองค์รัชทายาทจามีลที่ตำหนัก
เพียงไม่ถึงห้านาที หล่อนก็มาถึงตำหนักอันโอ่อ่าสวยงามขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรซาเรีย ตอนแรกหล่อนตั้งใจจะฝากให้ทหารยามหน้าตำหนักเป็นคนยกพานขนมหวานเข้าไปไว้ในตำหนักแทนตนเอง แต่คิดไปคิดมาก็เกรงว่าทหารยามจะกระทำไม่ระมัดระวังจนเสียหาย ดังนั้นหล่อนจึงกัดฟันยกเข้าไปในตำหนักหรูด้วยตนเอง
และเมื่อเข้ามาถึงภายในตำหนักขององค์รัชทายาทรูปงาม หล่อนก็ถึงกับต้องตื่นตะลึง เพราะนี่คือครั้งแรกที่หล่อนได้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของจามีล
ทุกอย่างรอบตัวช่างสวยงาม วิจิตรตระการตา ไม่ว่าจะมองไปทิศทางไหนก็งดงามไร้ที่ติ จนหล่อนอดที่จะก้มลงมองตัวเองไม่ได้ ร่างกายที่สกปรกไม่คู่ควรแม้แต่จะเหยียบย่างเข้ามาด้วยซ้ำ เท้าบอบบางก้าวนำพานใส่ขนมหวานไปวางไว้บนโต๊ะไม้แกะสลักที่งามจนไม่กล้าสัมผัส จากนั้นดวงตากลมโตที่เบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงตลอดเวลาก็กวาดมองไปรอบๆ ตัวอย่างพิจารณา จนกระทั่งสายตาปะทะเข้ากับประตูที่เปิดแย้มอยู่ ซึ่งภายในนั้นน่าจะเป็นห้องนอนขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์นั่นเอง
ใจหนึ่งบอกให้รีบไสหัวออกไปจากตำหนักของจามีลซะ แต่อีกใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะได้ในที่สุด สองเท้าเล็กก้าวตรงไปยังประตูห้องนอนขององค์รัชทายาทแห่งซาเรีย และก้าวเข้าไปภายใน
เนื้อตัวสาวสั่นเทา เมื่อดวงตารับภาพเตียงขนาดกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก่อนเข้ามาในสายตา กลีบปากอิ่มสั่นระริก เพราะหัวสมองไม่รักดีดันจินตนาการพริ้มเพริดไปถึงฉากเสพสังวาสของชายหญิงบนเตียงนุ่มนั้น
สองร่างชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างดุดันเมามัน การเคลื่อนไหวสอดประสานหนักหน่วงจนเตียงนอนยังไหวโยกตาม ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นแหงนเงยไปด้านหลัง ยามถูกสอดเสียบด้วยความแข็งชันกำยำของผู้ชายผิวแทนสวยไปทั้งตัว ปากอิ่มบวมเจ่อเผยอร้องครวญคราง และเสียงหวานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียดเสียวนั้นก็ช่างคุ้นหูยิ่งนัก
“อ๊า... อา...”
นั่นมันเสียงของหล่อน...
ใช่... เสียงร่านร้อนราวกับโสเภณีข้างถนนของผู้หญิงคนนั้นมันคือเสียงของหล่อนนั่นเอง