ชมพูนุชหน้าซีดเผือด กลีบปากอิ่มสั่นระริก ความหวาดกลัวแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจ
“บางที... องค์รัชทายาทอาจจะไม่ทรงทราบก็ได้นะคะว่าคุณ มัสรานีหายตัวไปกับพี่ฟีรัส”
“ไม่มีทางที่พระองค์จะไม่ทราบ” อัฟนานครางออกมาเสียงสั่นเครือ “สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ คือภาวนาให้องค์รัชทายาทไม่ทรงกริ้วเรื่องที่เกิดขึ้น จนสั่งประหารพวกเราทั้งตระกูลเท่านั้น”
“ลูกผิดเองที่ไปขวางพี่ฟีรัสไม่ทัน” ชมพูนุชสะอื้นไห้ มองบิดาด้วยความสงสาร เพราะสีหน้าของอัฟนานบอกให้รู้ว่ากำลังเครียดหนักขนาดไหน
“เจ้าไม่ผิดหรอกชมพูนุช คนที่ผิดคือพี่ชายของเจ้า” อัฟนานเค้นเสียงแหบแห้งออกมา “ผิด... ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง ปล่อยให้ความรักมาบังตาจนทำเรื่องร้ายแรงลงไป และก็เห็นแก่ตัวนักที่ปล่อยให้คนข้างหลังต้องมารับเคราะห์กรรมแทนเยี่ยงนี้”
ชมพูนุชทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืนร้องไห้อยู่ข้างกายของบิดาเลี้ยง ความหวาดกลัวแล่นพล่านไปทั้งอก นี่ถ้ามารดาทราบเรื่อง ท่านก็คงจะต้องมีความรู้สึกเดียวกันกับบิดาในตอนนี้อย่างแน่นอน
แล้วนี่หล่อนจะทำยังไงดีนะ จะหาทางออกให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไงดี
ชมพูนุชมาทำงานที่ตำหนักของมะลิในเช้าวันต่อมา และพยายามทำตัวเป็นปกติ ภาวนาให้เรื่องการหายตัวไปของฟีรัสกับมัสรานียังไม่รู้ถึงหูขององค์รัชทายาทจามีล
“สีหน้าเจ้าไม่ดีเลยนะชมพูนุช มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
มะลิมักจะจับสังเกตความรู้สึกของหล่อนได้เสมอ ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่มะลิสงสัย แต่หล่อนไม่อาจจะพูดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปได้ เพราะมันเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัวเอง
พี่ฟีรัส... พี่ไม่น่าทำแบบนี้เลย
“เอ่อ หม่อมฉันสบายดีเพคะ พระชายา”
“แต่สีหน้าของเจ้าดูโศกเศร้ามากเลยนะ”
หล่อนอยากจะร้องไห้ออกไปดังๆ แต่ก็ทำได้แค่เพียงฝืนยิ้มและตอบปฏิเสธ
“ขอบพระคุณพระชายามากเพคะที่ทรงมีเมตตากับหม่อมฉัน แต่หม่อมฉัน... ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เพคะ”
ก่อนที่มะลิจะพูดตอบโต้ออกมา เจ้าชายเซรีมก็ปรากฏตัวขึ้นภายในตำหนักเสียก่อน สีหน้าของสามีเคร่งเครียดจนภรรยาอย่างหล่อนอดตื่นตกใจไม่ได้
“เจ้าพี่... เป็นอะไรไปเพคะ ทำไมท่าทางดูเคร่งเครียดนัก”
เจ้าชายเซรีมเดินมาหยุดข้างๆ ภรรยา แต่สายตาจ้องมองไปที่นางกำนัลอย่างชมพูนุชเขม็ง
“ฟีรัสหายตัวไป”
“ฟีรัส? องครักษ์ฟีรัสใช่ไหมเพคะเจ้าพี่”
ศีรษะของเจ้าชายเซรีมผงกเล็กน้อย ในขณะที่ชมพูนุชนั่งก้มหน้าตัวสั่นเทาด้วยความตื่นกลัว
“ใช่ และฟีรัสก็เป็นพี่ชายของเจ้าใช่ไหม ชมพูนุช”
คนถูกถามตัวสั่นเทา แต่ก็จำต้องเงยหน้าขึ้นตอบเจ้านายผู้สูงศักดิ์
“เพ... เพคะเจ้าชายเซรีม”
มะลิมองหน้าชมพูนุชสลับกับใบหน้าสุดหล่อของสามีด้วยความแคลงใจ “หม่อมฉันงงไปหมดแล้วเพคะเจ้าพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันหรือ เพคะ”
สีหน้าของเจ้าชายเซรีมเครียดจนดำคล้ำ เขามองหน้าภรรยาก่อนจะตอบ “องครักษ์ฟีรัสลักพาตัวมัสรานีออกไปจากซาเรีย”
มะลิยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ “แม่นางมัสรานี ผู้หญิงที่องค์รัชทายาททรงหมายตาไว้ใช่ไหมเพคะ”
“ใช่”
มะลิหน้าซีดเผือด มองชมพูนุชที่ก้มหน้าตัวสั่นอยู่กับพื้นพรมด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“แล้วแบบนี้... องค์รัชทายาทจะไม่ทรงกริ้วเหรอเพคะ”
“เสด็จพี่กริ้วมาก และกำลังเดินทางไปเอาเรื่องที่บ้านหัวหน้าองครักษ์อัฟนาน”
“ท่านพ่อ...” ชมพูนุชครางชื่อบิดาออกมาเสียงแผ่วเบา เป็นห่วงท่านจับใจ “เจ้าชายเซรีมเพคะ... ท่านพ่อไม่รู้เรื่องนี้นะเพคะ ท่านไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย”
“แต่พี่ชายของเจ้าลักพาตัวมัสรานีไป ดังนั้นครอบครัวของเจ้าก็ต้องมีความผิด”
“แต่...” ชมพูนุชน้ำตาไหลพราก ส่ายใบหน้าสวยหวานไปมาด้วยความตื่นกลัว “แต่พี่ฟีรัสไม่ได้ลักพาตัวของคุณมัสรานีไปนะเพคะ”
คำพูดโต้แย้งของหล่อน ทำให้เจ้าชายเซรีมเลิกคิ้วสูง บอกให้รู้ว่าประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“เจ้าหมายความว่ายังไง ชมพูนุช”
“นั่นสิ ชมพูนุช เจ้าพูดแบบนี้ คล้ายกับกำลังจะบอกว่าแม่นาง มัสรานีเต็มใจไปกับพี่ชายของเจ้าอย่างนั้นแหละ” มะลิเองก็สงสัยเคลือบแคลงเช่นกัน
ชมพูนุชเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะผงกศีรษะเล็กตอบรับออกไปทั้งน้ำตา “คุณมัสรานีกับพี่ฟีรัสลักลอบคบหากันมานานแล้วเพคะ ทั้งคู่รักกัน...”
“โอ้...” มะลิยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจกับข่าวใหม่ที่ได้รับรู้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเจ้าชายเซรีมแม้แต่น้อย
“เราจะเชื่อเจ้าได้แค่ไหนกัน ชมพูนุช”
“หม่อมฉัน... ไม่บังอาจพูดเท็จต่อหน้าเจ้าชายหรอกเพคะ สิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลมันคือเรื่องจริงทั้งหมด”
“ถ้าเรื่องที่เจ้าพูดเป็นความจริง แล้วทำไมท่านอำมาตย์ฮานีฟถึงกราบทูลเสด็จพี่ว่าพี่ชายของเจ้าลักพาตัวมัสรานีไป”
ชมพูนุชส่ายหน้าไปมา เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าทำไมบิดาของ มัสรานีพูดแบบนี้
“บางทีท่านอำมาตย์ฮานีฟอาจจะไม่รู้เรื่องที่ลูกสาวมีใจกับองครักษ์ฟีรัสก็ได้นะเจ้าพี่ ท่านอำมาตย์ก็เลยคิดว่าองครักษ์ฟีรัสลักพาตัวแม่นางมัสรานีไป” มะลิออกความคิดเห็น
เจ้าชายเซรีมถอนใจออกมาอย่างเคร่งเครียด แววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ถึงแม้สิ่งที่เจ้าคิดจะเป็นเรื่องจริง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของเสด็จพี่”
ยิ่งฟังคำพูดของเจ้าชายเซรีม ชมพูนุชก็ยิ่งร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงครอบครัวของตนเอง มะลิมองนางกำนัลคนสนิทอย่างเห็นใจ และช่วยพูดกับสามีให้
“เจ้าพี่พอจะมีทางช่วยอธิบายกับองค์รัชทายาทไหมเพคะ คือหม่อมฉัน...”
มะลิยังพูดไม่ทันจบ ผู้เป็นสามีก็แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าไม่ต้องกังวล ฟีรัสเป็นคนของพี่ ยังไงพี่ก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว แต่พี่ไม่อาจจะให้คำยืนยันได้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น การตัดสินใจที่เด็ดขาดขึ้นอยู่กับเสด็จพี่พระองค์เดียวเท่านั้น”
“แล้วถ้า... เราไปขอร้องให้องค์สุลต่านช่วยล่ะเพคะ” มะลิยังคงพยายามจะช่วยชมพูนุช เพราะเวทนาที่เห็นหญิงสาวเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้
“เสด็จพ่อมีรับสั่งลงมาแล้วว่าให้เสด็จพี่เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ท่านจะไม่มายุ่งเกี่ยวด้วย”
“งั้นก็แสดงว่า...”
มะลิพูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด เมื่อเห็นสามีสุดหล่อผงกศีรษะยืนยันคำตอบ
“ขึ้นอยู่กับเจ้าพี่พระองค์เดียวเท่านั้น”
มะลิเม้มปากเป็นเส้นตรงด้วยความผิดหวังที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนสนิทของตนเองได้ หล่อนรอจนสามีเดินจากออกไป จึงพูดขึ้นกับชมพูนุช
“เราเสียใจด้วยนะชมพูนุช”
ชมพูนุชเงยหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองมะลิ ก่อนจะกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ แม้ว่ามะลิจะไม่สามารถช่วยอะไรครอบครัวของหล่อนได้เลยก็ตาม
“หม่อมฉันขอบพระทัยมากแล้วเพคะที่พระชายาพยายามจะช่วยเหลือครอบครัวของหม่อมฉัน”
“แต่องค์รัชทายาทคงไม่ทำอะไรครอบครัวของเจ้ามากหรอก เพราะคนผิดคือพี่ชายของเจ้า ไม่ใช่ครอบครัวของเจ้า”
หล่อนเองก็ภาวนาให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อาจจะมั่นใจได้ เพราะหล่อนไม่อาจจะรู้ได้ว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขา ซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง
“ถ้าหม่อมฉัน... จะขอประทานอนุญาตกลับไปบ้านสักพักได้ไหมเพคะพระชายา”
“ได้สิ ไปเถอะ เสร็จเรื่องแล้วค่อยกลับมาหาเรา”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เราเอาใจช่วยนะชมพูนุช และหวังว่าเจ้าและครอบครัวจะผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้” มะลิเสียใจนักที่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้เลย ทำได้แค่เพียงปลอบใจเท่านั้น
“ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ”
ชมพูนุชถวายความเคารพ ก่อนจะเดินออกมาจากตำหนักของมะลิ มุ่งหน้ากลับบ้านพักของตัวเองด้วยความรีบร้อน หล่อนวิ่ง ใช่ วิ่งเร็วที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
และเมื่อกลับมาถึงก็พบว่าทหารมากมายล้อมบ้านของหล่อนเอาไว้ และองค์รัชทายาทจามีลรูปงามก็กำลังจะเสด็จกลับไปยังพระราชวัง หล่อนถูกทหารผลักไสออกจนพ้นทาง ทำได้แค่เฝ้ามององค์รัชทายาทผู้สูงส่งเดินจากไปเพียงเท่านั้น
เขาไม่เห็นหล่อน แม้ว่าหล่อนจะพยายามฝ่าวงล้อมของทหารเข้าไปใกล้สักแค่ไหนก็ตาม
ชมพูนุชทรุดกายลงกับพื้นดิน มองท้ายขบวนเสด็จขององค์ รัชทายาทผ่านม่านน้ำตา กลีบปากอิ่มสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดทรมาน ก่อนจะต้องรีบป้ายน้ำตาทิ้ง เมื่ออำมาตย์ฮานีฟกับทหารสามคนที่เพิ่งก้าวลงมาจากบนเรือนเดินมาหยุดตรงหน้า หล่อนรีบลุกขึ้นยืนและพยายามที่จะอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ท่านลุงอำมาตย์เจ้าคะ ท่านพี่ฟีรัสไม่ได้ลักพาตัวคุณมัสรานีไปนะเจ้าคะ”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า ลูกสาวข้าหนีตามพี่ชายระยำของเจ้าไปเองอย่างนั้นเหรอ!”
“คือว่า...” หล่อนอึกอักกับหน้าตาขึงขังของอำมาตย์ฮานีฟที่จ้องมองมา แต่มันคือเรื่องจริง “ใช่เจ้าค่ะ คุณมัสรานีกับพี่ฟีรัสเต็มใจหนีไปด้วยกัน”
“บัดซบ! นี่เจ้ากล้าใส่ร้ายลูกสาวของข้าเชียวหรือ”
“ฉันไม่ได้ใส่ร้ายคุณมัสรานีนะเจ้าคะ แต่ฉันเห็น...”
หล่อนพูดได้แค่นั้นก็ถูกอำมาตย์ฮานีฟผลักหัวไหล่แรงๆ จนล้มลงก้นกระแทกพื้นดิน จากนั้นก็ชี้หน้าข่มขู่
“ถ้าข้าได้ยินเจ้าใส่ความลูกสาวของข้าอีกเมื่อไหร่ ข้าเอาเจ้าตายแน่”